• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:426a94ecdb1fd39ca7d2c13ce59c6bba' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n                                                     <img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-embarassed.gif\" alt=\"Embarassed\" title=\"Embarassed\" /> <span style=\"color: #99cc00\"><b>โรคไวรัสตับอักเสบ เอ </b></span> <img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-foot-in-mouth.gif\" alt=\"Foot in mouth\" title=\"Foot in mouth\" />\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img width=\"251\" src=\"/files/u19304/520724.jpg\" height=\"259\" />\n</div>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n                              http://medinfo2.psu.ac.th/cancer/db/sw_editor/52/520724.jpg<span style=\"color: #000000\"> </span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #000000\"><b>โรคไวรัสตับอักเสบ เอ </b></span>เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งในสมัยก่อนมักพบค่อนข้างสูงในเด็กอายุระหว่าง 5-14 ปี โดยเด็กที่ป่วยมักไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรง แต่ทำให้เกิดการสร้างภูมิคุมกันต่อโรคเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ปัจจุบัน การสาธารณะสุขดีขึ้นจำนวนเด็กที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมีน้อยลง ส่งผลให้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ ซึ่งผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอ จะมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยเด็กอย่างเห็นได้ชัด<br />\nอาหารไม่สะอาด อาจเป็นสาเหตุของโรคไวรัสตับอับเสบเอ<br />\nติดต่อกันได้ทางอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ   โดยผู้ป่วยจะขับถ่ายเชื้อออกมากับอุจจาระ  ซึ่งถ้าไม่ถ่ายในส้วม ไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนที่จะไปสัมผัส หรือปรุงอาหารก็จะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อได้อย่างรวดเร็ว <br />\n                                                                                                                 <img align=\"right\" width=\"180\" src=\"/files/u19304/3895.jpg\" height=\"210\" />\n</p>\n<p>\nตับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ปกติจะมีน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม โดยอยู่หลังกระบังลม</p>\n<p><b>หน้าที่ของตับ</b>                                         </p>\n<p>    * เป็นคลังสะสมอาหาร เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เอาไว้ใช้ และปล่อยเมื่อร่างกายต้องการ<br />\n    * สังเคราะห์สารต่างๆ เช่น น้ำดี สารควบคุมการแข็งตัวของเลือด ฮอร์โมน<br />\n    * กำจัดสารพิษ และสิ่งแปลกปลอม เช่นเชื้อโรค หรือยา </p>\n<p><span style=\"color: #cc0099\"><b>โรคตับชนิดต่างๆ</b></span></p>\n<p>ตับมีโอกาสเป็นโรคต่างๆได้แก่ โรคตับอักเสบ hepatitis โรคตับแข็ง [cirrhosis] มะเร็งตับ [liver cancer] โรคไขมันในตับ [fatty liver] โรคฝีในตับ [liver abscess]\n</p>\n<p align=\"right\">\n<a href=\"http://www.vcharkarn.com/uploads/3/3895.jpg\" title=\"http://www.vcharkarn.com/uploads/3/3895.jpg\">http://www.vcharkarn.com/uploads/3/3895.jpg</a>\n</p>\n<p>\n<b>โรคตับอักเสบมี 2 ชนิด</b></p>\n<p>   1. โรคตับอักเสบเฉียบพลัน [acute hepatitis] หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต<br />\n   2. โรคตับอักเสบเรื้อรัง [chronic hepatitis] หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด</p>\n<p>    * chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก<br />\n    * chronic active hepatitis.มีการอักเสบของตับ และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง</p>\n<p>\n<span style=\"color: #996699\"><b><br />\nสาเหตุของโรคตับอักเสบ</b></span></p>\n<p>   1. เชื้อไวรัส มีหลายชนิดได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ ,บ,ซี,ดี,อี<br />\n   2. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์<br />\n   3. ยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรค halothane, isoniazid, methyldopa, phenytoin, valproic acid, sulfonamide drugs. ผู้ป่วยหากได้ acetaminophen (พาราเซ็ตตามอล)ในขนาดสูงมากก็สามารถทำให้ตับถูกทำลายได้<br />\n   4. เชื้อโรคบางชนิด เช่น ไทฟอยด์,มาลาเรีย</p>\n<p>การอักเสบของตับจะทำให้ตับบวม มีการทำลายเซลล์ตับ ทำให้มีอาการอ่อนเพลียจากการทำงานผิดปกติของตับ หากการอักเสบเกิดขึ้นเป็นเวลานานจะทำให้ตับถูกทำลายมาก และถูกแทนที่ด้วยพังผืด ทำให้ตับมีแผลเป็น และมีลักษณะแข็งเป็นตุ่มๆ แม้ว่าสาเหตุของตับอักเสบจะมีมากมายแต่สาเหตุที่สำคัญคือไวรัสตับอักเสบ ปัญหาโรคตับอักเสบ บี และโรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลก การดำเนินของโรคตับอักเสบ บี และโรคตับอักเสบ ซีสามารถดำเนินเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง เป็นตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับ เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทางครอบครัว ทางเศรษฐกิจเป็นอันมาก ดังนั้นการเข้าใจถึงโรคตับอักเสบ ซึ่งรวมถึงการติดต่อ การดำเนินของโรค การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันการติดต่อซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดูแลและช่วยลดจำนวนผู้ป่วยลง</p>\n<p>ไวรัสตับอักเสบมีกี่ชนิด<br />\n<img align=\"right\" width=\"234\" src=\"/files/u19304/tap.jpg\" height=\"134\" /><br />\n    * ไวรัสตับอักเสบ เอ                            <br />\n    * ไวรัสตับอักเสบ บี<br />\n    * ไวรัสตับอักเสบ ซี<br />\n    * ไวรัสตับอักเสบ ดี<br />\n    * ไวรัสตับอักเสบ อี</p>\n<p><span style=\"color: #33cccc\"><b></b></span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #33cccc\"><b>  อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ</b></span></p>\n<p>ผู้ป่วยดีซ่านตาขาวและผิวจะมีสีเหลือง                                        <a href=\"http://www.ku.ac.th/e-magazine/may44/know/tap.jpg\" title=\"http://www.ku.ac.th/e-magazine/may44/know/tap.jpg\">http://www.ku.ac.th/e-magazine/may44/know/tap.jpg</a></p>\n<p>    * ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อย คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจจะพบผื่นตามตัว หรืออาการท้องเสีย บางรายปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือน ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ โรคไวรัสตับอักเสบ บี พบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง<br />\n    * ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด</p>\n<p><b>จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นตับอักเสบ</b>...</p>\n<p>หากสงสัยว่าจะเป็นโรคตับอักเสบท่านควรไปรับการตรวจเลือดเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อหรือไม่โดย</p>\n<p>   1. ตรวจการทำงานของตับ โดยการหาระดับ SGOT[AST],SGPT [ALT]ค่าปกติน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าค่ามากกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะขอตรวจเดือนละครั้งติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน การแปรผลเลือด<br />\n   2. การตรวจหาตัวเชื้อ</p>\n<p>    * ไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจหา Ig M Anti HAV<br />\n    * ไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg ถ้าบวกแสดงว่ามีเชื้ออยู่   Anti HBs ถ้าบวกแสดงว่ามีภูมิต่อเชื้อ  HBeAg ถ้าบวกแสดงว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณเชื้อ<br />\n    * ไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการบอกว่ามีภูมิต่อเชื้อ  HCV-RNA ดูปริมาณของเชื้อ</p>\n<p>   3. การตรวจดูโครงสร้างของตับ เช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่<br />\n   4. การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวินิจฉัยความรุนแรงของโรค<br />\n<b><br />\nการรักษา</b></p>\n<p>การเลือกใช้ยาจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเนื่องจากยามีผลข้างเคียงที่พึงระวังหลายอย่าง ยาที่ใช้อยู่มี interfeon และ lamuvudin\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img width=\"351\" src=\"/files/u19304/1806.jpg\" height=\"271\" />\n</div>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n                                       <a href=\"http://www.fm100cmu.com/blog/GoodHealth/uploads/1806.jpg\" title=\"http://www.fm100cmu.com/blog/GoodHealth/uploads/1806.jpg\">http://www.fm100cmu.com/blog/GoodHealth/uploads/1806.jpg</a>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"color: #ffcc99\">การปฏิบัติตัว</span></b></p>\n<p>    * หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีการอักเสบของตับ แต่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้<br />\n    * งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์<br />\n    * รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียง ไม่ต้องดื่มน้ำหวานมากๆ เพราะทำให้ไขมันสะสมที่ตับเพิ่มขึ้น</p>\n<p>ถ้าเคยเป็นแล้วจะมีโอกาสติดเชื้ออีกหรือไม่</p>\n<p>ถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบ เอ และ อี จะหายขาด ไวรัสตับอักเสบ บี ร้อยละ 90 หายขาด ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี และ ดี ยังไม่มีข้อมูล</p>\n<p>พาหะของโรคจะทำอย่างไร</p>\n<p>ผู้ป่วยที่เป็นพาหะ คือ ผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกาย แต่ไมแสดงอาการของตับอักเสบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และต้องมั่นติดตามการดูแลจากแพทย์เป็นระยะๆ ผู้ป่วยที่เป็นพาหะมักเป็นกับเชื้อ บี และ ซี เท่านั้น</p>\n<p>ถ้ามารดาเป็นตับอักเสบจะมีผลอย่างไรต่อบุตร</p>\n<p>บุตรที่คลอดจากมารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีจะมีโอกาสติดเชื้อได้สูง แต่ปัจจุบันการฉีดวัคซีนให้กับทารกสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แม่สามารถให้นมบุตรได้</p>\n<p>การป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ การติดเชื้อตับอักเสบ เอจากอาหาร\n</p>\n<p>\n&nbsp;\n</p>\n<p>\n                                 <a href=\"/node/41860\" title=\"หน้าเเรก\"><img width=\"351\" src=\"/files/u19304/1806.jpg\" height=\"271\" style=\"width: 96px; height: 91px\" /></a>                               <a href=\"/node/49217\" title=\"โรคติดต่อ\"><img width=\"351\" src=\"/files/u19304/1806.jpg\" height=\"271\" style=\"width: 96px; height: 91px\" /></a>\n</p>\n', created = 1728186129, expire = 1728272529, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:426a94ecdb1fd39ca7d2c13ce59c6bba' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

