การทำศัลยกรรมช่องปาก
1. การผ่าตัดเพื่อผ่าฟันคุด
ฟันคุดหรือฟันกรามซี่ในสุดจะเป็นฟันชุดสุดท้ายที่จะออกมาในช่วงอายุประมาณ 16-18 ปี และอาจออกมาเต็มที่ในช่วงอายุประมาณ 22-23 ปี โดยปกติแล้ว ฟันกรามชุดสุดท้ายจะมีสี่ซี่ และอยู่บริเวณด้านในสุดถัดจากฟันกราม หากกระดูกขากรรไกรมีขนาดความยาวพอ ฟันเหล่านั้นก็จะออกมาตามปกติ แต่หากกระดูกขากรรไกรมีความยาวไม่พอ มีช่องว่างไม่พอที่จะออกมาหรือเกิดอุปสรรคต่างๆทำให้ฟันไม่สามารถออกมาได้ ฟันเหล่านั้นจะฝังอยู่บริเวณด้านในบริเวณกระดูกขากรรไกรซึ่งจะเรียกว่า ฟันคุด
อาการและสาเหตุของฟันคุด
• อาการปวดบริเวณกระดูกและเหงือก เนื่องจากมีคราบหินปูนและแบคทีเรียบริเวณ ซอกฟัน และซอกเหงือก และทำให้เกิดโรคเหงือก
• อาการปวดบริเวณเหงือกทำให้เหงือกมีการอักเสบติดเชื้อ จึงส่งผลให้บริเวณฟันคุดมีอาการปวด
• อาจมีอาการปวดหัว ปวดหู บวมบริเวณหน้าและลำคอ
• อาจเกิดต่อมน้ำหรือก้อนซีสบริเวณเหงือก ซึ่งอาจส่งผลให้เป็นอันตรายต่อบริเวณกระดูก ของฟันซี่ใกล้เคียง
หมายเหตุ : ผู้ป่วยแต่ละบุคคลจะมีอาการและสาเหตุต่างกัน ดังนั้นคนไข้จึงควรปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อวินิจฉัยและหาวิธีการรักษาที่เหมาะสม
ข้อดีของการผ่าฟันคุด
การผ่าตัดเพื่อนำฟันคุดออกมา ควรทำการรักษาก่อนที่จะมี อาการเจ็บปวดบริเวณฟันคุด เนื่องจากหากรอให้ถึงเวลาเจ็บปวด กระดูกขากรรไกรอาจมีการเจริญเติบโตและแข็งแรงเต็มที่ ซึ่งอาจทำให้ มีความยากลำบากต่อการรักษา รวมถึงอาจเกิดโรคอื่นๆแทรกซ้อนได้
2. การผ่าตัดเพื่อจัดแต่งขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน
การผ่าตัดเพื่อจัดแต่งขากรรไกรร่วมกับการจัดฟัน คือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขและปรับตำแหน่งของขากรรไกรเพื่อให้โครงหน้าเป็นปกติ ซึ่งอาจมีการจัดฟันร่วมกับการรักษาสภาพของโครงหน้าให้เป็นปกติดียิ่งขึ้นด้วย
อาการและสาเหตุของการผ่าตัดเพื่อจัดแต่งขากรรไกร
• มีปัญหาในการสบฟัน ทำให้การพูดและออกเสียงผิดปกติ
• มีปัญหาในการบดเคี้ยว เนื่องจากโครงสร้างของหน้าและฟันผิดปกติ จึงทำให้การบดเคี้ยวเป็น ไปในทางที่ไม่เหมาะสม
• มีอาการปวดบริเวณขากรรไกร เนื่องจากมีความผิดปกติของรูปร่าง
• มีความผิดปกติของโครงสร้างฟัน และมีความผิดปกติของการสบฟัน
• มีความผิดปกติของโครงสร้างของหน้า
• มีอาการนอนกรน
ข้อดีของการผ่าตัดเพื่อจัดแต่งขากรรไกร
• ทำให้การออกเสียงและการพูดดีขึ้นและชัดเจนมากขึ้น
• ทำให้การบดเคี้ยวอาหารต่างๆมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เนื่องจากการสบฟันที่ดีขึ้น
• ทำให้โครงสร้างของขากรรไกร และโครงสร้างของหน้าได้รูปมาก และเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
3. การผ่าตัดเพื่อปลูกรากฟันเทียม
ทันตกรรมรากฟันเทียมเป็นวิธีการปลูกรากฟันเทียมทดแทนรากฟันจริง เพื่อให้สามารถมีฟันเสมือนจริงได้ดังเดิม โดยการฝังรากฟันเทียมไทเทเนียมลงบนกระดูกรองรับฟัน เพื่อเป็นฐานให้แก่ฟันที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ซึ่งอาจเป็นสะพานฟันหรือฟันปลอม ทำให้ฐานของฟันมั่นคงมากยิ่งขึ้น
4. การผ่าตัดเพื่อปลูกถ่ายกระดูก
การปลูกถ่ายกระดูกเป็นวิธีการรักษาทางทันตกรรมเพื่อแก้ปัญหาการมีกระดูกขากรรไกร ไม่เพียงพอหรือไม่สมบูรณ์พอที่จะทำการรักษาการปลูกรากฟันเทียม
ปัจจุบันการปลูกถ่ายกระดูกเป็นวิธีที่มีความสำคัญมาก ซึ่งสามารถเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่อยู่ในขั้นตอนกระบวนการเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการปลูกรากฟันเทียม เช่น หากมีกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอต่อการรักษาการปลูกรากฟันเทียม ต้องใช้วิธีนี้ช่วยเสริมก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาอย่างสูงสุด เนื่องจากคนไข้บางรายมีการเสื่อมสลายของตัวกระดูกรอบรับฟัน หลังจากที่มีการสูญเสียฟันบริเวณนั้นไป หรือสามารถใช้การปลูกถ่ายกระดูกเพื่อรักษาโครงหน้าได้
ประเภทของการปลูกถ่ายกระดูก
ประเภทของการปลูกถ่ายกระดูกแบ่งตามประเภทของวัสดุที่ใช้ ซึ่งแบ่งเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. เนื้อเยื่อปลูกถ่ายอาตมัน (Autograft หรือ autogenous bone graft)
2. เนื้อเยื่อปลูกถ่ายเอกพันธุ์ (Allograft หรือ allogenic bone graft หรือ Homograft)
3. เนื้อเยื่อปลูกถ่ายวิวิธพันธุ์ (Xenograft หรือ xenogenic bone graft)
4. สารปลูกถ่าย (Alloplast หรือ alloplastic bone graft)
5. ปัจจัยการเจริญเติบโต (Growth Factors)