14 ตุลา (ปัจจัยการเกิดเหตุการณ์)
ปัจจัยการเกิดเหตุการณ์
ั
ปัจจัยการเกิดเหตุการณ์
รัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร รับช่วงบริหารประเทศตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๐๒ สืบต่อจากรัฐบาลจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๐๖ มาจนถึงปี ๒๕๑๑ จึงประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็น กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวร่างโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งร่างมาตั้งแต่สมัย รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์เมื่อปี๒๕๐๒ นับเป็นรัฐธรรมนูญที่ใช้เวลาร่างยาวนานมาก และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการร่างมาก ที่สุดยิ่งกว่าธรรมนูญฉบับใด ๆ ที่เคยมีมาในประเทศไทย ( จ่ายเป็นเงินเดือนสมาชิกสภาร่าง ฯ )
เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว จึงกำหนดให้วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ เป็นวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จอมพลถนอมตั้งพรรค "สหประชาไทย" เพื่อส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยตัวเองรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค มีจอมพล ประภาส จารุเสถียร ซึ่งขณะนั้นยังมียศเป็นพลเอก และนายพจน์ สารสินเป็นรองหัวหน้าพรรค พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นเลขาธิการพรรค ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า พรรคของจอมพลถนอมได้ที่นั่งในสภา ๗๕ ที่นั่งขณะ ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ๕๐ กว่าที่นั่ง นอกนั้นเป็น ส.ส. สังกัดพรรคเล็กพรรคน้อย และ ส.ส.อิสระที่ไม่สังกัดพรรค การเมืองใด
หลังการเลือกตั้ง จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เข้าบริหารประเทศในบรรยากาศ "ประชาธิปไตยครึ่งใบ" ที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งอยู่นานสองปีกว่าจึงตัดสินใจปฏิวัติรัฐบาลของ ตัวเองเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ โดยอ้างเหตุผลถึงภัยจากต่างชาติบางประเทศที่เข้ามาแทรกแซงและยุยง ส่งเสริมให้ผู้ก่อการร้ายกำเริบเสิบสานในประเทศ นอกจากนั้นสถานการณ์ ภายในประเทศก็เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง นานาประการ ซึ่งคณะปฏิวัติเห็นว่าหากปล่อยให้มีการแก้ไขไปตามวิถีทางของรัฐธรรมนูญแล้ว จะเป็นการล่าช้า จึงตัดสินใจปฏิวัติเพื่อให้สามารถแก้ไขสถานการณ์ของประเทศได้ผลอย่างรวดเร็ว
เมื่อทำการปฏิวัติแล้ว จอมพลถนอมได้จัดตั้งสภาบริหารคณะปฏิวัติขึ้นเพื่อปกครองประเทศ โดยจอมพลถนอม ดำรงตำแหน่งเป็นประธานสภาบริหารคณะปฏิวัติ มีผู้อำนวยการสี่ฝ่ายคือ ๑. พล.อ. ประภาส จารุเสถียร เป็นผู้อำนวยการ ฝ่ายรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ ๒. นายพจน์ สารสิน เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจและ การคลัง ๓. พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเกษตรและคมนาคม และ พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจขณะนั้น เป็นผู้อำนวยการฝ่ายศึกษาและสาธารณสุข
ในการปฏิวัติ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ นี้ พ.อ. ณรงค์ กิตติขจร ลูกชายจอมพลถนอมและเป็นลูกเขย จอมพลประภาส ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขาธิการคณะปฏิวัติ เมื่อการปฏิวัติเสร็จสิ้นลง เขาได้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิวัติราชการ ( กตป. ) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจมากมาย
ในการตรวจตราการปฏิบัติงานของข้าราชการในช่วงที่คณะปฏิวัติขึ้นบริหารประเทศนั้น ตลอดเวลาได้มีเสียง เรียกร้องจากประชาชนอยู่เสมอ ให้คณะปฏิวัติรีบประกาศใช้รับธรรมนูญและจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ให้ถูกต้องตามขั้นตอน ประจวบกับในปี ๒๕๑๕ เป็นปีที่สถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ซึ่งมีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษาขึ้นสมเด็จพระบรมโอรสสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารฯ จึงจำเป็นต้องมีรัฐบาลให้ถูกต้อง ตามธรรมเนียมนิยม เพราะจะจัดให้มีพระราชพิธีในขณะที่ประเทศชาติบ้านเมืองยังอยู่ในระหว่างการ
ปกครองของคณะปฏิวัติไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญการปกครองแห่งราฃอาณาจักรเมื่อ วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๕ ซึ่งมีบทบัญญัติทั้งสิน ๒๓ มาตรา รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้มี " สภานิติบัญญัติแห่งชาติ" เพียงสภาเดียว โดยประกอบด้วยสมาชิกมีสิทธิ์ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลได้ แต่ห้ามอภิปรายหรือซักถามเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ สมาชิกไม่มีอำนาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ส่วนรับมนตรีนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดว่าห้ามเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