โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
ที่มา:http://www.skn.ac.th/skl/project1/hor48/hor75.gif
โรคเบาหวานเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งตับอ่อนของร่างกายไม่สามารถผลิตอินชูลินได้้ พอเพียงหากรับประทานอาหารเข้าไปร่าง กายจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอาหารนั้นให้เกิดเป็นพลังงานได้ หากผู้ป่วยเป็นโรคนี้จะเป็นตลอดชีวิต ถ้าไม่มีการดูแลร่างกายอย่าง ต่อเนื่องจะไม่มีการควบคุมการรับประทานอาหารที่ดี เกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมา เช่น ถ้าผู้ป่วยมีบาดแผลไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต้องรีบ รักษาให้แผลหายก่อนที่แผลจะลุกลาม มิฉะนั้นอาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง เนื่องจากบาดแผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมักจะ รักษายากและหายช้า โรคเบาหวานเป็นสาเหตุของการป่วยเป็นโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีอันตราย ข้อสังเกตและข้อแนะนำในการตรวจ ว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ โดยสังเกตดูง่าย ๆ จากชีวิตประจำวันว่าในแต่ละวันมีอาการต่อไปนี้บ้างหรือไม่ เช่น มีปัสสาวะบ่อยเวลา กลางคืน มีอาการอ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่ายหรือกระหายน้ำบ่อย ๆ รับประทานอาหารได้ดีแต่น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการ ตาพร่ามัวซึ่งไม่ควรจะเป็นในอายุ 30-40 ปี มีอาการเหล่านี้ควบคู่กัน 2 อาการขึ้นไป ควรหาโอกาสไปตรวจน้ำตาลในเลือดว่าระดับ น้ำตาลในเลือดสูงเท่าไร เพื่อจะได้ตรวจให้แน่ใจว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ปกติระดับน้ำตาลในเลือดควรอยู่ในระดับประมาณ 70-110 มิลลิกรัมเปอร์ซีซี ซึ่งเวลาตรวจหมอจะบอกว่าระดับน้ำตาลสูง คือมากกว่า 110 อาจต้องรับประทานยาโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคชนิดหนึ่งซึ่งตับอ่อนของร่างกายไม่สามารถผลิตอินชูลินได้้ พอเพียงหากรับประทานอาหารเข้าไปร่าง กายจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอาหารนั้นให้เกิดเป็นพลังงานได้ หากผู้ป่วยเป็นโรคนี้จะเป็นตลอดชีวิต ถ้าไม่มีการดูแลร่างกายอย่าง ต่อเนื่องจะไม่มีการควบคุมการรับประทานอาหารที่ดี เกิดโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมา เช่น ถ้าผู้ป่วยมีบาดแผลไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ต้องรีบ รักษาให้แผลหายก่อนที่แผลจะลุกลาม มิฉะนั้นอาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง เนื่องจากบาดแผลของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมักจะ รักษายากและหายช้า โรคเบาหวานเป็นสาเหตุของการป่วยเป็นโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่มีอันตราย ข้อสังเกตและข้อแนะนำในการตรวจ ว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ โดยสังเกตดูง่าย ๆ จากชีวิตประจำวันว่าในแต่ละวันมีอาการต่อไปนี้บ้างหรือไม่ เช่น มีปัสสาวะบ่อยเวลา กลางคืน มีอาการอ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่ายหรือกระหายน้ำบ่อย ๆ รับประทานอาหารได้ดีแต่น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ มีอาการ ตาพร่ามัวซึ่งไม่ควรจะเป็นในอายุ 30-40 ปี มีอาการเหล่านี้ควบคู่กัน 2 อาการขึ้นไป ควรหาโอกาสไปตรวจน้ำตาลในเลือดว่าระดับ น้ำตาลในเลือดสูงเท่าไร เพื่อจะได้ตรวจให้แน่ใจว่าเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ ปกติระดับน้ำตาลในเลือดควรอยู่ในระดับประมาณ 70-110 มิลลิกรัมเปอร์ซีซี ซึ่งเวลาตรวจหมอจะบอกว่าระดับน้ำตาลสูง คือมากกว่า 110 อาจต้องรับประทานยาโรคเบาหวาน