โรคไวรัสตับอักเสบ เอ

รูปภาพของ youdo2009

                                                     Embarassed โรคไวรัสตับอักเสบ เอ  Foot in mouth

 

 

                              http://medinfo2.psu.ac.th/cancer/db/sw_editor/52/520724.jpg

โรคไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งในสมัยก่อนมักพบค่อนข้างสูงในเด็กอายุระหว่าง 5-14 ปี โดยเด็กที่ป่วยมักไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรง แต่ทำให้เกิดการสร้างภูมิคุมกันต่อโรคเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ปัจจุบัน การสาธารณะสุขดีขึ้นจำนวนเด็กที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมีน้อยลง ส่งผลให้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ ซึ่งผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอ จะมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยเด็กอย่างเห็นได้ชัด
อาหารไม่สะอาด อาจเป็นสาเหตุของโรคไวรัสตับอับเสบเอ
ติดต่อกันได้ทางอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ   โดยผู้ป่วยจะขับถ่ายเชื้อออกมากับอุจจาระ  ซึ่งถ้าไม่ถ่ายในส้วม ไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนที่จะไปสัมผัส หรือปรุงอาหารก็จะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อได้อย่างรวดเร็ว
                                                                                                                

ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ปกติจะมีน้ำหนัก 1.5 กิโลกรัม โดยอยู่หลังกระบังลม

หน้าที่ของตับ                                        

    * เป็นคลังสะสมอาหาร เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน เอาไว้ใช้ และปล่อยเมื่อร่างกายต้องการ
    * สังเคราะห์สารต่างๆ เช่น น้ำดี สารควบคุมการแข็งตัวของเลือด ฮอร์โมน
    * กำจัดสารพิษ และสิ่งแปลกปลอม เช่นเชื้อโรค หรือยา

โรคตับชนิดต่างๆ

ตับมีโอกาสเป็นโรคต่างๆได้แก่ โรคตับอักเสบ hepatitis โรคตับแข็ง [cirrhosis] มะเร็งตับ [liver cancer] โรคไขมันในตับ [fatty liver] โรคฝีในตับ [liver abscess]

http://www.vcharkarn.com/uploads/3/3895.jpg

โรคตับอักเสบมี 2 ชนิด

   1. โรคตับอักเสบเฉียบพลัน [acute hepatitis] หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต
   2. โรคตับอักเสบเรื้อรัง [chronic hepatitis] หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด

    * chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก
    * chronic active hepatitis.มีการอักเสบของตับ และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง


สาเหตุของโรคตับอักเสบ

   1. เชื้อไวรัส มีหลายชนิดได้แก่ ไวรัสตับอักเสบ เอ ,บ,ซี,ดี,อี
   2. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
   3. ยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรค halothane, isoniazid, methyldopa, phenytoin, valproic acid, sulfonamide drugs. ผู้ป่วยหากได้ acetaminophen (พาราเซ็ตตามอล)ในขนาดสูงมากก็สามารถทำให้ตับถูกทำลายได้
   4. เชื้อโรคบางชนิด เช่น ไทฟอยด์,มาลาเรีย

การอักเสบของตับจะทำให้ตับบวม มีการทำลายเซลล์ตับ ทำให้มีอาการอ่อนเพลียจากการทำงานผิดปกติของตับ หากการอักเสบเกิดขึ้นเป็นเวลานานจะทำให้ตับถูกทำลายมาก และถูกแทนที่ด้วยพังผืด ทำให้ตับมีแผลเป็น และมีลักษณะแข็งเป็นตุ่มๆ แม้ว่าสาเหตุของตับอักเสบจะมีมากมายแต่สาเหตุที่สำคัญคือไวรัสตับอักเสบ ปัญหาโรคตับอักเสบ บี และโรคตับอักเสบเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขของประเทศไทยและทั่วโลก การดำเนินของโรคตับอักเสบ บี และโรคตับอักเสบ ซีสามารถดำเนินเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง เป็นตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับ เป็นภาวะที่ก่อให้เกิดการสูญเสียทางครอบครัว ทางเศรษฐกิจเป็นอันมาก ดังนั้นการเข้าใจถึงโรคตับอักเสบ ซึ่งรวมถึงการติดต่อ การดำเนินของโรค การวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันการติดต่อซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดูแลและช่วยลดจำนวนผู้ป่วยลง

