ขลุ่ยไทย
ประวัติ
ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีโบราณที่สุดชนิดหนึ่ง เห็นจะมาคู่กับเเคน เมื่อไม่กี่ปีมานี้ได้มีการขุดพบหีบศพภรรยา
เจ้าเมืองไทยที่ริมฝั่งเเม่น้ำฮวงโห หีบนั้นเเบ่งออกเป็น 9 ชั้น เเต่ละชั้นบรรจุทรัพย์สมบัติต่างๆ อันเป็นของรักของภรรยาเจ้าเมืองไทยท่านนั้น ปรากฎว่าชั้นในสุดที่ติดกับต้วศพมีสมบัติอยู่ 3 ชิ้น คือ เเคน 1 เต้า ขลุ่ย 1 เลา เเละขิม 1 ตัว ศพนั้นมีอักษรจารึกศักราชอยู่ด้วย ซึ่งถ้านับมาถึงบัดนี้ก็มีอายุได้ 2,000 ปีเศษมาเล้ว ด้เวยเหตุนี้เเคนเเละขลุ่ยจึงเป็นเครื่องดนตรีชองไทยที่นับว่าโบราณมากที่เดียว ขิมก็เช่นกัน ถ้าจีนพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีขิมมาก่อนหน้านั้น ขิมก็คงเป็นเครื่องดนตรีเก้เเก้ของไทยมาก่อนเช่นเดียวกัน
ในสมัยกรุงศรีอยุธยาคงจะมีผู้นิยมเป่าขลุ่ยกันมาก เเม้เเต่ในเขตพระราชฐานก็ยังคงมีคนเอาขลุ่ยไปเป่าเล่นอยู่เสมอๆ จนถึงกับต้องมีข้อห้ามไว้ในกฎมณเฑียรบาลในรัชการพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031)ว่า ห้ามร้องเพลง เป่าขลุ่ย สีซอ ดีดจะเข้ กระจับปี่ ตีโทนทับในเขตพระราชฐาน
อย่างไรก็ตาม การผสมวงดนตรีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นเเละตอนกลางก็ยังหาได้มีขลุ่ยไม่ปี่พาทย์นั้นมีเเต่เครื่องห้าย่อมจะใส่ขลุ่ยลงไปไม่ได้ เพราะมีเเตปี่พาทย์เท่านั้น ส่วนมโหรีหญิงก็มีเพียงเครื่องสี่ซอสามสายกระจับปี่ ทับเเละกรับพวง (คนร้องตีกรับพวงไปด้วย)มโหรีหญิงมาเพิ่มเป็นเครื่องหกเอาตอนปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา เเละขลุ่ยก็เพิ่งจะเริ่มมามีบทบาทตอนนี้ คือมีการเพิ่มรำมะนาเข้าไปคู่กับโทนเเละมีการเพิ่มขลุ่ยลงไปอีกเลาหนึ่งมโหรีหยิงจึงกลายเป็นเครื่องหกขึ้นมาเเทนที่จะเป็นเครื่องสี่ดังเดิม
ครั้นตกมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์นี้ ขลุ่ยกลายเป็นเครื่องดนตรีที่มีบทบาทสำคัญมากวงดนตรีหลายประเภทขาดขลุ่ยไม่ได้เลยสักวงเดียว เช่นวงมโหรีก็ต้องใช้ขลุ่ย วงเครื่องสายชนิดต่างๆไม่ว่าจะเป็นเครื่องสายไทยหรือเครื่องสายผสมก็ต้องใช้ขลุ่ยทั้งนั้นนอกจากนั้นบรรดาปี่พาทย์ไม้นวมไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล็กเครื่องใหญ่ก็ต้องเอาขลุ่ยเข้าไปเป่าเเทนปี่ วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ที่เกิดขึ้นตอนหลังก็ใชขลุ่ยเเทนปี่เหมือนกัน นอกจากจะผสมวงเเล้วขลุ่ยยังใช้เป่าคนเดียวเเก้เหงาได้อีกหากเป่าในตอนกลางคืนเสียงขลุ่ยจะดัโหยหวนไปไกลเเละฟังไพเราะยิ่ง ขลุ่ยเป็นเครื่องดนตรีที่มีน้ำเสียงโหยหวนไพเราะเเถมยังมีราคาถูกสามารถพกติดตัวไปไหนมาไหนได้สะดวกการเล่นก็ไม่ต้องพิถีพิถันเหมือนเครื่องดนตรีเครื่องอื่นๆ