ที่มา:http://www.skn.ac.th/skl/project1/hor48/hor76.jpg
โรคเบาหวานสามารถจะเกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ทุกคนทุกกลุ่มอาจจะเป็นได้ทั้งหมดทั้งชายและหญิงสามารถเป็นโรคเบา หวานได้ทั้งสิ้น ถ้ามีประวัติว่าเคยมีคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานอาจมีโอกาสเสี่ยงในการเป็น โรคเบาหวานสูงกว่าคนอื่นทั่วไป คนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปอาจมีโอกาสทำให้เป็นโรคเบาหวานได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ เพราะฉะนั้นหลักในการคำนวณว่าน้ำหนักตัวเรา มากเกินไปหรือไม่ เป็นเพศหญิง โดยเอาส่วนสูงที่เป็นเซนติเมตรลบด้วย 110 และบวกลบด้วย 5 คือไม่เกินกว่านี้ ไม่ควรน้อยกว่า 5 หรือมากกว่า 5 จะได้น้ำหนักมาตรฐานว่าอ้วนไปไหม สำหรับเพศชายให้เอาส่วนสูงที่เป็นเซนติเมตรลบด้วย 100 และบวกลบได้ 5 จะ ได้ค่าน้ำหนักมาตรฐานจะได้ควบคุมน้ำหนักเพื่อจะไม่เป็นโรคเบาหวานในอนาคต
ที่มา:http://www.skn.ac.th/skl/project1/hor48/hor78.jpg
โรคแทรกซ้อนที่จะเกิดควบคู่หรือเกิดหลังจากเป็นโรคเบาหวานมีหลายโรค เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคต้อ คนไข้จะมีตามัว หรือขาบวม ถ้าเป็นโรคต้อจะทำให้คนไข้มีอาการตาบอดได้ในที่สุด คนไข้เบาหวานผิวหวังจะอ่อนแอสามารถเป็นแผลได้ง่ายหรือคน ไข้ตามัวจะทำให้สะดุดหรืออุบัติเหตุได้ง่าย ทำให้เป็นแผลเรื้อรัง พอเป็นแผลจะทำให้แผลหายยากถ้ารักษาไม่หายอาจต้องตัดอวัยวะ ส่วนนั้นทิ้งไปในอนาคต
โรคเบาหวานเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดเมื่อเป็นแล้วจะต้องเป็นตลอดชีวิต แต่สามารถควบคุมโรคไม่ให้เป็นขั้นรุนแรงได้ วิธีการปฏิบัติตัวให้ถูกต้องและถูกวิธีมี 3 ข้อดังนี้คือ
1. ผู้เป็นโรคเบาหวานทุกคนควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
2. ผู้ป่วยทุกคนควรควบคุมเรื่องน้ำหนักโดยออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายช่วงเช้าเหนื่อยแล้ว ตอนกลางคืน ต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพราะ 2 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ควบคู่กัน ผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่จะอ่อนเพลียง่ายกว่าปกติมากกว่าคนอื่น ดังนั้นหาก ออกกำลังกายสม่ำเสมอคนไข้จะหลับพักอ่อนได้เต็มที่
ที่มา :http://www.ku.ac.th/e-magazine/july51/image/09.jpg
3. เรื่องที่จะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษคือ การควบคุมเรื่องการรับประทานอาหาร ผู้ป่วยต้องรับประทานอาหารจำพวก ผักและผลไม้เพิ่มขึ้น ผลไม้ควรเลือกที่มีรสหวานน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล หรือน้ำอัดลม หันมารับประทานอาหาร ที่มีกากมากขึ้น เช่น ฝรั่ง ส้ม ควรเลือกที่ไม่หวานจัด ฝรั่งเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ที่สุดเพราะมีกาก และมีรสไม่หวาน
เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าโรคเบาหวานเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด อย่าเพิ่งท้อใจว่าตลอดชีวิตต้องเป็นโรคนี้จนกระทั่งต้องทาน ยาตลอดไป