ไวรัสตับอักเสบมีกี่ชนิด

    * ไวรัสตับอักเสบ เอ                           
    * ไวรัสตับอักเสบ บี
    * ไวรัสตับอักเสบ ซี
    * ไวรัสตับอักเสบ ดี
    * ไวรัสตับอักเสบ อี

  อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ

ผู้ป่วยดีซ่านตาขาวและผิวจะมีสีเหลือง                                        http://www.ku.ac.th/e-magazine/may44/know/tap.jpg

    * ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อย คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจจะพบผื่นตามตัว หรืออาการท้องเสีย บางรายปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือน ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ โรคไวรัสตับอักเสบ บี พบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง
    * ตับอักเสบเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ แต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด

จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นตับอักเสบ...

หากสงสัยว่าจะเป็นโรคตับอักเสบท่านควรไปรับการตรวจเลือดเพื่อหาว่ามีการติดเชื้อหรือไม่โดย

   1. ตรวจการทำงานของตับ โดยการหาระดับ SGOT[AST],SGPT [ALT]ค่าปกติน้อยกว่า 40 IU/L ถ้าค่ามากกว่า 1.5-2 เท่าให้สงสัยว่าตับอักเสบ หากพบว่าผิดปกติแพทย์จะขอตรวจเดือนละครั้งติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน การแปรผลเลือด
   2. การตรวจหาตัวเชื้อ

    * ไวรัสตับอักเสบ เอ ตรวจหา Ig M Anti HAV
    * ไวรัสตับอักเสบ บี ตรวจหา HBsAg ถ้าบวกแสดงว่ามีเชื้ออยู่   Anti HBs ถ้าบวกแสดงว่ามีภูมิต่อเชื้อ  HBeAg ถ้าบวกแสดงว่าเชื้อมีการแบ่งตัว HBV-DNA เป็นการตรวจเพื่อหาปริมาณเชื้อ
    * ไวรัสตับอักเสบ ซี Anti-HCV เป็นการบอกว่ามีภูมิต่อเชื้อ  HCV-RNA ดูปริมาณของเชื้อ

   3. การตรวจดูโครงสร้างของตับ เช่นการตรวจคลื่นเสียงเพื่อดูว่ามีตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่
   4. การตรวจชิ้นเนื้อตับ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนำชิ้นเนื้อตับเพื่อวินิจฉัยความรุนแรงของโรค

การรักษา

การเลือกใช้ยาจะเป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเนื่องจากยามีผลข้างเคียงที่พึงระวังหลายอย่าง ยาที่ใช้อยู่มี interfeon และ lamuvudin

 

 

                                       http://www.fm100cmu.com/blog/GoodHealth/uploads/1806.jpg

การปฏิบัติตัว

    * หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีการอักเสบของตับ แต่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้
    * งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
    * รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียง ไม่ต้องดื่มน้ำหวานมากๆ เพราะทำให้ไขมันสะสมที่ตับเพิ่มขึ้น

ถ้าเคยเป็นแล้วจะมีโอกาสติดเชื้ออีกหรือไม่

ถ้าเป็นไวรัสตับอักเสบ เอ และ อี จะหายขาด ไวรัสตับอักเสบ บี ร้อยละ 90 หายขาด ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี และ ดี ยังไม่มีข้อมูล

พาหะของโรคจะทำอย่างไร

ผู้ป่วยที่เป็นพาหะ คือ ผู้ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบอยู่ในร่างกาย แต่ไมแสดงอาการของตับอักเสบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น และต้องมั่นติดตามการดูแลจากแพทย์เป็นระยะๆ ผู้ป่วยที่เป็นพาหะมักเป็นกับเชื้อ บี และ ซี เท่านั้น

ถ้ามารดาเป็นตับอักเสบจะมีผลอย่างไรต่อบุตร

บุตรที่คลอดจากมารดาที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีจะมีโอกาสติดเชื้อได้สูง แต่ปัจจุบันการฉีดวัคซีนให้กับทารกสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ แม่สามารถให้นมบุตรได้

การป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ การติดเชื้อตับอักเสบ เอจากอาหาร

 

                                                               

สร้างโดย: 
อ. สมาน ถวิลกิจ เเละ น.ส. สพัตรา บุญพรม ม.6/7 เลขที่ 24 โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัย

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 416 คน กำลังออนไลน์