14 ตุลา(สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง)
สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
สภาพสังคม
ในช่วง พ.ศ.2503-2513 ประเทศไทยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรมากถึงร้อยละ 38.4 หรือเฉลี่ยปีละ 1 ล้านคน ซึ่งถือว่าสูงมาก การเพิ่มขึ้นของประชากรส่งผลกระทบทางสังคมหลายประการ เช่น การอพยพย้ายถิ่นเข้ามา อาศัยอยู่ในเขตเมืองมากขึ้น เกิดกลุ่มอาชีพและกลุ่มชนชั้นกลางทางเศรษฐกิจมากขึ้นอันรวมไปถึง การเพิ่มของ ชนชั้นแรงงาน ยิ่งรัฐมีนโยบายส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการศึกษามากขึ้นเท่าไร ปัญหาที่ตามมาก็คือ การเกิดภาวะ คนว่างานมากขึ้นเท่านั้นเหตุเพราะรัฐบาลไม่สามารถหาแหล่งงานรองรับผู้จบการศึกษาได้เพียงพอแม้จะมีการลงทุนทาง อุตสาหกรรมอยู่ในระดับสูง แต่โรงงานที่เกิดขึ้นมักมีความต้องการแรงงานในระดับต่ำเพราะเป็นโรงงาน ที่ใช้เครื่อง จักรกลเป็นส่วนใหญ่ การเพิ่มขึ้นของประชากรประกอบกับการส่งเสริมการศึกษาและมีการลงทุนใน ภาคอุตสาหกรรม มาขึ้นทำให้เกิดชนชั้นใหม่ที่มีอิทธิพล ต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กล่าวคือ
กลุ่มหนึ่ง กลุ่มนักธุรกิจทั้งในภาคการธนาคาร สถาบันการเงินและอุตสาหกรรมการบริการ เป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐเน้นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจผนวกกับการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ ประกอบกับการใช้จ่ายเงินของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามทำให้เกิดภาวะพลวัตในระบบเศรษฐกิจไทยและ นำไปสู่ การเกิดชนชั้นกลางและเศรษฐีใหม่ขึ้นแม้อำนาจทางการเมืองจะอยู่ในกลุ่มของผู่บริหารบ้านเมือง
กลุ่มที่สอง กลุ่มผู้ใช้แรงงานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและบริการ เพราะรัฐมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมทำให้แรงงานในชนบทหลั่งไหลเข้ามาทำงานในเขต เมืองซึ่งเป็น ที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรม
กลุ่มที่สาม กลุ่มนิสิตนักศึกษาและนักเรียนอาชีวะ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมากมายเนื่องจากนโยบาย ขยายการศึกษา อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำให้มีผู้สำเร็จการศึกษา ในระดับมหาวิทยาลัยและ อาชีวเป็นจำนวน มากผลที่ตามมาก็คือการไม่สามารถรองรับผู้จบการศึกษา เข้าทำงานได้อย่างเพียงพอจน เป็นสาเหตุของการว่างงานและกลายเป็นกระแสความไม่พอใจ ในหมู่ผู้ที่กำลังศึกษาและผู้ที่ว่างงาน
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองภายหลังการปฏิวัติตังเองของจอมพลถนอม เช่นกลุ่มที่สนับสนุนพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิวงค์ ที่รอเวลาและโอกาสในการโค่นล้มกลุ่มของจอมพลถนอม