ถ้าผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวและดูแลตนเองให้ดีอย่างเหมาะสม จะมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถดำรงชีวิตได้เหมือนคน ที่ไม่เป็นโรคเบาหวานได้เช่นกัน
ถ้าผู้ป่วยที่เป็นไม่มากคือระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงมาก ที่หมอพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องรับประทานยา ควรจะปฏิบัติตัวให้ ได้อย่างที่แพทย์บอกคือ งดดื่มหรือรับประทานผลไม้หรือของหวานทุกชนิด และให้รับประทานผักให้มากขึ้น หรือรับประทานเนื้อสัตว์ ที่ไม่ติดมันหรือไข่ขาว อาหารที่มีประโยชน์มักเป็นอาหารที่ไม่อร่อยแต่เป็นอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยอยู่ในระดับ สม่ำเสมอได้ หลังจากนั้นควรบังคับใจตัวเองโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ วิธีการออกกำลังกายต้องเหมาะสม คือเป็นการ ออกกำลังกายที่เราชอบ และสามารถปฏิบัติได้ทุกวัน อย่างสม่ำเสมอโรคเบาหวานหรือระดับน้ำตาลในเลือดจะลดน้อยลงได้ในแต่ละวัน
ที่มา:http://www.vcharkarn.com/uploads/92/92283.jpg
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ยอดฮิต ซึ่ง 70-80 % ส่วนใหญ่จะได้รับโรคนี้ทุกคน ฉะนั้นโรคนี้เป็นโรคใกล้ตัวแต่การปฏิบัติยาก พอสมควร เพราะจะต้องบังคับใจตัวเองมากในแต่ละวันควรจะรับประทานอาหารอย่างไร ควรออกกำลังกาย ปฏิบัติตัวอย่างไร ฉะนั้น ถ้าผู้ป่วยเป็นโรคนี้และยังไม่ได้รับประทานอาหารยาควบคุมโรคเบาหวาน ขอให้เริ่มด้วยการควบคุมเรื่องอาหาร ให้รับประทานผัก , ผลไม้มาก ๆ ผลไม้ควบคุมไม่ให้มีรสหวานมาก อาหารที่มีกากใยสูงจะมีประโยชน์สำหรับเราทำให้หิวน้อยลง การควบคุมอาหารนี้ ควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายรักษาระดับปริมาณน้ำตาลในเลือดอาจจะเล่น แบดมินตันหรือว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกาย เพื่อ ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้ความอยากอาหารลดน้อยลง และเราจะควบคุมการรับประทานอาหารได้ดีกว่าปกติ ถ้าได้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
ที่มา:http://www.yourhealthyguide.com/article/images_article/h-exercise-1.gif
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานซึ่งกรณีที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ อันดับแรกแพทย์ต้องตรวจสภาพทั่ว ไปของร่างกายอาจทำการเอ็กซเรย์ หรือเจาะเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาลว่าสูงมากไหมหรือวัดความดัน จับชีพจร ถ้าระบบการทำงานของ หัวใจหรือข้อต่าง ๆ ของร่างกายไม่มีอาการข้อเลื่อน แพทย์จะให้ออกกังกายได้ตามปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยที่แพทย์บอกว่าให้ระวังเรื่องข้อ หรือหัวใจ ซึ่งมีแทรกซ้อนอยู่เล็กน้อย ให้ระวังในการออกกำลังกาย ถ้าแพทย์อนุญาตให้ออกกำลังกายได้ควรเริ่มได้เลย จะเริ่มน้อย ๆ ประมาณ 5 นาที และค่อย เพิ่มอาจเป็น 5-10 นาทีในแต่ละวัน คนไข้ซึ่งเป็นโรคเบาหวานไม่ควรออกกำลังกายหักโหมเกินไป เพราะ ปกติคนไข้เบาหวานส่วนใหญ่จะอ่อนเพลียง่าย เหนื่อยง่าย มักจะขี้เซามากกว่าคนปกติ เพราะฉะนั้นถ้าหักโหมเกินไปคนไข้จะอ่อน เพลียง่าย ขณะที่ออกกำลังกายควรใส่รองเท้าที่นิ่มกระชับเท้า เสื้อผ้าควรสวมใส่ที่หลวมสบาย และหยุดออกกำลังกายทันทีเมื่อมี อาการหน้ามืดหรือผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นของหัวใจอ่อนเพลียหรือเหงื่อออกมากผิดปกติต้องหยุดการ ออกกำลังกายทันที
อาจจะ ทำให้หัวใจวายได้
ที่มา:http://www.vcharkarn.com/uploads/92/92296.jpg