พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ ๕
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ ๕
ภาพจาก http://learners.in.th/file/chaloemkwan/166897.jpg
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับยกย่องว่าเป็นนักปฎิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ จากแบบเก่ามาสู่แบบใหม่
ทรงเป็นผู้นำในการปรับปรุงขนบธรรมเนียมประเพณี ระบบสังคม และระบอบการปกครองของไทยให้ทันสมัยทัดเทียมอารยประเทศ
เช่น ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากรูปแบบจตุสดมภ์ (เวียง วัง คลัง นา) มาสู่รูปแบบการปกครองซึ่งเป็นต้นแบบของการปกครอง
ในปัจจุบันที่เป็นระบบกระทรวง นับเป็นการกระจายพระราชอำนาจจากพระมหากษัตริย์ไปยังเสนาบดี อธิบดี
และเจ้ากรมให้เข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศมากขึ้นตามลำดับ
ทรงประกาศเลิกทาส ระบบทาสในไทยมีมานานตั้งแต่ก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งจากกฎหมายตรา 3 ดวง
ที่บัญญัติขึ้นในรัชกาลที่ 1 ได้แบ่งแยกทาสไว้เป็น 7 ประเภทด้วยกัน พระองค์ทรงมีพระราชดำริอยากเห็นคนไทยมีสิทธิเสมอภาคกัน
ทุกคน จนในปีพุทธศักราช 2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตราประมวลกฎหมายลักษณะอาญา
ร.ศ.127 กำหนดว่าผู้ใดจะเอาคนลงเป็นทาส นอกจากที่ได้รับการยกเว้นตามพระราชบัญญัติ ร.ศ.124 อีกไม่ได้ หากผู้ใดฝ่าฝืน
จะต้องจำคุกตั้งแต่ 1-7 ปี และปรับตั้งแต่ 100 ถึง 1,000 บาท ซึ่งนับเป็นการปลดปล่อยทาสทั่วประเทศอย่างเด็ดขาด
รวมระยะเวลาที่ทรงดำเนินการปลดปล่อยเลิกทาสให้เป็นอิสระตามพระราชประสงค์นี้ใช้เวลานานถึง 35 ปี
นอกจากนี้ทรงโปรดให้ปรับปรุงการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่น การประปา การรถไฟ และการไปรษณีย์-โทรเลข
ทรงวางระเบียบทางด้านเศรษฐกิจเสียใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพบ้านเมือง เห็นได้จากการทรงตั้งกรมธนบัตรขึ้น
มีการใช้ระบบเงินตราใหม่ โดยยกเลิกการใช้เงินพดด้วยด้วย ทรงประกาศให้เลิกโรงบ่อนเบี้ยและปิดโรงหวยต่าง ๆ ทรงให้ตรา
พระราชบัญญัติทองคำ เพื่อเป็นการรักษาเสถียรภาพของอัตราการแลกเงินตราระหว่างประเทศและเงินต่างประเทศ
มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดิน จัดตั้งธนาคารขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยเงินทุนของคนไทย ธนาคารแห่งนี้เรียกว่า “แบ็งค์สยามกัมมาจล”
ด้านการทหาร ทรงให้จัดตั้งโรงเรียนมหาดเล็กรักษาพระองค์ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อทำการฝึกหัดทหารแบบยุโรป
และเพื่อเป็นแบบอย่างในการจัดกรมกองทหารของกรมอื่น ๆ ด้วย ด้านการศาล ทรงให้จัดตั้งกระทรวงยุติธรรม และให้ตรา พ.ร.บ.
จัดการศาลสถิตยุติธรรมขึ้น เพื่อใช้เป็นหลักปฎิบัติในการพิจารณาพิพากษาคดี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทำการปรับปรุงระเบียบประเพณีและวัฒนธรรมหลายประการเพื่อให้เหมาะสม
กับสภาพการณ์ในรัชสมัยของพระองค์ อาทิเช่น ทรงให้ยุบเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า
พร้อมกับทรงสถาปนาตำแหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารขึ้นแทน ทรงยกเลิกประเพณีหมอบคลาน
และคุกเข่าในเวลาเข้าเฝ้า ทรงให้ข้าราชการแต่งกายในชุดราชปะแตนเวลาเข้าเฝ้าฯ หรือเวลาที่เข้าร่วมในงานพระราชพิธีต่าง ๆ
และทรงมีพระราชปรารถต่อสมาชิกในพระราชวงศ์ว่า พระองค์ไม่ทรงมีพระราชประสงค์จะให้มีการเสกสมรสกันเองระหว่างพระราชโอรส
และพระราชธิดา แม้จะต่างพระชนนีกันก็ตาม ทั้งนี้ด้วยเหตุผลทางการแพทย์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรด้วยพระโรคพระวักกะพิการ และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม
พุทธศักราช 2453 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุ 58 พรรษา รวมเวลาที่อยู่ในสิริราชสมบัตินับได้ 42 ปีเศษ
ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น 77 พระองค์