ฝนดาวตกสิงโต 2552
ฝนดาวตกสิงโต 2552
ฝนดาวตกสิงโตหรือฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) ในปีนี้อาจกลายเป็นข่าวดังและได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากนักดาราศาสตร์คำนวณพบว่าอัตราการเกิดดาวตกในฝนดาวตกกลุ่มนี้อาจสูงกว่าระดับปกติ และคาดว่าสามารถสังเกตเห็นได้ชัดในแถบตะวันออกของยุโรปจนถึงเกือบทั้งหมดของเอเชียโดยไม่มีแสงจันทร์รบกวน
ฝนดาวตกเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งทำให้มองเห็นดาวตกจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากบริเวณเดียวกันบนท้องฟ้า ฝนดาวตกเกิดขึ้นทุกปีและมีอยู่หลายกลุ่ม จำนวนดาวตกมีหลายระดับ ตั้งแต่ต่ำมากเพียงไม่กี่ดวงต่อชั่วโมงจนถึงมากกว่า 100 ดวงต่อชั่วโมง ฝนดาวตกเกิดขึ้นเมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในบริเวณที่มีสะเก็ดดาวอยู่หนาแน่นในอวกาศ สะเก็ดดาวเหล่านี้มีต้นกำเนิดจากดาวหาง เมื่อดาวหางเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ น้ำแข็งที่ผิวจะระเหิดและนำพาเศษชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่เรียกว่าสะเก็ดดาว (meteoroid) หลุดออกมาและทิ้งไว้ตามทางโคจร เราเรียกแนวของสะเก็ดดาวเหล่านี้ว่าธารสะเก็ดดาว (meteoroid stream) ฝนดาวตกสิงโตเกิดจากดาวหางเทมเพล-ทัตเทิล (55P/Tempel-Tuttle) มีคาบประมาณ 33 ปี ล่าสุดได้ผ่านเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์เมื่อ พ.ศ. 2541 ฝนดาวตกส่วนมากมีชื่อตามดาวหรือกลุ่มดาวที่จุดกระจายฝนดาวตก (radiant) ปรากฏอยู่ ฝนดาวตกสิงโตจึงมีจุดกระจายอยู่ในกลุ่มดาวสิงโต
ในอดีตนักดาราศาสตร์ไม่สามารถพยากรณ์เวลาและอัตราการเกิดดาวตกจากฝนดาวตกได้ หรือทำได้ก็ไม่แม่นยำนัก เทคนิคการพยากรณ์ซึ่งนำมาใช้กับฝนดาวตกสิงโตตั้งแต่ปี 2542 ด้วยการสร้างแบบจำลองเพื่อพยากรณ์การเคลื่อนที่ของสะเก็ดดาวโดยคำนึงถึงแรงภายนอกที่ส่วนใหญ่คือแรงโน้มถ่วงกระทำต่อสะเก็ดดาว ทำให้การพยากรณ์ฝนดาวตกสิงโตตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาค่อนข้างใกล้เคียงกับปรากฏการณ์จริง แม้จะยังมีโอกาสคลาดเคลื่อนได้
ดาวหางเทมเพล-ทัตเทิล มีธารสะเก็ดดาวอยู่หลายสาย ธารสายหลักที่โลกจะเข้าไปใกล้ในปีนี้กำเนิดขึ้นเมื่อดาวหางโคจรเข้ามาใกล้ดวงอาทิตย์เมื่อ ค.ศ. 1466 และ 1533 โดยทั่วไปธารสะเก็ดดาวจะมีเส้นทางอยู่ใกล้วงโคจรของดาวหาง แต่เบี่ยงเบนไปเนื่องจากแรงรบกวนจากวัตถุต่าง ๆ ในระบบสุริยะ
ผลงานวิจัยโดยนักดาราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญการพยากรณ์ฝนดาวตกจากอย่างน้อย 3 กลุ่ม ให้ผลใกล้เคียงกันว่าฝนดาวตกสิงโตในปีนี้จะมีดาวตกถี่มากที่สุดในเวลาเกือบตี 5 ของเช้ามืดวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2552 ตามเวลาประเทศไทย ด้วยอัตราประมาณ 130 - 200 ดวงต่อชั่วโมง (เดิมคาดหมายว่าอาจสูงถึง 500 ดวง แต่ผลการพยากรณ์ล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนลดลงมาที่ 200 ดวงต่อชั่วโมง) นอกจากนั้น ตัวเลขนี้ยังใช้กับสถานที่ที่ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีสิ่งใดบดบังท้องฟ้า ไม่มีแสงรบกวน และจุดกระจายดาวตกอยู่ที่จุดเหนือศีรษะ
ฝนดาวตกสิงโตเริ่มขึ้นราววันที่ 10 พ.ย. โดยมีอัตราต่ำมาก แล้วจะค่อย ๆ สูงขึ้นจนสูงที่สุดในราววันที่ 17-19 พ.ย. หลังจากนั้นจึงลดลงและสิ้นสุดในราววันที่ 21 พ.ย. ช่วงวันที่มีดาวตกถี่มากที่สุด ประเทศไทยจะเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่คืนวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน 2552 โดยเริ่มในเวลาประมาณ 00:30 น. (เข้าสู่วันที่ 18) คาดว่าดาวตกในชั่วโมงแรกจะมีน้อยมาก อาจเห็นเพียงไม่กี่ดวงแต่มักพุ่งเป็นทางยาวบนท้องฟ้าโดยมีทิศทางมาจากซีกฟ้าตะวันออก
เมื่อเวลาผ่านไป จุดกระจายฝนดาวตกซึ่งอยู่ในกลุ่มดาวสิงโตจะเคลื่อนสูงขึ้นตามการหมุนของโลก อัตราการเกิดดาวตกก็จะเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ จากการคำนวณคะเนว่าช่วงเวลา 03:00 - 04:00 น. ควรนับได้อย่างน้อย 5 ดวง และอาจถึง 10 ดวง ดาวตกสามารถเกิดขึ้นได้ทั่วท้องฟ้า แต่เมื่อลากเส้นตามแนวของดาวตกแต่ละดวงย้อนกลับไปจะบรรจบกันที่บริเวณหัวสิงโตซึ่งมีลักษณะคล้ายเคียว มีดาวหัวใจสิงห์เป็นส่วนของด้ามเคียว
เมื่อใกล้เช้า กลุ่มดาวสิงโตจะเคลื่อนขึ้นไปอยู่สูงเหนือศีรษะ ผลการพยากรณ์ระบุว่าดาวตกอาจมีจำนวนมากที่สุดในช่วงเวลา 04:00 - 05:00 น. หากสังเกตในที่มืด ห่างไกลจากเมืองใหญ่ ช่วงเวลาดังกล่าวควรนับได้อย่างน้อย 60 ดวง และอาจสูงถึง 100 ดวง โดยในช่วงใกล้ตี 5 จะมีอัตราสูงสุดราว 1-2 ดวงต่อนาที และอาจสูงกว่านี้ที่ 2-3 ดวงต่อนาที นักดาราศาสตร์คาดว่าจะมีลูกไฟ (fireball) ซึ่งเกิดจากสะเก็ดดาวขนาดใหญ่ให้เห็นได้บ้าง
หากเป็นไปตามการพยากรณ์ ช่วงเวลา 05:00 - 05:30 น. ควรนับดาวตกได้เป็นจำนวนราวครึ่งหนึ่งของช่วงเวลา 04:00 - 05:00 น. ก่อนท้องฟ้าสว่าง สำหรับในเมืองที่มีแสงไฟฟ้าและมลพิษรบกวน ดาวตกที่นับได้จะต่ำกว่านี้ประมาณ 6-7 เท่า สำหรับผู้ที่ต้องการดูฝนดาวตกครั้งนี้ เนื่องจากคาดหมายว่าดาวตกจะมีจำนวนมากที่สุดในช่วงใกล้เช้ามืด ดังนั้นหากไม่สะดวกที่จะเฝ้าสังเกตตลอดทั้งคืน แนะนำให้นอนเอาแรง แล้วตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อตื่นมาดูตั้งแต่ตี 4 เป็นต้นไป
