ภูมิปัญญาไทยกับความเชื่อทางศาสนา
ภูมิปัญญาไทยกับความเชื่อทางศาสนา
รายงาน
วิชา ประวัติศาสตร์
เรื่อง ภูมิปัญญาไทยกับความเชื่อทางศาสนา
เสนอ
คุณครู วัชรี กมลเสรีรัตน์
1. นายไตรรัตน์ เผือกผาสุข เลขที่ 4
2. น.ส.อริสา แก้วทองมี เลขที่ 8
3. นายชญานนท์ ฤทัยสุขสกุล เลขที่ 21
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1
โรงเรียน ศีลาจารพิพัฒน์
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552
การนำเสนองานครั้งนี้เป็นผลงานที่เกี่ยวข้องกับวิชา สังคมศึกษา ศาสนา เเละวัฒนธรรม โดยเน้นเนื้อหาผลงานเกี่ยวกับทางด้านประวัติศาสตร์ ซึ่งงานชิ้นนี้มีเนื้อหาใจความหลักเกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยกับความเชื่อทางศาสนา โดยทางเราคิดว่าการทำความเข้าใจภูมิปัญญาท้องถิ่นของตนเป็นเรื่องสำคัญบนฐานแห่งความคิดทางศาสนา ดังนั้น การบูรณาการแนวคิดทางศาสนามาใช้กับวิถีชีวิตประจำวัน จะเป็นสิ่งที่สอดคล้องกันไปได้อย่างดีเพียงแต่คนไทยทุกคนต้องมีความมุ่งมั่น ไม่ท้อถอย ผู้มีอิทธิพลหรือผู้มีอำนาจต่างๆจะต้องยอมเลิกเห็นแก่ตัว เราต้องรัก เเละสามัคคีต่อเพื่อนบ้าน มีความห่วงใยอาทรลูกหลาน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ไม่คดโกงแผ่นดิน การคดโกงแผ่นดินเท่ากับดูหมิ่งเกีรติปู่ย่าตายายของพวกเรา นอกจากนี้พวกเราซึ่งเยาวชนของชาติศึกษา เเละช่วยกันดูเเลภูมิปัญญาเเละความเชื่อที่ดี ที่มีมาเเต่ก่อนไว้เพื่อเป็นสิ่งดีดีที่จะมีสืบไว้ให้บุตรหลานได้เรียนรู้ต่อไป เเละทางเราก็หวังว่าประโยชน์ต่างๆๆในนี้ ความเชื่อที่เกี่ยวศาสนาที่มีจะพอเป็นเเนวทางเเห่งการเรียนรุ้เเละศึกษาให้เเก่คนรุ่นหลัง หรือผู้ที่มาศึกษาได้รับความรู้ไปไม่มากก็น้อย เเละหากเนื้อหามีความบกพร่อง ไม่เหมาะสม หรือไม่ถูกต้องประการใดต้องขออภัยทุกท่านมาไว้ ณ เเห่งนี้ รวมถึงขอขอบคุน ข้อมูลดีดีที่มีไนเนื้อหาส่วนนี้ด้วย
เนื้อหา
-ตำนานบั้งไฟพญานาค
ภูมิปัญญาไทย
ภูมิปัญญาไทย หมายถึง ความรู้ความสามารถ วิธีการผลงานที่คนไทยได้ค้นคว้า รวบรวม และจัดเป็นความรู้ ถ่ายทอด ปรับปรุง จากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง จนเกิดผลิตผลที่ดี งดงาม มีคุณค่า มีประโยชน์ สามารถนำมาแก้ปัญหาและพัฒนาวิถีชีวิตได้แต่ละหมู่บ้าน แต่ละชุมชนไทย ล้วนมีการทำมาหากินที่สอดคล้องกับภูมิประเทศ มีผู้นำที่มีความรู้ มีฝีมือทางช่าง สามารถคิดประดิษฐ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาของชาวบ้านได้ ผู้นำเหล่านี้ เรียกว่า ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้ทรงภูมิปัญญาไทย
ลักษณะของภูมิปัญญาไทย
