ที่มาของเรื่องขุนช้างขุนแผน
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน มีเค้าว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒ ในรัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งกรุงศรีอยุธยาและกลายเป็นนิทานเล่าสืบต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนที่จะนำมาแต่งเป็นกลอนเสภาในภายหลัง
สุจิตต์ วงษ์เทศ (๒๕๔๒) ได้ศึกษาเรื่องขุนช้างขุนแผนเพิ่มเติมจากเอกสารโบราณหลายแห่งโดยเฉพาะชื่อ "ขุนแผน" นั้นเป็นชื่อที่พรายแก้วได้รับพระราชทานจากพระพันวษา หลังจากพรายแก้วตีเมืองเชียงทองได้คำว่า "แผน" จึงน่ากลายเสียงมาจากคำว่า "แถน" ซึ่งน่าจะหมายถึง "ผีฟ้า" ของกลุ่มตระกูลไทย สาวมาแต่ถึงยุคดึกดำบรรพ์นอกจากนี้คำว่า "ขุนแผน" ยังไปปรากฏในโรงการแช่งน้ำสมัยกรุงศรีอยุธยาโดยเรียก "พระพรหม" ว่า "ขุนแผน" ซึ่งหมายถึงผู้สร้างโลก
ดังนั้นการตั้งชื่อตัวละครว่า "ขุนแผน" จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นเจตนาที่ยกย่องตัวละครตัวนี้ให้ยิ่งใหญ่ ซึ่งสุจิตต์ วงษ์เทศ ยังอ้างถึงค่าให้การของชาวกรุงเก่า (แปลจากฉบับหลวงที่ได้มาจากเมืองพม่า) จารึกสุโขทัยหลักที่ ๒ (จารึกวัดศรีชุม) สรุปได้ว่าขุนแผนได้รับการยกย่องให้อยู่ในฐานะสูงมากเพราะแม้แต่ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผนซึ่งขุนแผนในวัยชราได้ทูลถวายสมเด็จพระพันวษาก็ยังได้รับการอัญเชิญตามเสด็จคู่กับพระแสงขรรค์ไชยศรีโดยพระราชทานว่า "พระแสงปราบศัตรู" นั้นย่อมแสดงว่าเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนไม่ใช่นิทานธรรมดาแต่ในสมัยก่อนน่าจะเป็นนิทานศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้สุจิตต์ วงษ์เทศ ยังได้สืบค้นหลักฐานเพื่อยืนยันว่าเรื่องขุนช้างขุนแผนไม่ใช่เรื่องจริงแต่เป็นนิทาน ซึ่งต่อมาภายหลังมีผู้แต่งเติมต่อให้เรื่องชวามีชีวิตชีวาสมจริงจนอ่านแล้วเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไทย
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นเสภาเพียงเรื่องเดียวที่นิยมใช้ขับกินในงานประเพณีต่างๆ เช่น งานโกนจุก เนื่องจากเป็นนิทานที่ชาวกรุงเก่าชื่นชอบเพราะเป็นเรื่องสนุก จับใจและเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
ในสมัยก่อนนั้นการขับเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนน่าขับเป็นบทๆ หรือเป็นตอนๆ สลับกับการเล่าบทได้ที่จำได้แล้วก็จะไม่ถ้าเป็นต้องดูหรืออ่านบทอีกประกอบกับเป็นของหวงที่ปกปิดกันจึงทำให้เสภาสำนวนกรุงเก่าไม่เหลือในรูปแบบของลายลักษณ์ แต่คงเหลือไว้ในความทรงจำเท่านั้น ต่อมาจึงมีการชำระและแต่งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การรวมบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนครั้งแรกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีเพียง ๓๘ เล่มสมุดไทย โดยมีตอนพลายเพชรพลายบัวรวมอยู่ด้วยจึงรวบรวงบทเสภาที่เก่าและใหม่เป็น ๔๒ เล่มสมุดไทย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หมอสมิธได้จัดพิมพ์บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นครั้งแรกเมื่อปีวอก จุลศักราช ๑๒๓๔ ส่งผลให้คนขับเสภาสำนวนกรุงเก่าเหลือน้อยลง เนื่องจากหันมาขับเสภาสำนวนหลวงแทนเพราะหาซื้อบทเสภาสำนวนหลวงได้ง่าย
ภายหลังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพและพระราชวงศ์เธอกรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา ได้ร่วมกันตรวจชำระเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนที่หลงเหลืออยู่หลายสำนวนแล้วจัดพิมพ์ขึ้นใหม่เป็นฉบับพระสมุดวชิรญาณในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ รวมทั้งสิ้น ๔๓ ตอน
ความแพร่หลายของเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนนั้นนอกจากจะจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มหลายครั้งแล้วก็ยังปรากฏในรูปแบบของบทละคร บทภาพยนตร์และบทเพลงรักด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะความสมจริงที่มีชีวิตชีวาน่าประทับใจของเรื่องและตังละครทำให้เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นที่นิยมในหมู่ชาวไทยทุกเพศ ทุกวัยมาตั้งแต่อดีต ด้วยเหตุผลตามที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีหลายพระหัตถ์ทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า " คนที่ชอบเรื่องขุนช้างขุนแผนเพราะเป็นเรื่องจริงนั้นก็ถูกส่วนหนึ่งแต่เห็นจะเป็นเรื่องเรื่องที่ไม่จริงตามใจหวัง ทำให้ผู้ฟังวับหวามด้วยอีกส่วนหนึ่ง เรื่องขวางน้ำใจอยู่ดังนี้ของเรามีอยู่เรื่องเดียวเท่านั้น ประกอบกับคำแต่งเหมือนเรื่องของจิงจังจึงชอบกันไม่รู้จืด" (วิจารณ์เรื่องตำนานเสภาอ้างจาก สุจิตต์ วงษ์เทศ ๒๕๒๘)