.II. ฝ่ายอักษะเคลื่อนทัพ .II.
ฝ่ายอักษะเคลื่อนทัพ
ทหารเยอรมันในกรุงปารีส หลังฝรั่งเศสยอมจำนน
ในวันเดียวกัน เยอรมนีโจมตีฝรั่งเศสและกลุ่มประเทศต่ำ เนเธอร์แลนด์และเบลเยี่ยมพ่ายแพ้ด้วยผลจากการใช้ยุทธวิธีการโจมตีสายฟ้าแลบหลายครั้งติดต่อกันในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ฝรั่งเศสได้เสริมสร้างแนวป้องกันแมกิโนต์ของตน แต่ฝ่ายเยอรมนีใช้อุบายการตีผ่านแนวเทือกเขาอาร์เดนเนส ซึ่งมีป่าปกคลุมหนาแน่น ซึ่งนักวางแผนชาวฝรั่งเศสคาดการณ์ผิดว่าแนวป้องกันตามธรรมชาติของตนจะสามารถต้านทานการบุกของกองกำลังยานเกราะได้ เมื่อถึงปลายเดือนพฤษภาคม ทหารอังกฤษถูกบังคับให้ต้องล่าถอยออกจากฝรั่งเศส และละทิ้งยุทโธปกรณ์หนักเป็นจำนวนมาก ในวันที่ 10 มิถุนายนอิตาลีรุกรานฝรั่งเศส และประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร สิบสองวันหลังจากการยอมจำนนของฝรั่งเศส ฝรั่งเศสจึงถูกแบ่งเป็นเขตยึดครองของเยอรมนีและอิตาลี และรัฐซึ่งไม่อยู่ภายใต้การยึดครองภายใต้ระบอบวิชี ตอนต้นของเดือนกรกฎาคม กองทัพเรืออังกฤษก็ทำลายกองทัพเรือฝรั่งเศสในแอลจีเรีย เพื่อป้องกันมิให้กองทัพเยอรมนีนำไปใช้ในกรณีที่เป็นไปได้
เครื่องบินทิ้งระเบิดเยอรมัน ระหว่างยุทธการแห่งบริเตน แต่กองทัพอากาศเยอรมันไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ การรบในยุโรปตะวันตกจึงถูกยับยั้ง
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/8/82/Heinkel_He_111_during_the_Battle_of_Britain.jpg
เมื่อฝรั่งเศสหลุดจากสงคราม ฝ่ายอักษะก็มีกำลังยิ่งขึ้น กองทัพอากาศเยอรมนีเริ่มการรบในยุทธการแห่งบริเตน เพื่อครองแสงยานุภาพเหนือน่านฟ้าและเตรียมการรบภาคพื้นดินบนเกาะอังกฤษ แต่การทัพดังกล่าวประสบความล้มเหลว และแผนการรุกรานภาคพื้นดินได้ถูกยกเลิกในเดือนกันยายน ส่วนกองทัพเรือเยอรมันประสบความสำเร็จในยุทธการแอตแลนติกจากการจมเรือรบราชนาวีอังกฤษด้วยเรืออู อันเป็นผลมาจากการยึดครองเมืองท่าฝรั่งเศส อิตาลีก็เริ่มการปฏิบัติการทางทะเลของตนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ด้วยการปิดล้อมเมืองมอลต้า ในเดือนมิถุนายน และสามารถพิชิตโซมาลิแลนด์ ในเดือนสิงหาคม และเปิดฉากการรบในการรุกรานอียิปต์ในตอนต้นเดือนกันยายน ส่วนทางด้านญี่ปุ่นก็เพิ่มการปิดล้อมจีนด้วยการโจมตีฐานทัพหลายแห่ง ทางตอนเหนือของอินโดจีนฝรั่งเศส ซึ่งถูกโดดเดี่ยว
ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ฝ่ายสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นกลางได้ออกมาตรการในการช่วยเหลือจีนและพันธมิตรตะวันตก ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1939 สหรัฐอเมริกาก็ขายอาวุธและยานพาหนะจำนวนมากให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ระหว่างปี ค.ศ. 1940 ภายหลังจากการยึดครองกรุงปารีสของเยอรมนี สหรัฐอเมริกาได้เพิ่มเติมขนาดกองทัพเรือของตนขนานใหญ่ และหลังจากการรุกล้ำเข้าไปยังอินโดจีนฝรั่งเศสของญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาก็สนับสนุนการห้ามขนส่งเหล็ก เหล็กกล้า และชิ้นส่วนของเครื่องจักรแก่ญี่ปุ่น และในเดือนกันยายน สหรัฐอเมริกาก็ตกลงขายเรือประจัญบาน เพื่อแลกกับฐานทัพเรือโพ้นทะเลกับอังกฤษ อย่างไรก็ตาม สาธารณชนชาวอเมริกันส่วนใหญ่ก็ยังคงต่อต้านการเข้าแทรกแซงความขัดแย้งทางทหารโดยตรง จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1941
ในตอนปลายเดือนกันยายน สนธิสัญญาสามฝ่าย ระหว่างเยอรมนี อิตาลี และ ญี่ปุ่น ได้เป็นรวมตัวกันก่อตั้งฝ่ายอักษะอย่างเป็นทางการ ด้วยการเตือนของสหรัฐอเมริกา สนธิสัญญาดังกล่าวได้กำหนดเงื่อนไขซึ่งทุกประเทศ ยกเว้นสหภาพโซเวียต ซึ่งยังไม่อยู่ในภาวะสงครามและโจมตีรัฐสมาชิกฝ่ายอักษะรัฐใดรัฐหนึ่งจะนำไปสู่สภาวะสงครามกับรัฐสมาชิกทั้งหมด สหภาพโซเวียตแสดงโดยนัยว่า มีตนความสนใจจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายอักษะ โดยในเดือนพฤศจิกายน สหภาพโซเวียตก็ได้ส่งข้อเสนอทางเศรษฐกิจที่เยอรมนีประทับใจมาก ขณะที่เยอรมนียังคงปิดเงียบในตอนแรกแล้วจึงตอบตกลงในตอนหลัง สหรัฐอเมริกาเพิกเฉยต่อสนธิสัญญาดังกล่าว และยังคงสนับสนุนสหราชอาณาจักรและจีนต่อไป โดยนโยบายให้กู้-ยืม ซึ่งรับหน้าที่ในการจัดหาทรัพยากรสงครามและอื่นๆ และสร้างพื้นที่ปลอดภัยแบบหยาบๆ ซึ่งกินมีพื้นที่ครึ่งหนึ่งของมหา-สมุทรแอตแลนติก ซึ่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาจะคอยคุ้มกันกองเรือสินค้าของอังกฤษ ทำให้เยอรมนีและสหรัฐอเมริกาเผชิญหน้ากันในการทำสงครามทางทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือและตอนกลาง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1941 ถึงแม้ว่าในสถานะอย่างเป็นทางการ สหรัฐอเมริกาจะยังคงดำรงตนเป็นกลางอยู่ก็ตาม