พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ ๗
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ ๗
ภาพจาก http://i688.photobucket.com/albums/vv242/ajarnice/payathai.jpg
ในระยะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จอยุ่ในสิริราชสมบัตินั้น
ต้องทรงพบกับปัญหาใหญ่ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้ต้องทรงปรับปรุงโครงสร้างและนโยบายใน
การบริหารปกครองประเทศในหลายประการ เพื่อประคับประคองให้บ้านเมืองผ่านปัญหาวิกฤติเหล่านั้นไปได้ ทรงตั้งอภิรัฐมนตรีสภา
ให้เข้ามาช่วยบริหารราชการแผ่นดินร่วมกันกับพระองค์ เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่บ้านเมือง ทั้งยังเป็นการประสานความสัมพันธ์
ระหว่างพระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ ซึ่งในเวลานั้นตกอยู่ในภาวะแตกแยกให้กลับมามีความแนบแน่นยิ่งขึ้น
ทรงปรับปรุงสภาองคมนตรี ที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีสมาชิกมากถึง 227 คน ให้กะทัดรัดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทรงจัดระเบียบการบริหารงานบุคคลของชาติใหม่ ให้เป็นระบบและเกิดความเป็นธรรมมากขึ้นด้วยการตราพระราชบัญญัติระเบียบข้า
ราชการพลเรือน พ.ศ.2471 ขึ้นบังคับใช้ ทรงให้ตรา “พระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าขายอันกระทบถึงความปลอดภัย
หรือความผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ.2471” เพื่อเป็นการคุ้มครองสวัสดิการของประชาชนชาวไทย
โดยมีขอบเขตครอบคลุมการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภคและการเงิน ทรงวางรากฐานและกำหนดแนวทางในการพัฒนาการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตย โดยให้จัดระเบียบการปกครองในรูปแบบเทศบาลขึ้น เพื่อให้ประชาชนในแต่ละท้องถิ่นรู้จักเลือกตั้งตัวแทน
เข้าไปบริหาร และจัดการงานด้านต่าง ๆ ของชุมชนของตน แต่การมิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์
เนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อน
การศึกษา ทรงส่งเสริมการศึกษาของชาติทั้งส่วนรวมและส่วนพระองค์ โปรดให้สร้างหอพระสมุดสำหรับพระนคร
เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าศึกษาได้อย่างเสรี ทรงตั้งราชบัณฑิตยสภา เพื่อมีหน้าที่บริหารและเผยแพร่วิชาการด้านวรรณคดี
โบราณคดี และศิลปกรรม ในด้านวรรณกรรม โปรดตราพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมศิลปกรรมในปีพุทธศักราช 2475
โดยพระราชทานเงินส่วนพระองค์เป็นรางวัลแก่ผู้แต่งยอดเยี่ยม และให้ทุนนักเรียนไปศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศ
ด้านการศาสนาทรงปลูกฝังเยาวชนให้มีคุณธรรมดีงาม โดยยึดหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
โปรดให้ราชบัณฑิตยสร้างหนังสือสอนพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก ซึ่งนับว่าพระองค์ทรงเป็น
พระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงสร้างหนังสือสำหรับเด็ก ทรงโปรดให้สร้างหนังสือพระไตรปิฏกฉบับสมบูรณ์
เรียกว่าฉบับสยามรัฐ ชุดหนึ่ง ซึ่งใช้สืบมาจนทุกวันนี้
การสุขาภิบาลและสาธารณูปโภค โปรดให้ปรับปรุงงานสุขาภิบาลทั่วราชอาณาจักรให้ทัดเทียมอารยประเทศ
ขยายการสื่อสารและการคมนาคม โปรดให้สร้างสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งแรกในประเทศไทย
ในส่วนกิจการรถไฟ ขยายเส้นทางรถทางทิศตะวันออกจากทางจังหวัดปราจีนบุรี จนกระทั่งถึงต่อเขตแดนเขมร
เนื่องจากในช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัตินั้น เป็นเวลาที่ทุกประเทศทั่วโลก
กำลังประสบกับวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากผลแห่งสงครามโลกครั้งที่ 1
ทำให้ฐานะการเงินและการคลังของประเทศไทยตกต่ำตามไปด้วย ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพยายามต่อสู้แก้ไขกับปัญหาดังกล่าวด้วยการประหยัด และให้ตัดทอนรายจ่ายทุกวิถีทางเท่าที่จะทรงกระทำได้
แต่การแก้ไขปัญหาตามวิธีเหล่านี้ไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้ดีดุจเดิมในระยะเวลาอันสั้นได้
ประกอบกับขณะนั้นมีพวกข้าราชการและนายทหารหนุ่มที่ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศและมีหัวคิดรุนแรง
ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเสียใหม่จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยเร็ว
เพราะเข้าใจว่าเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของบ้านเมืองได้ ดังนั้นในวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475
ได้มีคณะบุคคลคณะหนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่า “คณะราษฎร์” นำโดยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา
เข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดินที่กรุงเทพมหานครด้วยการเข้าควบคุมพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ และข้าราชการตำแหน่งสำคัญ ๆ
ไว้เป็นตัวประกัน แล้วมีหนังสือไปกราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ กลับพระนครเพื่อทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญการปกครอง
ที่คณะราษฎร์ได้ร่างขึ้น ซึ่งหลังจากเสด็จฯ กลับพระนครแล้วก็ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับแรก
เมือวันที่ 10 ธันวาคม พุทธศักราช 2475 ครั้นต่อมาปรากฏว่าได้เกิดความคิดเห็นทางการเมืองขัดแย้งกันระหว่างพระองค์กับคณะราษฎร์
เนื่องจากคณะราษฎร์ไม่ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราที่ทรงท้วงติงไป ด้วยทรงเห็นว่าประชาชนมิได้มีสิทธิ์มีเสียงการปกครองอย่าง
แท้จริง จึงได้ทรงตัดสินพระทัยเสด็จฯ ไปประทับที่ประเทศอังกฤษ ด้วยเหตุผลที่ว่า “ เพื่อไปรักษาพระเนตร ” จนกระทั่งเมื่อ
วันที่ 2 มีนาคม พุทธศักราช 2477 จึงได้พระราชทานพระหัตถเลขา ทรงสละราชสมบัติ มายังคณะรัฐบาล
หลังจากที่ทรงสละราชสมบัติแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
ไปประทับที่ตำบลเวอจิเนียร์วอเตอร์ ซึ่งเป็นชนบทใกล้กรุงลอนดอน โดยทรงใช้ชีวิตความเป็นอยู่เยี่ยงสามัญชนทั่วไป
จนเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พุทธศักราช 2484 ได้เสด็จสวรรคตโดยฉับพลันด้วยโรคพระหทัยวาย สิริพระชนมายุได้ 48 พรรษา
ต่อมาในปีพุทธศักราช 2492 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีจึงได้ทรงอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับมาประดิษฐาน
ร่วมกับสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าที่หอพระบรมอัฐิที่ชั้นบนของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในสิริราชสมบัตินาน 9 ปี โดยไม่ทรงมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดาเลย