• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:6a4bf9dafe39c7ac53b3fab45cfc1e8b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n     <img border=\"0\" width=\"290\" src=\"/files/u7113/Egypt.jpg\" height=\"290\" /><br />\n      <a href=\"http://www.truetv.in.th/th/vod/detail/ngc/human.php\">http://www.truetv.in.th/th/vod/detail/ngc/human.php</a>\n</p>\n<p>\n                                                                 <span style=\"color: #c0c0c0; background-color: #333333\">  </span><strong><span style=\"color: #c0c0c0; background-color: #333333\"> อียิปต์  </span><span style=\"background-color: #c0c0c0\"><span style=\"color: #333333; background-color: #c0c0c0\"> ดินแดนแห่งฟาโรห์</span> </span></strong> \n</p>\n<p>\n<span style=\"color: #c0c0c0; background-color: #333333\"><span style=\"background-color: #c0c0c0\">   </span><span style=\"background-color: #999999\">   </span><span style=\"background-color: #808080\">    </span>ปริศนาลึกลับแห่งอดีตกาลถูกเปิดเผยแล้วในที่สุด ความอัศจรรย์ที่ยังเป็นคำถามในใจของมนุษย์นานนับศตวรรษ <br />\nใครคือผู้สร้างปิรมิด อะไรคือความลับของการทำมัมมี่ อะไรคือปริศนาของชีวิตหลังความตาย <br />\nร่วมเดินทางไปยังดินแดนแห่งมนต์ขลังอียิปต์ เพื่อไขปริศนาต่างๆ และติดตามนักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญ<br />\nค้นหาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับศพของฟาโรห์ที่ถูกเก็บรักษาโดยการทำมัมมี่ นอกจากนั้นร่วมค้นหาความลับอันน่าตกตะลึง <br />\nเมื่อสำรวจเดินทางไปยังสุสานใต้ดินอันเป็นแหล่งสิงสถิตของปริศนาตลอดกาล <span style=\"background-color: #808080\">     </span><span style=\"background-color: #999999\">    </span><span style=\"background-color: #c0c0c0\">   </span></span> </p>\n<p><img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-laughing.gif\" alt=\"Laughing\" title=\"Laughing\" /> ลำดับราชวงศ์ และฟาโรห์แห่งอียิปต์<br />\n<img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-laughing.gif\" alt=\"Laughing\" title=\"Laughing\" /> เทพเจ้าแห่งอียิปต์<br />\n<img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-laughing.gif\" alt=\"Laughing\" title=\"Laughing\" />ศิลปะอียิปต์โบราณ<br />\n<img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-laughing.gif\" alt=\"Laughing\" title=\"Laughing\" />อักษรอียิปต์โบราณ<br />\n<img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-laughing.gif\" alt=\"Laughing\" title=\"Laughing\" />เลขอียิปต์โบราณ<br />\n<img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-laughing.gif\" alt=\"Laughing\" title=\"Laughing\" />ปีรามิดแห่งอียิปต์<br />\n<img border=\"0\" src=\"/sites/all/modules/tinymce/tinymce/jscripts/tiny_mce/plugins/emotions/images/smiley-laughing.gif\" alt=\"Laughing\" title=\"Laughing\" />มัมมี่ ( Mummy )\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak--><p>\n<br />\nปลายยุคก่อนราชวงศ์ ราว 3100 ปีก่อน ค.