จากการศึกษาพบว่า มีการกำหนดสาขาภูมิปัญญาไทยไว้อย่างหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่หน่วยงาน องค์กร และนักวิชาการแต่ละท่านนำมากำหนด ในภาพรวมภูมิปัญญาไทยสามารถแบ่งได้เป็น 10 สาขาดังนี้
10. สาขาศาสนาและประเพณี หมายถึง ความสามารถประยุกต์และปรับใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนา ความเชื่อ และประเพณีดั้งเดิมที่มีคุณค่าให้เหมาะสมต่อการประพฤติปฏิบัติ ให้บังเกิดผลดีต่อบุคคลและสิ่งแวดล้อม เช่น การถ่ายทอดหลักธรรมทางศาสนา การบวชป่า ประเพณีต่าง ๆ เช่น บวชพราหมณ์ เป็นต้น
ภูมิปัญญาไทยในด้านความเชื่อทางศาสนา
ภูมิปัญญาไทยในด้านความเชื่อทางศาสนา เป็นความ ความสามารถปรับปรุง ประยุกต์คำสอนทางศาสนาใช้กับวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม คนไทยยอมรับนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ โดยนำหลักธรรมคำสอนทางศาสนามาปรับใช้ในวิถีชีวิตได้อย่างเหมาะสม ทำให้คนไทยเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ประนีประนอม รักสงบ ใจเย็น มีความอดทนให้อภัยแก่ผู้สำนึกผิด ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่ายปกติสุข
ความเชื่อ คือการยอมรับอันเกิดอยู่ในจิตสำนึกของมนุษย์ ต่อพลังอำนาจเหนือ ธรรมชาติ ความเชื่อเป็นธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกรูปทุกนาม สิ่งที่มนุษย์ได้ สัมผัสทางใดทางหนึ่งจากอายตนะทั้ง ๖ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) เป็นต้นเหตุของ ความเชื่ออันเป็นสัญญเจตนา เมื่อเกิดการเพาะบ่มความเชื่อโดยอาศัยสิ่งแวดล้อมที่ได้สัมผัสเป็นประจำ เป็นเครื่องช่วยให้ความเชื่อเจริญเติบโต จึงเกิดรูปเกิดสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง จึงเกิดความเชื่อในรูปแบบความเชื่อที่เป็นรูปธรรม และความเชื่อที่เป็นนามธรรม
ครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น พญาคันคาก ได้จุติอยู่ในครรภ์ของพระนางสีดา เมื่อเติบใหญ่ได้บำเพ็ญเพียรภาวนา จนพระอินทร์ชุบร่างให้เป็นชายหนุ่มรูปงาม พระอินทร์ได้ประธานนางอุดรกุรุตทวีปเป็นคู่ครอง พญาคันคากและนางอุดรกุรุตทวีป ได้ศึกษาธรรม และเทศนาสอนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่เป็นประจำ
มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายครั้นได้ฟังธรรมจากพระโพธิสัตว์คันคากก็เกิดความเลื่อมใสจนลืม ถวายเครื่องบัดพลี พญาแถน ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ก่อกำเนิดเผ่าพันธุ์และบันดาลน้ำฝนแก่โลกมนุษย์
พญาแถนครั้นไม่ได้รับเครื่องบัดพลีจากมนุษย์และสรรพสัตว์ รวมทั้งเทวดาที่เคยเข้าเฝ้าเป็นประจำ ไปฟังธรรมกับพญาคันคากจนหมดสิ้น จึงบังเกิดความโกรธแค้นยิ่งนัก
