.II. สงครามลุกลามทั่วโลก .II.
ญีปุ่นซึ่งได้มีอำนาจควบคุมทางทหารเหนืออินโดจีนฝรั่งเศสมาตั้งแต่ปีต่อแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อจีนโดยการปิดเส้นทางส่งเสบียง และยังทำให้ญี่ปุ่นอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในกรณีที่เกิดสงครามกับอำนาจตะวันตก ญี่ปุ่นหวังว่าตนจะได้รับประโยชน์ ในช่วงที่เยอรมนียังได้รับชัยชนะในทวีปยุโรป และมีข้อเรียกร้องหลายประการ รวมไปถึงปริมาณทรัพยากรน้ำมันอย่างสม่ำเสมอจากหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์ แต่ว่าการเจรจากับถูกยกเลิกในเดือนมิถุนายนในเดือนกรกฎาคม ญี่ปุ่นได้กลายมาเป็นมหาอำนาจทางการทหารในคาบสมุทรอินโดจีน เพราะนอกจากจะสามารถบังคับให้ดัตช์ยอมจำนนได้แล้ว ยังสามารถโจมตีประเทศจีนได้อีกด้วย และเมื่อสงครามจำเป็น ญี่ปุ่นก็ได้พัฒนาสถานภาพทางยุทธศาสตร์เพื่อแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและประเทศตะวันตกจึงตอบโต้ด้วยการทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นหยุดชะงัก สหรัฐอเมริกา (ญี่ปุ่นต้องอาศัยนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐอเมริกากว่า 80%) ได้ตอบโต้ด้วยการห้ามขนส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นอย่างสมบูรณ์ ญี่ปุ่นถูกบีบบังคับให้เลือกว่าจะล้มเลิกความทะเยอทะยานในการยึดครองทวีปเอเชียและหันกลับไปดำเนินการรบในจีนต่อไป หรือเข้ายึดแหล่งทรัพยากรที่ต้องการด้วยกำลังทหาร กองทัพญี่ปุ่นไม่พิจารณาถึงทางเลือกแรก และนายทหารระดับสูงจำนวนมาก พิจารณาว่า การห้ามขนส่งน้ำมันไปยังญี่ปุ่นเป็นการประกาศสงครามโดยนัย แผนของกองบัญชาการกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น นั่นคือ การยึดครองอาณานิคมตะวันตกในทวีปเอเชียอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะสร้างแนวป้องกันขนาดใหญ่ซึ่งลากยาวผ่านมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำสงครามป้องกันประเทศ ขณะแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในเอเชียอาคเนย์อย่างเป็นอิสระ และเพื่อการป้องกันการเข้าแทรกแซงของภายนอก ญี่ปุ่นจึงพยายามวางแผนที่จะทำลายกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับแรก
ทหารญี่ปุ่นขณะทำการรบในกัวลาลัมเปอร์
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/1/1f/Japanese_troops_mopping_up_in_Kuala_Lumpur.jpg
ในวันที่ 7 ธันวาคม ญี่ปุ่นได้โจมตีดินแดนของอังกฤษ เนเธอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา และในเวลาเดียวกันนั้นญี่ปุ่นโจมตีเอเชียอาคเนย์และมหาสมุทรแปซิฟิกตอนกลาง รวมไปถึงโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล และยกพลขึ้นบกในไทยและมาลายา
จากการโจมตีครั้งนี้ ทำให้สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย จีนและฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกประกาศสงครามกับญี่ปุ่นทันที ส่วนทางด้านเยอรมนี อิตาลีและกลุ่มประเทศตามสนธิสัญญาสามฝ่ายก็ได้ตอบสนองโดยการประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาเช่นกัน ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียตและจีน ร่วมด้วยยี่สิบสองรัฐบาลซึ่งเป็นประเทศเล็กหรือเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น ได้ร่วมกันก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ รวมไปถึงการรับรองกฏบัตรแอตแลนติก เป็นการสร้างพันธมิตรเพื่อต่อต้านอำนาจของฝ่ายอักษะ แต่สหภาพโซเวียตมิได้ยึดมั่นตามการเปิดเผยใด ๆ และการคงความเป็นกลางกับญี่ปุ่น และดำเนินการตัดสินใจตามหลักการพิจารณาของตนเพียงฝ่ายเดียว
เมื่อถึงปลายเดือนเมษายน ค.ศ. 1942 ญี่ปุ่นเกือบจะสามารถครอบครองพม่า ฟิลิปปินส์ มาลายา หมู่เกาะอินเดียตะวันออกของดัตช์และสิงคโปร์ทั้งหมดไว้ได้ โดยมีความสูญเสียเพียงเล็กน้อย และได้รับชัยชนะในยุทธนาวีหลายครั้งในทะเลจีนใต้ ทะเลจาวาและมหาสมุทรอินเดีย ต่อมา ได้เคลื่อนมาทิ้งระเบิดที่ฐานทัพเรือดาร์วิน และได้รับชัยชนะในการรบทางทะลในทะเลจีนใต้ ทะเลชวาและมหาสมุทรอินเดีย แต่ความสำเร็จที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวของฝ่ายสัมพันธมิตรเกิดขึ้นในยุทธการชิงชาครั้งที่สองในตอนต้นของเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 เท่านั้น
ทางด้านเยอรมนีก็สามารถทำการรุกต่อได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากทหารเรือสหรัฐอเมริกาไม่ค่อยมีประสบการณ์จากการบังคับเรือดำน้ำ กองทัพเรือเยอรมันสามารถทำลายทรัพยากรฝ่ายสัมพันธมิตรใกล้ชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐอเมริกาได้ ถึงแม้ว่าจะประสบความสูญเสียเป็นจำนวนมาก แต่กองทัพฝ่ายอักษะก็สามารถหยุดยั้งการรุกครั้งใหญ่ของโซเวียตได้ทางตอนกลางและตอนใต้ และยังคงถือครองดินแดนเพิ่มเติมที่ได้รับเข้ามาเมื่อปีที่แล้วอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนในแอฟริกาเหนือ ฝ่ายอักษะได้ทำการบุกอีกครั้งในเดือนมกราคม ค.ศ. 1942 เป็นการผลักดันให้กองทัพสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพกลับไปยังแนวกาซาลาในตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนในแนวรบด้านตะวันออก การตีโต้ของกองทัพโซเวียตได้ยุติลงเมื่อเดือนมีนาคม ตามด้วยการยุติการรบชั่วคราวของเยอรมนี ซึ่งใช้เวลาเพื่อวางแผนในการโจมตีในครั้งหน้าต่อไป
- « แรก
- ‹ หน้าก่อน
- 1
- 2