ปีรามิดแห่งอียิปต์
แต่อียิปต์ก็ไม่ได้มีความมหัศจรรย์แค่เพียงสิ่งก่อสร้างที่เรียกว่าปิรามิดเท่านั้น หากเดินทางเลาะลงใต้ไปตามลำน้ำไนล์ จากกรุงไคโรไปราว 420 ไมล์ถึงเมืองลักซอร์ (Luxor) หรือนครธีปต์ (Thebes) อดีตเมืองหลวงในราชวงศ์ที่ 12 คุณจะตะลึงกับความยิ่งใหญ่สวยงามของวิหารลักซอร์และวิหารคาร์นัค (Karnak) ที่ฟาโรห์หลายยุคสมัยร่วมกันสร้างถวายแก่เทพอามุน-รา (Amun-Ra) เทพีมัต (Mut) และเทพคอนซู (Khonsu) เสาต้นใหญ่ขนาดสิบคนโอบ สูง 23 ม. นับร้อยต้นในห้องโถงใหญ่ (The great Hypostyle Hall) สลักภาพเทพเจ้าต่างๆและเรื่องราวความเชื่อความศรัทธาของชาวอียิปต์โบราณ จินตนาการได้ถึงตอนที่วิหารยังสมบูรณ์เป็นสถานที่สำหรับองค์ฟาโรห์และนักบวชชั้นสูงใช้เป็นที่ทำพิธีสักการะเทพอามุน-รา สฟิงซ์ที่นอนหมอบเรียงเป็นแถวยาว เคยมีตลอดทางเดิน 3 กม.ระหว่างสองมหาวิหาร เสาโอเบลิสก์แกะสลักอักษรภาพเฮียโรกราฟฟิคละเอียดลึก ตั้งตระหง่านอยู่หน้าวิหาร ช่างมหัศจรรย์ทั้งขนาด
การสร้าง การขนส่ง และการนำเสาสูงร่วม 20 ม. มาวางตั้งได้อย่างมั่นคง ข้ามแม่น้ำไนล์ไปฝั่งตะวันตกของเมืองลักซอร์ ผ่านทุ่งทะเลทรายร้อนระอุมุ่งสู่ยอดเขาแหลมทรงปิรามิดของเทือกเขาธีบัน (Theban) เป็นที่ตั้งของ หุบผากษัตริย์ (Valley of the King) ที่ฝังพระศพฟาโรห์ในยุคหลังจำนวนมากมาย ที่มุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยของสุสานแถมยังสิ้นเปลืองเงินและแรงงานน้อยกว่า สุสานยุคนี้จะขุดอุโมงค์เข้าไปเป็นทางยาวลึกจนถึงห้องเก็บพระศพ มีทางแยกเป็นห้องเล็กๆเก็บทรัพย์สมบัติสำหรับชาติภพหน้า ทั้งผนังและเพดานแกะสลักลวดลายละเอียดพร้อมวาดภาพลงสีสดใส เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้าและชีวิตหลังความตาย หีบศพหินแกรนิตแกะสลักขนาดใหญ่ในห้องเก็บพระศพก็แสดงถึงฝีมือและความอดทนของคนงาน เสียดายที่ไม่สามารถรอดพ้นโจรปล้นสุสานไปได้ ภายในสุสานส่วนมากจึงเหลือแต่ความว่างเปล่า คงเหลือแต่สุสานของฟาโรห์ผู้ครองราชย์แสนสั้นเพียงแค่ 9 ปีเท่านั้น นามว่าตุตันคามุน (Tutankhamun)
ที่ลอร์ดคานาวอห์นและโฮเวิร์ด คาเตอร์ เป็นผู้ค้นพบและเปิดสุสานที่เหลือรอดแห่งนี้ให้ชาวโลกได้ตกตะลึงกับสมบัติต่างๆมากมาย
จากเมืองลักซอร์ เดินทางต่อไปที่เมืองเอ็ดฟู (Edfu) เมืองชนบทที่เป็นที่ตั้งของวิหารเอ็ดฟู วิหารแห่งเทพฮอรัส เป็นวิหารที่ยังมีความสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่ง ซุ้มประตูขนาดใหญ่สูง 37 ม. สลักภาพการสู้รบของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 12 ยังคงชัดเจนอยู่เต็มผนัง ประติมากรรมลอยตัวด้วยหินสีดำขนาดใหญ่ของนกเหยี่ยวตัวแทนเทพฮอรัสตั้งอยู่ทั้งซ้ายและขวาของทางเข้าวิหารส่วนใน ผนังด้านในสลักภาพการสู้รบระหว่างเทพฮอรัสและเทพเซธ บางผนังสลักเป็นเรื่องราวประเพณีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ ซึ่งมีค่าทางประวัติศาสตร์มากมาย.... ห่างไปอีกเพียงครึ่งชั่วโมง ที่เมืองคอม ออมโบ (Kom ombo) เมืองเกษตรกรรมที่สำคัญทางแดนใต้ วิหารคอมออมโบสร้างอยู่ติดริมแม่น้ำไนล์เพื่อบูชาเทพโซเบคและเทพฮอรัส เทพที่มีศีรษะเป็นจระเข้และเหยี่ยว ผนังด้านในวิหารมีภาพสลักเกี่ยวกับความรู้ทางการแพทย์ที่ไม่น่าเชื่อสำหรับคนยุคนั้น โถงกลางยังพบภาพสลักอักษรภาพเฮียโรกริฟฟิคแสดงการกำหนดวันเดือนปีคล้ายปฏิทินในยุคปัจจุบัน เป็นหลักฐานว่าชาวอียิปต์โบราณมีความรู้ความเชี่ยวชาญแทบทุกศาสตร์สาขา
