พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ ๑
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของรัชกาลที่ ๑
สร้างกรุงเทพมหานครเป็นนครหลวง ทรงเห็นว่ากรุงธนบุรีซึ่งเป็นเมืองหลวงอยู่นั้นคับแคบ
ไม่สามารถขยายอาณาเขตบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้นได้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่พื้นที่ราบกว้างขวาง
และสามารถอาศัยลำน้ำเจ้าพระยาเป็นคูพระนคร เหมาะแก่การป้องกันภัยจากการรุกรานของข้าศึกศัตรู ทรงพระราชทานพระนครใหม่นี้ว่า
“ กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมาน
อวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ ” หรือที่เรียกขานกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า “ กรุงเทพมหานคร ”
ภาพจาก http://www.phyathai.com/phyathai/new/upload/media_library/ENG/About_thailand/1265.jpg
นอกจากนี้ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดซึ่งประกอบด้วย พระอุโบสถพระเจดีย์ หอราชมณเฑียรสำหรับเก็บพระไตรปิฎก
หอพระเทพบิดรและศาลาโดยรอบขึ้นในบริเวณพระบรมมหาราชวัง แล้วพระราชทานนามวัดแห่งนี้ว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต เพื่อให้คนไทยได้สักการบูชาตราบมาจนทุกวันนี้
การสงครามกับพม่า ตลอดรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก พม่ายังคงส่งกองทัพเข้ามารบกวนอยู่เสมอ ๆ
ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกต้องทรงนำทัพออกไปทำศึกสงครามกับพม่าอยู่หลายครั้ง ที่นับว่าสำคัญ ๆ มีดังนี้
1. สงคราม 9 ทัพ เป็นการยกทัพที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่พม่าเคยยกทัพมาตีไทย ซึ่งขณะนั้นทรงมีกำลังทหารเพียงครึ่งหนึ่ง
ของฝ่ายพม่า จึงทรงวางแผนยุทธวิธีในการรบใหม่ เอาคนน้อยสู้คนมาก และด้วยยุทธวิธีการรบที่เหนือกว่า
ผนวกกับจุดบกพร่องของพม่า ทำให้กองทัพไทยได้รับชัยชนะอย่างงดงาม
2. สงครามท่าดินแดน ไทยรับมือกับพม่าในครั้งนี้ด้วยการจัดทัพออกไป 2 ทัพ โดยทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวัง
บวรมหาสุรสิงหนาทคุมทัพยกไปตีพม่าที่สามสบ และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงยกทัพหลวง
ไปตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดง สงครามครั้งนี้ไทยรบกับพม่าอยู่ราว 3 วัน ทัพพม่าก็แตกพายหนีกลับไป
3. สงครามที่ป่าซางและลำปาง ในปีพุทธศักราช 2330 เมื่อพระเจ้าปุดงแพ้ศึกให้ไทยถึง 2 ครั้งแล้ว เมืองขึ้นของพม่าที่อยู่
ทางเหนือก็เริ่มแข็งเมือง พระเจ้าปุดงจึงให้กองทัพพม่ายกไปทำการปราบปราม แล้วให้เดินทัพเลยเข้ามาในเขต
ล้านนา เพื่อจะเข้าตีเมืองลำปาง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยากาวิละเจ้า
เมืองลำปางแบ่งกำลังคนไปตั้งรับที่เชียงใหม่ และให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทยกทัพหลวงขึ้นไปช่วย
ตีทัพพม่าที่ตั้งล้อมเมืองอยู่จนพม่าพ่ายแพ้ในที่สุด และเมื่อเสด็จยกทัพกลับ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ได้ทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์จากเมืองเชียงใหม่ลงมาประดิษฐานไว้ที่กรุงเทพฯ ด้วย
4. การรบที่เมืองทวาย การรบครั้งนี้ไม่สำเร็จ เนื่องจากไทยไม่ชำนาญทาง ทำให้เมื่อไปถึงทหารไทยบอบช้ำมากจากการที่
ต้องเดินทางไกล ประกอบกับเสบียงอาหารที่ขนไปหมดลง ดังนั้น หลังจากที่ได้ล้อมเมืองทวายไว้ได้ระยะหนึ่ง
ไทยจึงต้องเลิกทัพกลับ ถึงแม้การรบครั้งนี้ไทยจะไม่ได้รับชัยชนะ แต่ก็ทำให้พม่ารุ้ซึ่งว่าไทยมีกำลังเข้มแข็ง
มาก และยังทำให้เมืองทวาย เมืองตะนาวศรี และเมืองมะริด ยอมเข้ามาสวามิภักดิ์กับไทยในอีก 4 ปีต่อมา
5. การขับไล่พม่าออกจากเขตล้านนาไทย ในปีพุทธศักราช 2345 พม่ายกกองทัพใหญ่รวม 7 ทัพ เข้ามาในไทยหวังจะตีเอา
ล้านนาคืนกลับไป พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขยก
ทัพไปช่วยจนสามารถขับไล่พม่าออกจากเขตล้านนาได้หมด ทั้งยังได้หัวเมืองล้านนาอีก 57 หัวเมืองเข้ามาเป็น
เมืองขึ้นของไทยอีกด้วย
ทางด้านศาสนา โปรดให้สังคายนาพระไตรปิฎก พ.ศ.2331 และจารฉบับทอง ประดิษฐานไว้ในหอพระมณเฑียรธรรม
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม นอกจากนี้ยังทรงสร้างและบูรณะปฎิสังขรณ์พระอารามและพระพุทธรูปต่าง ๆ เป็นอันมาก