พญาแถนโกรธแค้นที่เหล่ามนุษย์และสรรพสัตว์หันไปบูชาพญาคันคาก จึงสาปแช่งเหล่ามวลมนุษย์ไม่ให้มีฝนตกเป็นเวลาเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน ทำให้เกิดความแห้งแล้งไปทุกหย่อมหญ้า เหล่ามวลมนุษย์จึงได้เข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์ทูลถามและขอความช่วยเหลือ
พญาคันคากรู้ด้วยญาณจึงบอกมนุษย์ว่า เพราะพวกเจ้าไม่บูชาพญาแถน ท่านจึงพิโรธ จึงบันดาลมิให้มีฝนตกลงมา ความแห้งแล้งมีมาเจ็ดปี พญานาคีผู้เป็นใหญ่ในเมืองบาดาลที่เข้าเฝ้าพระโพธิสัตว์คันคากอยู่ขณะนั้นได้รับฟังจึงยกทัพบุกสวรรค์โดยไม่ฟังคำทัดทานของพระโพธิสัตว์คันคาก
แต่พญานาคีพ่ายแพ้กลับมาและบาดเจ็บสาหัสด้วยต้องอาวุธของพญาแถน พระโพธิสัตว์คันคากเกิดความสงสารด้วยเห็นว่าพญานาคีทำไปด้วยต้องการขจัดความทุกข์ให้เหล่ามวลมนุษย์ จึงได้ให้พรแก่พญานาคีและเหล่าบริวาร
นับจากนั้นเป็นต้นมาพระพญานาคีได้ปวารณาตนเป็นข้าช่วงใช้พระโพธิสัตว์ไปทุกๆ ชาติ แต่ความแห้งแล้งยังคงอยู่กับเหล่ามวลมนุษย์ พระโพธิสัตว์คันคากจึงได้วางแผนบุกสวรรค์ โดยให้พญาปลวกก่อจอมปลวกสู่เมืองสวรรค์ พญาแมงงอด แมงเงาเจ้าแห่งพิษ (แมงป่องช้าง) ให้จำแลงเกาะติดเสื้อผ้าพญาแถน พญานาคีให้จำแลงเป็นตะขาบน้อยซ่อนอยู่ในเกือกพญาแถน เมื่อองค์พระโพธิสัตว์คันคากให้สัญญาณจึงได้กัดต่อยปล่อยพิษ
พญาแถนพ่าย…ร้องบอกให้พระโพธิสัตว์คันคากปล่อยตนเสีย แต่พระโพธิสัตว์คันคากกลับบอกว่าขอเพียงพญาแถนผู้เป็นใหญ่ให้พรสามประการ ก็จะมิทำประการใด
หนึ่ง…ให้ฝนตกลงมาตามฤดูกาล เหล่ามวลมนุษย์จะจุดบั้งไฟบวงสรวงพญาแถน
สอง…แม้ว่าฝนตกลงมาดั่งใจมาดแล้ว ให้ในทุ่งนามีเสียงกบเขียดร้อง
สาม…เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวขึ้นเล้า (ยุ้งข้าว) ตัวข้าพญาคันคากจะส่งเสียงว่าวสนูให้พ่อฟังเป็นสัญญาณว่า ปีนั้นข้าวอุดมสมบูรณ์
พญาแถนได้ฟังคำขอพรสามประการ(ความจริงแล้วสำหรับความคิดผมเองเป็นการขอประการเดียว และมีการบวงสรวงบูชา พญาแถนคงเห็นว่าคุ้ม) จึงได้ให้พรตามปรารถนา นับเนื่องจากนั้นมากลางเดือนหกของทุกๆ ปี ชาวอีสานจะร่วมกันทำบั้งไฟแห่ไปรอบๆ หมู่บ้านแล้วจุดบูชาพญาแถน
ครั้งเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ พระองค์ได้เสด็จเผยแพร่ศาสนาไปทั่วชมพูทวีป พญานาคีผู้เฝ้าติดตามเรื่องราวพระองค์ บังเกิดความเลื่อมใสและศรัทธายิ่งนัก รู้ด้วยญาณว่าพระองค์คือพญาคันคากมาจุติ จึงจำแลงกายเป็นบุรุษขอบวชเป็นสาวก ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธองค์
ค่ำคืนหนึ่งพญานาคีเผลอหลับไหลคืนร่างเดิม ทำให้เหล่าภิกษุที่ร่วมบำเพ็ญเพียรทั้งหลายตื่นตระหนก ครั้งเมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องจึงขอให้พญานาคีลาสิกขา เนื่องจากนาคเป็นเดรัจฉานจะบวชเป็นภิกษุมิได้