ศ.<br />\nในช่วงปลายยุคก่อนราชวงศ์ มีการแยกการปกครองออกเป็น 2 อาณาจักร คือ อียิปต์เหนือ และอียิปต์ใต้</p>\n<p>อียิปต์เหนือ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “Red Land” ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนล่างของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึงทะเลทรายรอบข้าง <br />\nโดยมีผู้ปกครองดังนี้<br />\nสกอร์เปียนที่ 1 , โร , กา , คิง สกอร์เปียน </p>\n<p>คิง สกอร์เปียน (King Scorpion) หรือ สกอร์เปียน ที่ 2 (Scorpion II) ฟาโรห์ผู้รวบรวมอาณาจักรอียิปต์ทั้งบนและใต้เข้าไว้ด้วยกัน <br />\nในราว 3,200 ปีก่อนคริสตกาล ในปลายยุคก่อนราชวงศ์ เป็นผู้ครองนครธีส (This) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนกลางลุ่มน้ำไนล์ได้กรีฑาทัพ <br />\nเข้ายึดครองนครรัฐต่าง ๆ ในอียิปต์บนและตั้งตนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรบน พระองค์ปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกัน<br />\nแต่กลับสิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรสของพระองค์ (ข้อนี้นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักแต่จากหลักฐานที่มีแสดงว่าทั้งสองพระองค์<br />\nน่าจะเกี่ยวดองกัน) ที่มีนามว่า นาเมอร์ (Namer) ได้สานต่อนโยบายและกรีฑาทัพเข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยของ <br />\nฟาโรห์เมเนส (Menese) พระองค์สามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จและ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส (Memphis) ซึ่งอยู่ตอนกลางของลุ่มน้ำไนล์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้นับฟาโรห์เมเนส<br />\nเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่ 1 ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ</p>\n<p>อียิปต์ใต้<br />\nอิยิปต์ใต้ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “Black Land” ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึง<br />\nพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ มีผู้ปกครองดังนี้<br />\nตีอู , เทช  , เซคีอู  , วาสเนอร์\n</p>\n<p>\n<br />\nราชวงศ์ต้นๆ ราว 2950-2575 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่หนึ่ง<br />\nฟาโรห์เมเนส เป็นฟาโรห์ที่เชื่อกันกว่าเป็นผู้เริ่มต้นของราชวงศ์ที่หนึ่งแห่งอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 3,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช <br />\nซึ่งมีความคล้ายคลึงกับรอมิวลุส และรีมุส ผู้ก่อตั้งกรุงโรมและเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งกรุงโรม นักโบราณคดีพบรูปภาพของ<br />\nฟาโรห์เมเนสเป็นจำนวนมากในประวัติของอียิปต์โบราณ<br />\nเจอร์ , เจต , เดน , อเนดจิบ , เซเมอร์เคต , กาอา\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สอง<br />\nโฮเตปเซเคมวี , เรเนบ , นินเอทเจอร์ , เพริบเซน , เซเคมอิบ , คาเซเคมวี\n</p>\n<p>\nราชอาณาจักรเก่า ราว 2575-2510 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สี่<br />\nสเนฟรู , คูฟู , เจดีเฟร , คาเฟร , เนบกาที่สอง , เมนเคอเร , เชปซีสกาฟ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ห้า<br />\nยูเซอร์คาฟ , ซาฮูเร , เนเฟออิร์คาเร , เชปเซสคาเร , เนเฟเรเฟร , นูเซอร์เร , เมนเคาฮอร์ , เจดคาเร , อูนาส\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่หก<br />\nเตติ , เปปิที่หนึ่ง , เมเรนเรที่หนึ่ง , เปปิที่สอง , เมเรนเรที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่เจ็ดและแปด<br />\nกาคาเร , เนเฟอร์เคาเร , เนเฟอร์เคาฮอร์ , เนเฟออิร์คาเรที่สอง <br />\n <br />\nราชวงศ์ที่สาม<br />\nโจเซอร์ , เนบกาที่หนึ่ง , คาบา , ฮูนิ\n</p>\n<p>\nราชอาณาจักรเก่า ราว 2575-2510 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สี่<br />\nสเนฟรู , คูฟู , เจดีเฟร , คาเฟร , เนบกาที่สอง , เมนเคอเร , เชปซีสกาฟ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ห้า<br />\nยูเซอร์คาฟ , ซาฮูเร , เนเฟออิร์คาเร , เชปเซสคาเร , เนเฟเรเฟร , นูเซอร์เร , เมนเคาฮอร์ , เจดคาเร , อูนาส\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่หก<br />\nเตติ , เปปิที่หนึ่ง , เมเรนเรที่หนึ่ง , เปปิที่สอง , เมเรนเรที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่เจ็ดและแปด<br />\nกาคาเร , เนเฟอร์เคาเร , เนเฟอร์เคาฮอร์ , เนเฟออิร์คาเรที่สอง\n</p>\n<p>\n<br />\nช่วงต่อที่หนึ่ง ราว 2125-1975 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่เก้าและสิบ<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ เฮเรคลีโอโพลิส\n</p>\n<p>\nเมริอิบเร , เคติ , เมริคาเร , ไอติ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบเอ็ด<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์\n</p>\n<p>\nเมนทูโฮเตปที่หนึ่ง , อินโยเตฟที่หนึ่ง , อินโยเตฟที่สอง , อินโยเตฟที่สาม\n</p>\n<p>\nราชอาณาจักรกลาง ราว 1975-1640 ปีก่อน ค.ศ.<br />\nเมนทูโฮเตปที่สอง (เนปเฮเพเตร) , เมนทูโฮเตปที่สาม , เมนทูโฮเตปที่สี่\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบสอง<br />\nอเมเนมเฮตที่หนึ่ง , เซนุสเรตที่หนึ่ง , อเมเนมเฮตที่สอง , เซนุสเรตที่สอง , เซนุสเรตที่สาม , อเมเนมเฮตที่สาม , อเมเนมเฮตที่สี่ , ราชินีโซเบคเนฟรู </p>\n<p>ราชินีโซเบคเนฟรู เป็นฟาโรห์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ 12 เป็นสตรีเพศ นามราชินีโซเบคเนฟรู พระนางอาจเคยได้ปกครองเป็น<br />\nผู้สำเร็จราชการร่วมกับอเมเนมเฮตที่ 4 มาก่อนที่จะได้ครองบัลลังก์โดยสมบูรณ์ ทรงมีพระสมัญญาว่า “นางเหยี่ยวผู้เป็นที่รักของเร” <br />\nรูปสลักบางชิ้นเป็นภาพนางสวมเครื่องแบบบุรุษบ้างก็เป็นเครื่องทรงแบบสตรี แต่ใช่ว่านางจะเป็นฟาโรห์หญิงเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์อียิปต์เพราะมีฟาโรห์หญิงอีกคนที่ทรงอำนาจที่ลือชื่อมากกว่าราชินีโซเบคเนฟรู นั่นคือ ราชินีฮัตเชปซุต\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบสาม<br />\nเวกาฟ , อเมเนมเฮตที่ห้า , ฮาร์เนดจ์เฮริโอเทฟ , อเมนีกีเมา , เซเบคโฮเตปที่หนึ่ง , ฮอร์ , อเมเนมเฮตที่เจ็ด , เซเบคโฮเตปที่สอง , เคนด์เจอร์ , เซเบคโฮเตปที่สาม , เนเฟอร์โฮเตปที่หนึ่ง , เซเบคโฮเตปที่สี่ , เซเบคโฮเตปที่ห้า , อัยย์ (ราชวงส์ที่สิบสาม) , <br />\nเมนทูเอมซาฟ , เดดูโมสที่สอง , เนเฟอร์โฮเตปที่สาม\n</p>\n<p>\nช่วงต่อที่สอง ราว 1630-1520 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบสี่<br />\nเนเฮซี\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบห้าและสิบหก<br />\nฟาโรห์เป็นชาวฮิกซอส\n</p>\n<p>\nเชชิ , คยาน , อเปปิ , คามูดิ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบเจ็ด<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์\n</p>\n<p>\nอินโยเตฟที่ห้า , เซเบคเอมซาฟที่หนึ่ง , เนบิเรเยรอว์ , เซเบคเอมซาฟที่สอง , ตาโอที่หนึ่ง , ตาโอที่สอง , คาโมส\n</p>\n<p>\nอาโมส <br />\nอเมนโฮเตปที่หนึ่ง <br />\nทุตโมสที่หนึ่ง <br />\nฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ในตลอดรัชสมัยของฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ ได้ทรงนำกองทัพรุกเข้าพิชิตเมืองใหญ่น้อยในเขตปาเลสไตน์และซีเรีย จากนั้นจึงได้บุกเข้าทำลายศูนย์อำนาจของชาวนูเบียที่ยู่ทางใต้จนราบคาบ แล้วจัดการกวาดต้อนแรงงานก่อนจะผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอียิปต์\n</p>\n<p>\nทุตโมสที่ ๑ได้ทรงยกทัพลึกลงไปกว่าฟาโรห์องค์ใดๆในสมัยก่อนหน้า และทรงกลับสู่อียิปต์โดยมีร่างไร้ชีวิตของผู้นำชาวนูเบียห้อยมากับหัวเรือ เป็นการประกาศพระราชอำนาจและเตือนสติผู้ที่หวังมาท้าทายพระองค์ไปในตัว ฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ สั่งให้สร้างอาคารและสลัก<br />\nพระนามแผ่นจารึกทั่วแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนแถบนูเบียที่พระองค์ที่พึ่งจะพิชิตได้ ขณะเดียวกันก็ทรงประกาศความศรัทธาแด่<br />\nเทพ อมุน-เร ด้วยการเสริมซุ้มประตูศิลามหึมาและลานกว้างของพระองค์เข้าไปยังมหาวิหารคาร์นัก\n</p>\n<p>\nทุตโมสที่สอง <br />\nราชินีฮัตเชปซุต <br />\nฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต (Hatshepsut) ราชินีมีเครา ทรงเป็นฟาโรห์พระองค์ที่ห้า ราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์โบราณ ทรงเป็นผู้ปกครองโดดเด่นในสมัยราชอาณาจักรใหม่ และพระนางทรงเป็นผู้ที่สร้างให้ราชอาณาจักรมั่นคง แต่ทว่า ผู้ปกครองสมัยหลังกลับพยายามทำลายรูปสลักและพระนามจนเกือบหมดสิ้น เป็นฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์ ครองบัลลังก์กว่า 21 ปี\n</p>\n<p>\nราชอาณาจักรใหม่ ราว 1539-1075 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบแปด<br />\nฟาโรห์ฮัตเชปชุตในชุดของเทพโอสิริส ณ วิหารฮัตเชปซุต เมืองลักซอร์\n</p>\n<p>\nทุตโมเสสที่สาม , อเมนโฮเตปที่สอง , ทุตโมสที่สี่ , อเมนโฮเตปที่สาม , อเคนาเตน (อเมนโฮเตปที่สี่) <br />\nฟาโรห์อเคนาเตน (Akhenaten) หรือ อิคนาตอน (Ikhnaton) หรือ อเมนโฮเตปที่สี่ (Amenhotep IV) หรือ อเมโนฟิส (Amenophis) ฟาโรห์ลำดับที่ 10 แห่งราชวงศ์ที่สิบแปด (Eighteenth dynasty)\n</p>\n<p>\nฟาโรห์อเคนาเตน มีมหเสีที่เป็นราชินีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ พระนางเนเฟอร์ติติ (Nefertiti) และโอรสที่มีชื่อเสียงอีกเช่นกัน <br />\nคือ ตุตันคาเมน (Tutankhamun)\n</p>\n<p>\nฟาโรห์สเมงห์คาเร (Smenkhkare หมายถึง พลังอำนาจของวิญญาณแห่งรา) ผู้ได้ครองบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์อเคนาเตนเพียงช่วงระยะสั้น