แม้ว่าการพยากรณ์ฝนดาวตกอาจมีความแม่นยำเชื่อถือได้มากขึ้นตามที่ได้พิสูจน์มาแล้ว แต่เราต้องตระหนักว่าฝนดาวตกแตกต่างจากปรากฏการณ์อื่นอย่างสุริยุปราคาหรือจันทรุปราคาที่สามารถระบุเวลาได้แม่นยำถึงระดับทศนิยมของวินาที เรามองไม่เห็นสะเก็ดดาวในอวกาศ จึงไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วมันเคลื่อนที่และอยู่กันหนาแน่นมากน้อยเพียงใด การพยากรณ์ที่กล่าวมานี้อาศัยแบบจำลองซึ่งพอจะใช้เป็นแนวทางได้ แต่ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะตรงกับปรากฏการณ์จริง หากตรงก็แสดงว่าวิธีการพยากรณ์ที่ทำมานั้นได้เดินมาถูกทางแล้ว หากไม่ตรงก็เป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถนำไปใช้ปรับปรุงการพยากรณ์ในอนาคต ดังนั้นไม่ว่าดาวตกจะมีจำนวนมากหรือน้อย การสังเกตดาวตกก็เป็นประโยชน์สำหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลทางดาราศาสตร์เสมอ
ดูเพิ่ม
เว็บไซต์อื่น
- Prediction of the 2009 Leonids - IMCCE Meteor Shower Ephemerides Server
- Leonid Multi-Instrument Aircraft Campaign - NASA
------------------------------------------------------
ฝนดาวตก 2552 ฝนดาวตกลีโอนิดส์
เมื่อวันที่ 8 พ.ย. น.ส.ประพีร์ วิราพร นายกสมาคมดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปรากฏการณ์ฝนดาวตกสิงโต หรือฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) ในปีนี้ อาจได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากนักดาราศาสตร์คำนวณพบว่า อัตราการเกิดดาวตกอาจสูงกว่าปกติ
โดยเฉพาะในช่วงตี 4 ถึง ตี 5 ครึ่งของเช้ามืดวันที่ 18 พ.ย. 2552 อาจได้เห็นถึงชั่วโมงละ 200 ดวง โดยเป็นจำนวนที่มากรองจากเมื่อปี พ.ศ.2544 ซึ่งเป็นปีที่มีความฮือฮามากมีถึง 1,000 ดวงต่อชั่วโมง
นายกสมาคมดาราศาสตร์ฯ กล่าวอีกว่า ฝนดาวตกเกิดขึ้นเมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในบริเวณที่มีสะเก็ดดาวซึ่งเป็นเศษ ชิ้นเล็กๆ ที่หลุดมาจากดาวหางและทิ้งไว้ตามทางโคจร โดยเรียกแนวของสะเก็ดดาวเหล่านี้ว่า ธารสะเก็ดดาว สำหรับฝนดาวตกสิงโต เกิดจากดาวหางเทมเพล-ทัลเทิล ซึ่งมีธารสะเก็ดดาวอยู่หลายสาย โดยปีนี้คาดว่าจะเห็นฝนดาวตกสิงโตในอัตราที่มาก เพราะโลกจะเข้าไปใกล้ธารสะเก็ดดาวในอดีต 2 สายธาร คือ ช่วงปี ค.ศ.1466 และ ค.ศ.1533 ซึ่งฝนดาวตกสิงโต จะเริ่มขึ้นประมาณวันที่ 10 พ.ย.นี้ แต่มีอัตราฝนดาวตกค่อนข้างต่ำ และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสูงที่สุดประมาณวันที่ 17-19 พ.ย.นี้ และสิ้นสุดลงในวันที่ 21 พ.ย.นี้
สำหรับช่วงที่มีดาวตกถี่มากที่สุดนั้น น.ส.ประพีร์ กล่าวอีกว่า ในประเทศไทย สามารถมองเห็นได้ทั่วประเทศ แต่มีเงื่อนไขคือ ท้องฟ้าจะต้องใส เห็นดวงดาวชัดเจน
ปีนี้ฝนดาวตกสิงโต เกิดในช่วงคืนเดือนมืด โอกาสเห็นก็จะมีสูงขึ้น วิธีดูที่ดีที่สุดคือ การนอนหงายมองไปที่กลางฟ้าเหนือศีรษะ ดาวตกจะพุ่งมากจากทุกทิศทาง จึงควรกวาดตามองให้ทั่วฟ้า ฝนดาวตกจะมีลักษณะแสงสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว มีสีสันสวยงาม เช่น สีน้ำเงินเขียว สีส้มเหลือง เพราะมีแร่ธาตุประกอบต่างๆกัน เช่น แมกเนเซียม ทองแดง เหล็ก จึงให้สีที่แตกต่างกัน ปลายของดาวตกซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ จะทิ้งควันจางๆ เหมือนไอพ่น หากอยู่ในที่เงียบสงบ บางครั้งอาจได้ยินเสียงด้วย เรียกว่า โซนิกบูม และหากเป็นดาวตกขนาดใหญ่เมื่อเสียดสีกับบรรยากาศจะเห็นเป็นลูกไฟ การเกิดปรากฏการณ์ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อหรือโหราศาสตร์