เลาะลำน้ำไนล์ต่อไปจนถึงเมืองอัสวาน (Aswan) แหล่งหินแกรนิตสีชมพูที่ใช้สกัดเสาหินโอเบลิสก์เพื่อส่งล่องลำน้ำไนล์ไปยังวิหารต่างๆ ในอดีตเมืองตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์จะถูกน้ำท่วมสูง 2-3 เดือนเสมอ ในปี 1960 จึงได้มีความคิดสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำไนล์ เพื่อควบคุมปริมาณน้ำและยังสามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในการเกษตรช่วงหน้าแล้ง จุดประสงค์เหมือนเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ของเราโดยแท้ เขื่อนอัสวาน (Aswan high dam) ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 10 ปี กับชีวิตคนงานหลายสิบชีวิต และงบประมาณมหาศาล มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกทีเดียว ผลจากการสร้างเขื่อนทำให้ เกิดทะเลสาปกว้างใหญ่ คือทะเลสาปนาซเซอร์ (Lake Nasser) ผลกระทบสำคัญคือน้ำในทะเลสาปนี้จะท่วมสิ่งก่อสร้างสมัยอียิปต์โบราณหลายสิบแห่งด้วยกัน ยูเนสโกจึงเป็นเจ้าภาพในการระดมทุนทำการย้ายสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นเท่าที่ทำได้ขึ้นมาไว้ที่สูง เช่น กลุ่มวิหารฟิเล (Temple of Philae) ก็ตัดวิหารออกเป็นชิ้นๆนำมาประกอบใหม่ให้เหมือนเดิมบนเกาะอากิลเกีย (Agilkia) ทำให้เรายังมีโอกาสได้ชมวิหารไอซิสหลังใหญ่ แม้ภาพสลักบางส่วนจะถูกทำลายเมื่อคราวชาวโรมันพยายามนำศาสนาคริสต์เข้ามาในอียิปต์ก็ตาม..... หรือ วิหารอาบูซิมเบล ที่ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ผู้ยิ่งใหญ่สกัดเจาะภูเขาเข้าไปสร้างเป็นวิหารบูชาเทพโฮรัคติ หน้าทางเข้าสกัดเป็นรูปพระองค์นั่งบนบัลลังก์สูงเต็มหน้าผา ภายในยังสลักภาพการสู้รบของพระองค์ และอักษรภาพเฮียโรกราฟฟิคบอกเล่าเรื่องราวมากมาย วิหารเล็กถัดไปอีกเขาหนึ่งทรงสร้างเพื่อพระนางเนเฟอร์ตารีมเหสีอันเป็นที่รัก ก็สกัดภูเขาเข้าไปสร้างห้องสักการะเทพเฮเธอร์ (Hathor) ด้านหน้าวิหารสกัดเป็นรูปพระองค์ยืนเคียงข้างกับมเหสีเต็มหน้าผาเช่นกัน วิหารอาบูซิมเบลก็อยู่ในโครงการย้ายหนีน้ำในครั้งนั้นด้วย เพียงแค่ความใหญ่โตของตัววิหาร ความสวยงามของภาพสลักภายใน ก็มหัศจรรย์มากมายแล้ว ยังมีความสามารถทาง
ดาราศาสตร์และการคำนวณให้แสงอาทิตย์ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์และ 22 ตุลาคมของทุกปี สาดส่องผ่านประตูวิหารหลังใหญ่เข้ามายังห้องบูชาที่อยู่ลึกจากทางเข้าไปถึง 65 ม. ส่องไปที่รูปสลักของเทพรา-โฮรัคติ, รูปสลักองค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2 และเทพอะมุน-รา แต่ไม่ส่องโดนเทพพทาร์ (Ptah) ที่อยู่ซ้ายสุดเพราะเป็นเทพแห่งความมืด การสร้างภูเขาจำลองและตัดต่อขนย้ายวิหารทั้งหลังขึ้นมาสร้างใหม่ให้เหมือนเดิมแม้แต่ช่วงวันที่แสงส่องห้องบูชา ใช้เวลากว่า 4 ปี นั่นก็เป็นเรื่องมหัศจรรย์เหมือนกัน
- « แรก
- ‹ หน้าก่อน
- 1
- 2