ๆ เป็นฟาโรห์ที่ลึกลับที่สุดในบรรดาฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 18 นักประวัติศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า พระองค์อาจเป็นพระอนุชาของฟาโรห์อเคนาเตน บ้างก็อาจจะเป็นพระนางเนเฟอร์ตีติที่ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์หญิงโดย เปลี่ยนพระนามใหม่เสียด้วยซ้ำ <br />\nแต่ไม่ว่าสเมงห์คาเรจะเป็นใคร เขาหรือเธอก็ปกครองอยู่เพียงไม่กี่ปี (ประมาณ 1 ปี, ก่อนคริสต์ศักราช 1356 ปี - ก่อนคริสต์ศักราช 1355 ปี)\n</p>\n<p>\nราชินีอันเคตเคปรูเร <br />\nตุตันคามุน <br />\nฟาโรห์ ตุตันคามุน (Tutankhamun) หรือ ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงค์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ ครองราชย์ระหว่าง 1325 - 1334 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าขึ้นครองราชย์ใช้พระนามว่า “ตุตันคาเตน” อันหมายถึงเทพอาเตน หรือสุริยเทพอวตารลงมา <br />\nการบริหารบ้านเมืองจึงตกอยู่กับวิซิเออร์ อัยย์ (Vizier Ay) ฟาโรห์ ตุตันคาเมนได้ครองราชย์ในรัชสมัยของพระองค์ช่วงสั้นๆ ราว 9 ปี <br />\nก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เป็นเพราะฟาโรห์ตุตันคาเมน สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน วิซิเออร์ อัยย์จึงได้สร้างสุสานถวายแบบง่าย ๆ\n</p>\n<p>\nราวสองร้อยปีต่อมา มีการสร้างสุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 6 ทับสุสานของ ฟาโรห์ตุตันคาเมน ทั้ง ๆ ที่คนงานก็รู้แต่นึกว่าเป็นบุคคลธรรมดาจึงไม่ได้เสนอเบื้องบน จึงทำให้สุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนนี้ ปลอดภัยและนับเป็นสุสานที่สมบูรณ์ที่สุด\n</p>\n<p>\nฟาโรห์ตุตันคามุนทรงได้เษกสมรสกับพระนางอันเคเซนามุน พระธิดาพระองค์ที่ 3 จากทั้งหมด 6 พระองค์ในพระนางเนเฟอร์ติติ ซึ่งเป็นมเหสีองค์แรกของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 4 เจ้าหญิงจากมิตันนี (Mitanni) ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมีย\n</p>\n<p>\nฟาโรห์ตุตันคาเมน สวรรคตอย่างฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่ยังมีพระชนมายุยังไม่ครบ 19 ชันษา อีกทั้งไม่มีองค์รัชทายาท <br />\nวิซิเออร์ อัยย์ จึงรีบฉวยโอกาสแต่งกับราชินีม่ายเพื่อจะได้ครอบครองดินแดนอียิปต์ต่อไป\n</p>\n<p>\nฟาโรห์อเคนาเตน ขึ้นครองราชย์ระหว่าง 1350 ปีก่อนคริสต์ศักราช และครองราชย์อยู่นาน 17 ปี ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์เป็นฟาโรห์องค์แรกที่ปฏิวัติความเชื่อในอาณาจักรอียิปต์ พระองค์ทรงนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว คือ อาเตน (Aten) <br />\n(สุริยเทพ สันนิษฐานว่าเป็นไปได้ว่าอาจเป็นองค์เดียวกับ รา) ถึงขนาดสร้างเมืองใหม่ที่ชื่อ อมาน่า (Amarna) ที่มีศาสนสถานขนาดใหญ่เพื่อบูชาเทพอาเตน พร้อมกับเปลี่ยนพระนามใหม่เป็น อเคนาเตน ด้วย เพื่อให้เชื่อมโยงกับคำว่า อาเตน ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า <br />\nการที่นับถือเทพเจ้าเพียงองค์เดียวของพระองค์นั้น เป็นแรงบันดาลใจให้โมเสสเป็นกบฏต่อฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) ในอีกราว 