พญานาคียอมตามคำขอพระพุทธองค์ แต่ขอว่ากุลบุตรทั้งหลายทั้งปวงที่จะบวชในพระพุทธศาสนาให้เรียกขานว่า “นาคี” เพื่อเป็นศักดิ์ศรีของพญานาคก่อนแล้วค่อยเข้าโบสถ์ จากนั้นเป็นต้นมาจึงได้เรียกขานกุลบุตรทั้งหลายที่จะบวชว่า “พ่อนาค”
ต่อมาเมื่อครั้งพระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมและจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อโปรดพุทธมารดาและเหล่าเทวดา กระทั่งครบกำหนดวันออกพรรษา พญานาคี นาคเทวี พร้อมทั้งเหล่าบริวารจัดทำเครื่องบูชาและพ่นบั้งไฟถวาย ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
นับเนื่องจากนั้น ทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 จึงได้มีปรากฏการณ์ประหลาดลูกไฟสีแดงพวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงสู่ท้องฟ้า ปรากฏมาให้เห็นตราบเท่าทุกวันนี้ ทุกคนเรียกขานว่า “บั้งไฟพญานาค”
สรุปเนื้อหา
ภูมิปัญญาไทย ก็คือ ความรู้ความสามารถที่คนไทยถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งมาสู่คนอีกรุ่นหนึ่งทีมีผลที่ดี งดงาม มีคุณค่า มีประโยชน์ ความเชื่อทางศาสนา คือ การเชื่อใน เทพเทวดา หรือพระผู้เป็นเจ้าต่างๆ เชื่อในเรื่องชาติภพ รวบถึงคำสอนในศาสนา บาปบุญคุณโทษ รวบแล้ว ภูมิปัญญากับความเชื่อทางศาสนา ก็พอสรุปได้ว่า เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวความเชื่อเรื่องเทพเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธ์ ชาติภพที่ผ่านมา โดยถ่ายทอดจากบรรพบุรุษมาถึงคนรุ่นปัจจุบัน ดังตัวอย่างที่ข้าพเจ้าได้ยกมานั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับอดีตชาติของพญนาคตนหนึ่งที่อยากบวชแต่มิได้บวชจึงเป็นเหตุแล้ะได้มีการใช้คำว่า”พ่อนาค”ใหกับบุคคลที่กำลังจะบวชด้วย หรือจะเป็นการที่พญานาคต่างรวมใจกันสรรเสริญพระพุทธเจ้าหลังจากเสด็จลงจากดาวดึงส์โดยการพ่นลูกไฟ หรือที่เราๆเรียกกันว่า “บั้งไฟพญานาค” นี่ก็พอสรุปเรื่องราวเกี่ยวภูมิปัญญาไทยกับความเชื่อทางศาสนาได้พอสังเขป
เเหล่งอ้างอิง
http://www.monnut.com/content.php?content_id=56&content_group_sub=4&content_group=4&content_menu=5
http://www.lannaworld.com/believe/lannabelieve.htm
คณะผู้จัดทำ
...........................................................................................................................
** เนื้อหาในนี้จัดทำเพื่อให้ความรุ้แก่ผู้ศึกษาและเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ จึงขอสงวนสิขสิทธิ์ที่จะ คัดลองหรือทำซ้ำอีก หากผู้ใดละเมิดจักต้องรับโทษอาญาและชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งแก่ผู้สร้างสรรค์งาน **
เป็นผลงานที่ดีมากเท่าที่เคยเจอมา!!
ฮ่ะๆ สวยงามอ่ะ
คุนคนข้างล่างตาถึงมากเรยนะ!!!!
V
สวยงามๆ !