ความหมายของดนตรีไทย
ความหมายของคำว่า ดนตรีไทย
.....คำว่า “ดนตรี” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “ตันตริ” แปลว่า สาย หรือ เครื่องสาย พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัญฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า “ดนตรี” ว่า “ลำดับเสียงอันไพเราะ” คำว่า “ดนตรี” ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า “music” หมายถึงศิลปะและศาสตร์ ของการร้อยกรองเสียง หรือเสียงเครื่องดนตรี เข้าเป็นทำนอง เสียงประสาน จังหวะ ลีลา และกระแสเสียง เพื่อให้บทเพลงมีโครงสร้างที่สมบูรณ์ และก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์
เครื่องดนตรีไทย
.....ดนตรีเป็นศิลปะสาขาหนึ่ง ที่สามารถใช้เป็น เครื่องแสดงความรุ่งเรือง และอารยธรรมของชาติได้ สำหรับดนตรีไทยนั้น ก็เจริญถึงขั้นเป็นแบบคลาสสิค (Classic) ได้
กำเนิดหรือที่มาของเครื่องดนตรีไทยนั้น มีผู้ให้ทรรศนะไว้หลายทรรศนะ กล่าวคือ
ทรรศนะที่ 1 สันนิษฐานว่าเครื่องดนตรีไทย ได้แบบอย่างมาจากอินเดีย โดยอ้างคัมภีร์ “สังคีตรัตนกร” ซึ่งแบ่งเครื่องดนตรีของดนตรีเป็น 4 ประเภท ใกล้เคียงกับของไทย แต่ทรรศนะนี้มีผู้คัดค้านกันมาก เพราะชาติไทยมิใช่ชาติใหม่ แต่เป็นชาติที่มีความเจริญมานับพันปี และมีนิสัยรักการดนตรี น่าจะได้มีการคิดเครื่องดนตรี ใช้เองมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว นอกจากนั้นเสียงดนตรีของไทย ยังใกล้เคียงกับ เสียงดนตรีจีน ไม่เหมือนเสียงดนตรีอินเดีย และไทยเพิ่งรู้จัก และรับวัฒนธรรมอินเดีย เมื่อยังไม่ถึงพันปีมานี้เอง
ทรรศนะที่ 2 สันนิษฐานว่าเอาแบบอย่าง มาจากจีน เพราะเสียงดนตรี และเครื่องดนตรีของไทย ใกล้เคียงกับของจีนมาก ทรรศนะนี้ก็มี ผู้คัดค้านอีกเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่า
.....1. เครื่องดนตรีบางชิ้น เช่น ซออู้ ซึ่งกะโหลกทำจาก กะลามะพร้าว มะพร้าวเป็นพืชเมืองร้อน เมืองจีนหายาก ฉะนั้นไทยน่าจะเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นก่อน
.....2. จากหลักฐานจีนที่ว่า จีนได้แบบอย่างดนตรี ไปจากอาณาจักรทางใต้นั้น นักดนตรีไทยผู้มีชื่อเสียงหลายท่าน สันนิษฐานว่า อาณาจักรทางใต้ที่กล่าวนั้น เป็นอาณาจักรไทย
ในทรรศนะของคุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ท่านคิดว่าดนตรีไทย เกิดจากความคิด และสติปัญญาของคนไทย ดนตรีไทยเกิดขึ้น มาพร้อมกับคนไทย ท่านกล่าวว่า ธรรมชาติเป็นครูคนแรกของมนุษย์ เครื่องดนตรีของชนชาติต่างๆ ล้วนอุบัติขึ้นจากธรรมชาติ เครื่องดนตรีชิ้นแรกก็คือ มือมนุษย์เอง ตบมือเข้าด้วยกัน ก็ทำให้เกิดเสียง ถ้าปรบพร้อมๆ กันหลายคน ก็จะได้เสียงที่แปลกออกไป เมื่อตบมือนานๆ ก็รู้สึกเจ็บ จึงหาไม้มาตีกันแทน จึงเกิดเป็น “กรับ” ขึ้น
เครื่องดนตรีของชนชาติต่างๆ ในโลกนี้จะมีวิธีบรรเลงอยู่ 4 วิธีคือ ดีด สี ตี เป่า เครื่องดนตรีของไทยก็มีทั้ง 4 ประเภทดังกล่าว สันนิษฐานว่า เครื่องดนตรีประเภทตี จะเกิดขึ้นก่อน แล้วติดตามมาด้วย เครื่องเป่า เครื่องดีด และเครื่องสีเกิดขึ้นหลังสุด
เครื่องตี เครื่องตีรุ่นโบราณ ได้แก่ กรับ เกราะ โกล่ง โปงลาง และกลอง ต่อมาจึงเกิดมีระนาดไม้ไผ่ขึ้น
เครื่องเป่า สันนิษฐานว่า เป็นเครื่องดนตรีที่เกิดขึ้น หลังเครื่องตีไม่นานนัก ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเลียนเสียงลมพัด อาจจะเริ่มจากเอาใบไม้มาเป่า และในที่สุดก็วิวัฒนาการ มาเป็นดนตรีประเภทขลุ่ย (ผิว) ปี่ และแคน
เครื่องดีด และเครื่องสี เป็นเครื่องดนตรีที่เอาแบบอย่าง มาจากอาวุธประเภทธนู และหน้าไม้ เพราะอาวุธประเภทที่กล่าวนี้ เวลายิงจะเกิดเสียงขึ้น จึงนำมาคิดดัดแปลง ให้มีหลายเสียง หรืออาจจะเกิดจากการที่ คนลองดีดสายเชือกสายหนัง แล้วเกิดเป็นเสียงต่างๆ จึงนำมาประดิษฐ์เป็นเครื่องดนตรี เช่น เครื่องดนตรีที่เรียกว่า “ซือมือ” ของชาวเขาเผ่ามูเซอ ซึ่งตัวกำเนิดเสียงทำด้วยไม้ขึ้นด้วยหนังงู มีคันทวน และลูกระเบิด ทำด้วยไม้แกะสลัก ใช้ลวดขึง แล้วใช้เขาสัตว์หรือไม้ไผ่บางๆ ดีด
เครื่องสี การเล่นดนตรีด้วยวิธีดีไปนานๆ คงจะเบื่อจึงลองเอาสายธนู หรือวัสดุอื่นที่ทำคล้ายธนูไปสีที่สายของเครื่องดีด จะเกิดเป็นเสียงยาวๆ จึงคิดดัดแปลงรูปร่างให้เหมาะสม แก่การใช้สี จึงเกิดเครื่องดนตรีประเภทสีขึ้น
......กล่าวโดยสรุป ในทรรศนะของคุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง เครื่องดนตรีเกิดขึ้นจาก ความคิดเสียนแบบธรรมชาติ และมนุษย์เผ่าต่างๆ ได้คิดขึ้นในระยะแรก เครื่องดนตรีไทยนั้น คนไทยเป็นผู้คิดขึ้นก่อน ต่อมาจึงมีการรับแบบอย่างของเพื่อนบ้าน เข้ามาบ้างแต่ก็เป็นส่วนน้อย