50 ปี ต่อมา\n</p>\n<p>\nที่วิหารและราชวังในเมือง อมาน่า พระองค์ได้สร้างศิลปกรรมฝาผนังไว้อย่างงดงาม ที่มีบทสรรเสริญเทพอาเตน แต่เมื่อพระองค์สวรรค์ลง เมืองอมาน่าแห่งนี้ก็ได้ถูกทิ้งร้างทันที ทายาทรุ่นหลังได้ทำลายวิหารและบทสรรเสริญเหล่านี้เสีย รวมทั้งได้ประนาณพระองค์และทำลายรูปสลักพระพักตร์ของพระองค์ด้วย ซึ่งเชื่อว่า ทั้งนี้เป็นเพราะต้องการทำลายหลักความเชื่อของการนับถือเทพเจ้าองค์เดียว (Monotheism)\n</p>\n<p>\nคำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน<br />\nลอร์ด คาเนวอน ได้ว่าจ้างคณะสำรวจของนายโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ เพราะต้องการให้มีการสำรวจสุสานฟาโรห์ เป็นคณะแรกที่ได้เข้าสู่สุสานของตุตันคาเมนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ ในวันที่ 4 พ.ย. 1922 โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการขุดค้นสุสานและค้นพบห้องเก็บพระศพ โลงพระศพที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์\n</p>\n<p>\nสำหรับสุสานฟาโรห์หนุ่มองค์นี้คือ คำสาป ที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของตุตันคาเมน “มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์” ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพณ์นี้ ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซึ่งเชื่อกันว่าเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป\n</p>\n<p>\nลอร์ด คาเนวอนก็เสียชีวิตขณะพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ในเวลาเดียวกันที่บ้านของลอร์ด คาเนวอนที่ประเทศอังกฤษมีสุนัขอยู่หนึ่งตัวซึ่งลอร์ด คาเนวอนได้เลี้ยงไว้ สุนัขตัวนี้ได้ส่งเสียงเห่าหอนในตอนดึกเหมือนกับว่าได้รู้ว่าลอร์ด คาเนวอนเสียชีวิตลงแล้ว หนึ่งปีผ่านไป คนงานในคณะสำรวจของคาร์เตอร์เสียชีวิตลง หลังจากนั้น 6 ปีได้มีการเปิดหลุมศพอีกครั้งแต่ในครั้งนี้ได้มีคนตายอีกถึง 12 คน\n</p>\n<p>\nอัยย์ (ราชวงศ์ที่สิบแปด) <br />\nฟาโรห์ไอย์ ปกครองอียิปต์อยู่เพียง 4 ปี แต่อำนาจที่แท้จริงกลับตกอยู่ในมือขุนนางฝ่ายทหารอีกคนคือ โฮเรมเฮบ ที่มีอำนาจชี้ขาดอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ โฮเรมเฮบได้รับใช้ฟาโรห์ตั้งแต่อเมนโฮเทปที่ 3 อเคนาเตน และ ตุตันคามุนเมื่อไอย์สวรรคต โฮเรมเฮบจึงขึ้นครองราชย์และลบพระนามของไอย์ทั้งหมดทั่วราชอาณาจักร\n</p>\n<p>\nเมื่อฟาโรห์ตุตันคามุนสวรรคตโดยไม่มีผู้สืบสกุล จะมีเพียงราชินีอังเซนามุนซึ่งปราศจากอำนาจ เราทราบจากบันทึกโบราณว่านางผู้สิ้นหวังตัดสินใจเขียนจดหมายไปถึงกษัตริย์ฮิตไทต์ซึ่งเป็น มหาอำนาจในตุรกีและซีเรีย เพื่อให้ส่งพระโอรสมาเป็นคู่ครองของนาง ในตอนแรกกษัตริย์ ฮิตไทต์แปลกใจกับคำขอนี้มากและมองเห็นโอกาสทางลัดที่จะได้อาณาจักรอียิปต์มาอยู่ใต้อำนาจ จึงจัดการส่งเจ้าชายชื่อซานนันซาไปตาคำขอ แต่โชคร้ายเจ้าชายผู้นี้ถูกสังหารโดยฝ่ายอียิปต์แถบชายแดน อังเซนามุนที่ปราศจากทางเลือกจึงจำต้องอภิเษกกับ<br />\nไอย์ ข้าราชสำนักผู้ชรา อาจมีศักดิ์เป็นปู่ของนาง และกลายเป็นราชินีของไอย์ซึ่งขึ้นครองบัลลังก์เป็นฟาโรห์องค์ใหม่\n</p>\n<p>\nโฮเรมเฮบ <br />\nฟาโรห์โฮเรมเฮบ(อังกฤษ:Horemheb) เป็นฟาโรห์ ต่อจากฟาโรห์ไอย์ โฮเรมเฮบสถาปนาตนเป็นฟาโรห์ทันทีหลังจากการสวรรคตก่อนจะทำลายสุสานและลบพระนามของไอย์ออกจากจารึกทั้งหมดราวกับต้องการทำลายหลักฐานทุกชิ้นที่บอกว่าเคยมีไอย์บนโลกนี้ กระนั้นปัญหาหลักในการครองราชย์ของโฮเรมเฮบคือเขาเป็นสามัญชนที่ปราศเลือดขัตติยะ การที่ได้อภิเษกกับน้องสาวของเนเฟอร์ติติก็ยังไม่พอจะลบปมด้อยดังกล่าว จึงทรงหันมาเอาจริงเอาจังกับการอวดอ้างฐานะฟาโรห์ของตนเป็นพิเศษ โฮเรมเฮบถึงกับพยายามประกาศว่าเขาคือผู้ปกครองต่อจากอเมนโฮเทปที่ 3โดยไม่เคยมีรัชสมัยของ อเคนาเตน สเมงห์คาเร ตุตันคามุนหรือ ไอย์ปรากฏอยู่เลย นอกจากนี้ยังสั่งรื้อเมืองอมาร์นาที่สร้างบูชาเทพอาเตนจนนครหลวงอันงดงามต้องเหลือแต่ซากปรักหักพังจมอยู่ใต้กองทราย ฟาโรห์โฮเรมเฮบครองราชย์นาน 30 ปี ทรงจัดการแผ่พระราชอำนาจออกไปยังชายแดน ปฏิสังขรวิหารหลายแห่ง และแต่งตั้งนายทหารขึ้นเป็นนักบวช\n</p>\n<p>\nเพื่อให้ดูแลเรื่องศาสนาอย่างใกล้ชิด โฮเรมเฮบเป็นฟาโรห์องค์แรกที่เริ่มเปิดฉากการทำสงครามกับชาวฮิตไทต์ในทางเหนือ โดยแต่งตั้งแม่ทัพพาราเมสซูเป็นผู้สืบราชสมบัติ ต่อมาพาราเมสซูได้ขึ้นครองราชย์เป็น รามเซสที่ 1 แห่งราชวงศ์ที่ 19\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบเก้า<br />\nรามเสสที่หนึ่ง , เซติที่หนึ่ง , รามเสสที่สอง <br />\nฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) หรือ รามเสสมหาราช (Ramesses The Great, Riʕmīsisu) ฟาโรห์องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ที่สิบเก้า (Nineteenth dynasty) เป็นฟาโรห์องค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ ครองราชย์อยู่ระหว่าง 1279 ก่อนคริสต์ศักราช ถึง 1213 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นฟาโรห์องค์เดียวกับที่เชื่อว่า คือ ฟาโรห์ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเอกซ์โซดัส (Exodus) ที่ว่าถึงการอพยพทาสชาวยิวออกจากอาณาจักรอียิปต์ของโมเสส\n</p>\n<p>\nเป็นโอรสองค์โตของฟาโรห์เซติที่หนึ่ง ได้ขึ้นครองราชย์ในปี 1279 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากแย่งชิงอำนาจกันแย่งในหมู่พี่น้อง หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองใหญ่ขึ้นบนพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นที่อยู่และสถานที่ประสูติของพระองค์ คือเมืองปิ-รามเซส และยังได้สร้างมหาวิหารที่มีรูปสลักแทนพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ คือ อาบู ซิมเบล (Abu Simbel)\n</p>\n<p>\nฟาโรห์รามเสสที่สอง ทรงครองราชย์นานถึง 67 ปี และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 90 ปีเศษ ซึ่งเมื่อ 30 ปีแรกแห่งการครองราชย์มาถึง พระองค์ได้กระทำพิธีสถาปนาตัวเองเสมือนเทพเจ้า และทำให้สถานะของพระองค์เปลี่ยนไปเป็นสูงส่งยิ่งขึ้น\n</p>\n<p>\nหลังจากโมเสสนำพาทาสชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์ได้ให้พระโอรสองค์แรกที่เกิดกับพระนางเนเฟอร์ตารี่ (Nefertari) มเหสีเอก คือ อามุน-เฮอ-เคปิเชฟ (Amun-her-khepeshef แปลว่า อามุนและอาวุธในแขนขวา หรือ อามุนและอาวุธที่แข็งแรง) นำทัพไล่ติดตาม หาได้ใช่ตัวฟาโรห์เองไม่ เนื่องจากเป็นองค์รัชทายาทและเป็นผู้นำกองทัพ ซึ่งตรงนี้ตรงกับบันทึกในพระคัมภีร์เอกซ์โซดัส ว่า