สมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลาย
1. นโยบายเศรษฐกิจของคณะราษฎร - สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
นโยบายเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม โดยเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ (สมุดปกเหลือง) ซึ่งมีลักษณะแก้ปัญหาคล้ายระบบสหกรณ์ แต่ไม่ได้ประกาศใช้เพราะรัฐบาลขณะนั้นไม่เห็นชอบและรัชกาลที่ 7 ก็ทรงมีพระราชดำริไม่เห็นชอบ (สมุดปกขาว) โดยเกรงว่าลักษณะค่อนไปทางสังคมนิยม รัฐบาลไทยตึงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเป็นแบบเสรีนิยมมาโดยตลอด ทำให้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของชาวจีนและชาวตะวันตก สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลดำเนินนโยบายชาตินิยมทางเศรษฐกิจเพื่อให้คนไทยมีงานทำและขจัดอิทธิพลทางเศรษฐกิจของคนต่างชาติ ลดบทบาทการผูกขาดทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกและชาวจีน เรียกร้องให้คนไทยนิยมใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเอง รวมไปถึงการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ ได้แก่บริษัทกึ่งราชการ ทำให้ไม่สามารถขจัดอิทธิพลของพ่อค้าจีน เพราะต้องพึ่งการจัดการของชาวจีน
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยดำเนินนโยบายที่มีสัมพันธภาพกับฝ่ายโลกเสรี สภาวะเศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นเพราะผลจากสงครามเกาหลี จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับเข้ามามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง และยังคงดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจแบบชาตินิยม โดยเข้ามามีบทบาทด้านดารลงทุนในรูปรัฐวิสาหกิจที่เรียกว่าทุนนิยมโดยรัฐและส่งเสริมธุรกิจภาคเอกชน ซึ่งเศรษฐกิจแบบชาตินิยมนี้ก่อให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันระหว่าวงพอค้ากับราชการทำให้อำนาจทางเศรษฐกิจไทยตกอยู่ในมือของกลุ่มนายทุนเก่าและใหม่ แต่สำหรับการแก้ปัญหาขั้นพื้นฐานของสังคมไทยนั้นรัฐบาบเข้าไปแก้ปัญหาน้อยมาก เช่น เรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือการผลิตแบบล้าหลัง
2. นโยบายเศรษฐกิจภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รัฐบาลภายใต้การนำของจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นครั้งแรก โดยรัฐบาลไทยได้รับการช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาเพื่อปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยและก้าวหน้าและดำเนินการต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมนี้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยอย่างมาก คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ.2504-2509) เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจล้วนๆ เพียงฉบับเดียว เน้นการขยายบริการพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนด้านอุตสาหกรรม ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศโดยการสร้างถนน ไฟฟ้า ฯลฯ ขยายการศึกษารดับอุดมศึกษาไปสู่ระดับภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น เน้นการเพิ่มรายได้ประชาชาติและก่อให้เกิดชนชั้นกลาง
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2510-2514) รวมแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเข้าด้วยกัน ขยายการพัฒนาสู่ชนบทเพื่อขจัดการแทรกซึมของพรรคคอมมิวนิสต์
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ.2515-2519) กระจายรายได้ระหว่างเมืองและชนบท กำหนดนโยบายประชากร
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2520-2524) เร่งขยายการผลิตเพื่อส่งออก ลดช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างเมืองและชนบท มุ่งสร้างความเป็นธรรมในสังคม
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ.2525-2529) เน้นรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ขยายพื้นที่ พัฒนาบริเวณฝั่งทะเลตะวันออก
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2530-2534) ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ตลาดเพื่อให้สินค้าไทยแข่งกับต่างประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพด้าบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2535-2539) รักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพและต่อเนื่อง กระจายรายได้และการพัฒนาสู่ชนบท
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540-2544) มุ่งเน้นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และบูรณะรักษาสิ่งแวดล้อม
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549) มุ่งเน้นการสร้างระบบบริหารจัดการที่ดีในสังคมไทย การเสริมสร้างฐานรากของสังคมให้แข็งแรง การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้มีความสมดุลและยั่งยืน
หลังจากประเทศไทยประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมาเป็นเวลา 40 ปี ปรากฏว่าความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศขยายตัวอยู่ในเกณฑ์และก้าวหน้า ส่งผลให้ผลผลิตทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นและมีกรรมวิธีในการผลิตที่อาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การสาธารณูปโภคได้รับการปรับปรุงและกระจายไปสู่ชนบทมากขึ้น การลงทุนจากต่างปะเทศสูงขึ้น อัตราการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศลดลงและอัตราการเพิ่มประชากรลดลง แต่ความเจริญเติบโตเหล่านี้มิได้กระจายไปสู่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ยังมีปัญหาความยากจนและความไม่เป็นธรรมในการกระจายรายได้ความเจริญด้านต่างๆ กระจุกอยู่ตามเมืองใหญ่และในกรุงเทพฯ ช่องว่างระหว่าบุคคลมีมากขึ้นรวมไปถึงปัญหามลพิษ ที่เกิดจากการพัฒนาประเทศด้านอุตสาหกรรม กลุ่มนายทุนและนักการเมืองร่วมมือประสานประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสร้างเสริมอำนาจทางการเมืองในปัจจุบัน