สถานที่ดูฝนดาวตก ฝนดาวตกสิงโต ฝนดาวตกลีโอนิดส์ |
จังหวัดปราจีนบุรี ณ อุทยานเขาอีโต้ เหนือสันเขื่อนเก็บน้ำจักรพงษ์ ติดกับสนามแข่งจักรยานเสือภูเขา ตำบลบ้านพระ ตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน ต่อเช้ามืดของวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2552 |
จังหวัดเพชรบูรณ์ ณ ลานชมดาวอุทยานแห่งชาติตากหมอก, ภูทับเบิก, เขาค้อ, อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว และบริเวณลานดูดาว อุทยานแห่งชาติตาดหมอก |
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จัดมหกรรมดาราศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ที่วิทยาลัยการอาชีพวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน ในวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2552 โดยจัดกิจกรรมนิทรรศการต่าง ๆ มากมาย เช่น 400 ปีแห่งการค้นพบทางดาราศาสตร์ วิวัฒนาการกล้องโทรทรรศน์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นิทรรศการภาพถ่ายทางดาราศาสตร์โดยฝีมือคนไทย นอกจากนี้ กิจกรรมสาธิตการประกอบนาฬิกาแดด การประกวดวาดภาพทางดาราศาสตร์ และโดยเฉพาะในคืนวันที่ 17 พฤศจิกายน จะมีกิจกรรมให้ประชาชนได้เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ฝนดาวตกลีโอนิสต์ จนถึงช่วงเช้าของวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ |
จังหวัดอุบลราชธานี โดย ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาอุบลราชธานี ขอเชิญชวนชมฝนดาวตกลีโอนิดส์ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 นี้ โดยฝนดาวตก ลีโอนิดส์เห็นได้ 2 ช่วง คือวันที่ 16 – 17 และ 18 – 19 เห็นได้เฉลี่ยชั่วโมงละ 10 – 20 ดวง |
จังหวัดลพบุรี ณ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และแหล่งท่องเที่ยวอ่างซับเหล็ก ในวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน ต่อเช้ามืดของวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน 2552 เนื่องจากเป็นที่โล่ง กว้าง ไม่มีแสงไฟรบกวน และยังมีการตั้งกล้องดูดาวอยู่ที่วัดเขาจีนแล (วัดเวฬุวัน) ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา ห่างจากอ่างซับเหล็กประมาณ 2 กิโลเมตร นอกจากนั้น ยังเป็นช่วงเดียวกับดอกทานตะวันที่กำลังบานเต็มทุ่งอยู่สองข้างทาง โดยเฉพาะบริเวณหลังอ่างซับเหล็ก หรือบริเวณวัดเขาตะกร้า เช่นเดียวกับเส้นทางมุ่งสู่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ก็มีดอกทานตะวันบานแล้วหลายทุ่งเช่นกัน |