.II. สงครามลุกลามทั่วโลก .II.
สงครามลุกลามทั่วโลก
ทหารเยอรมันขณะทำการรบในสหภาพโซเวียต
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/e/ef/Ger_Inf_Russia_1941_HDSN9902655.jpg
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 เยอรมนีรวมไปถึงกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะในทวีปยุโรปและฟินแลนด์ ได้โจมตีสหภาพโซเวียตในปฏิบัติการบาร์บารอสซา ซึ่งเป็นการโจมตีที่เหนือความคาดหมาย โดยมีเป้าหมายไปยังรัฐบอลติก มอสโก และยูเครน และเป้าหมายสูงสุดใกล้กับแนวเอ-เอ ซึ่งเป็นแนวที่เชื่อมต่อระหว่างทะเลสาบแคสเปียนกับทะเลขาว ส่วนวัตถุประสงค์ของฮิตเลอร์ คือ การทำลายอำนาจทางการทหารของสหภาพโซเวียต การกวาดล้างระบอบคอมมิวนิสต์ และสร้าง "พื้นที่อยู่อาศัย" โดยการใช้กำลังแย่งชิงดินแดนมาจากชนพื้นเมืองเดิมและเป็นการรับประกันการสร้างหนทาง ซึ่งนำไปสู่การยึดครองทรัพยากรที่จำเป็นต่อทำลายคู่แข่งของเยอรมนี ที่ยังเหลืออยู่ ถึงแม้ว่าฝ่ายกองทัพแดงจะมีการเตรียมการป้องกันทางยุทธศาสตร์ไว้แล้วก็ตามแต่ปฏิบัติการบาร์บารอสซาเป็นการบีบบังคับให้กองบัญชาการทหารสูงสุดของโซเวียตต้องปรับใช้แผนการป้องกันทางยุทธศาสตร์
ระหว่างช่วงฤดูร้อน กองทัพฝ่ายอักษะได้รับชัยชนะมาตลอด สามารถยึดครองดินแดนอันกว้างใหญ่ และสร้างความเสียหายทั้งทางด้านทรัพยากรและกำลังพลให้แก่สหภาพโซเวียตเป็นอย่างมาก แต่ทว่าในช่วงกลางเดือนสิงหาคม กองบัญชาการกองทัพเยอรมันตัดสินใจที่จะพักการรบของกองทัพกลุ่มกลางเอาไว้ โดยแบ่งกองกำลังยานเกราะบางส่วนไปสมทบกับกองทัพที่กำลังมุ่งหน้าไปยังยูเครนตอนกลางและเลนินกราด ยุทธการเคียฟประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และสามารถปิดล้อมและทำลายกองทัพโซเวียตได้ถึงสี่กองทัพ และมุ่งหน้าต่อไปยังคาบสมุทรไครเมียและเขตอุตสาหกรรมยูเครนตะวันออก
ในช่วงปฏิบัติการบาร์บารอสซา กองทัพกว่าสามในสี่ของฝ่ายอักษะ และกองทัพอากาศส่วนใหญ่ได้ถูกเคลื่อนย้ายจากฝรั่งเศสและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปยังแนวรบด้านตะวันออก สหราชอาณาจักรได้รีบทำการพิจารณายุทธศาสตร์หลักใหม่ทันที ในเดือนกรกฎาคม สหราชอาณาจักร และ สหภาพโซเวียต ก็ได้รวมตัวกันจัดตั้งพันธมิตรทางทหาร ในข้อตกลงอังกฤษ-โซเวียต และในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่า ง การรุกรานอิหร่านของอังกฤษ-โซเวียต เพื่อรักษาฉนวนเปอร์เซียและแหล่งน้ำมันในอิหร่าน ในเดือนสิงหาคม สหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกันตั้งกฎบัตรแอตแลนติก
ถนนสายหลักของเคียฟภายหลังจากถูกระดมยิงปืนใหญ่กองทัพเยอรมันอย่างหนัก
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/c/cb/Kyiv-Prorizna_1941.jpg
ต้นเดือนตุลาคม หลังจากที่กองทัพฝ่ายอักษะได้รับชัยชนะในยูเครนและแถบทะเลบอลติก โดยมีเพียงเลนิน กราดและซาเวสโตปอลทื่ยังคงรบต้านทานอยู่เท่านั้น ยุทธการแห่งมอสโกก็เริ่มขึ้น หลังจากผ่านการรบอย่างหนักเป็นเวลาสองเดือน กองทัพฝ่ายอักษะเกือบจะเข้าพิชิตกรุงมอสโกแล้ว กองทัพของฝ่ายอักษะที่อ่อนเปลี้ย ถูกบีบบังคับให้ยุติการบุกของตน และถึงแม้ว่าเยอรมนีจะได้ดินแดนมาจำนวนมหาศาล แต่ว่าประสบความล้มเหลวในการบรรลุวัตถุประสงค์ทางยุทธศาสตร์ นครสองแห่งที่สำคัญของโซเวียตยังไม่แตก และความสามารถของกองทัพแดงยังคงสามารถต้านทานการบุกของฝ่ายอักษะได้ และยังคงเหลือขีดความสามารถทางทหารอยู่มาก โดยหลังจากนี้ ระยะแห่งการโจมตีสายฟ้าแลบในทวีปยุโรปได้ยุติลงอย่างสมบูรณ์
เมื่อถึงต้นเดือนธันวาคม สหภาพโซเวียตได้รับกองหนุนที่ระดมมาจากพรมแดนด้านตะวันออกซึ่งติดกับเขตแมนจู-กัวของญี่ปุ่น ทำให้กองทัพโซเวียตมีปริมาณกำลังพลที่เทียบได้กับกองทัพฝ่ายอักษะ ซึ่งเมื่อประกอบกับการยืนยันจากข้อมูลข่าวกรองแล้วว่า กองทัพโซเวียตในภาคพื้นตะวันออกไกลมีปริมาณเพียงพอที่จะสามารถต้านทานกองทัพควันตงของญี่ปุ่น ได้ในวันที่ 5 ธันวาคม กองทัพโซเวียตก็ทำการโจมตีกลับครั้งใหญ่ ตามแนวรบที่ยาวต่อเนื่องกันกว่า 1,000 กิโลเมตร และสามารถผลักดันกองทัพอักษะได้เป็นระยะทางถึง 100-250 กิโลเมตร