ฟาโรห์ได้เจอกับปาฏิหารย์จากพระเจ้าที่เนรมิตให้มีกองไฟกั้นกองทัพอียิปต์กับชาวยิวไว้ ที่ริมทะเลแดง และทะเลแดงได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ซีก เมื่อชาวยิวอพยพไปหมดแล้ว กองทัพอียิปต์ได้ติดตามไปและถูกทะเลกลบหมดสิ้น ซึ่งความตอนนี้ ได้ถูกตีความว่า ทะเลแดง (Red Sea) แท้จริงแล้วคือ ทะเลวัชพืช (Reed Sea) ที่อยู่บริเวณตอนเหนือของอียิปต์ เป็นดงอ้อหรือกก เมื่อรถม้าของฟาโรห์ตามไปถึง ไม่สามารถนำรถม้าตามลงไปได้ อามุน-เฮอ-เคปิเชฟ ก็ได้ถูกทาสชาวยิวสังหาร ณ ที่ตรงนั้น ซึ่งในพระคัมภีร์ระบุว่า สิ้นพระชนม์เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้า (ซึ่งตรงนี้อาจกลายเป็น มรณกรรมของบุตรหัวปี ของภัยพิบัติทั้ง 10 ในเอกซ์โซดัสก็เป็นได้)\n</p>\n<p>\nหลังจากนั้น พระองค์ได้โปรดให้เจาะภูเขาสร้างวิหารอาบู ซิมเบล ซึงใช้พระราชทรัพย์ไปมากจากนั้นก็เปิดฉากรบกับฮิตไทต์ในสมัยกษัตริย์มูวาตาลิสซึ่งพระองค์เกือบจะเสียชีวิตในการรบที่คาเดช (Battle of Kadesh) แต่ทหารของพระองค์เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ฟาโรห์องค์ต่อไปที่ได้ขึ้นครองราชย์ คือ เมอร์เนปตาห์ (Merneptah) ซึ่งเป็นหนึ่งในราชบุตรของพระองค์\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบ<br />\nเซทนัคห์เต , รามเสสที่สาม , รามเสสที่สี่ , รามเสสที่ห้า , รามเสสที่หก , รามเสสที่เจ็ด , รามเสสที่แปด , รามเสสที่เก้า , รามเสสที่สิบ , รามเสสที่สิบเอ็ด\n</p>\n<p>\nช่วงต่อที่สาม ราว 1075-715 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ด<br />\nทานิส , สเมนเดสที่หนึ่ง , อเมเนมนิซู , ซูเซนเนสที่หนึ่ง , อเมเนมโอเป , โอซอร์คอนที่หนึ่ง , ซิอามุน <br />\nซูเซนเนสที่สอง ปกครองโดยหัวหน้าพระ เมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์\n</p>\n<p>\nเฮริฮอร์ , พิอังคห์ , พิเนดเจมที่หนึ่ง , มาซาเฮอร์ตา , เมนเคเปอร์เร , สเมนเดสที่สอง , พิเนดเจมที่สอง , ซูเซนเนสที่สาม\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบสอง<br />\nฟาโรห์เป็นชาวลิเบีย\n</p>\n<p>\nโชเชงค์ที่หนึ่ง , โอซอร์คอนที่สอง , ทาเคลอตที่หนึ่ง , โชเชงค์ที่สอง , โอซอร์คอนที่สาม , ทาเคลอตที่สอง , โชเชงค์ที่สาม , <br />\nปามิ ,โชเชงค์ที่ห้า<br />\nโอซอร์คอนที่ห้า ย้ายเมืองหลวงไปธีบส์\n</p>\n<p>\nฮาร์เซียเซ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบสาม<br />\nฟาโรห์เป็นชาวลิเบีย เมืองหลวงอยู่ที่ ลีออนโทโพลิส\n</p>\n<p>\nเปดิบาสเทต , โชเชงค์ที่สี่ , โอซอร์คอนที่สี่ , ทาเคลอตที่สาม , รูดามอน , อิยูพุด <br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ เฮอร์โมโพลิส\n</p>\n<p>\nนิมลอต <br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ เฮเรคลีโอโพลิส\n</p>\n<p>\nเพฟต์เจาอวิบาสต์\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบสี่<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ ซาอิส\n</p>\n<p>\nเทฟนัคห์เต <br />\nบาเคนเรเนฟ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบห้า<br />\nฟาโรห์เป็นชาวนูเบีย เมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์\n</p>\n<p>\nคาชทา , ปิเย\n</p>\n<p>\nยุคปลาย ราว 715-332 ปีก่อน ค.ศ.<br />\nฟาโรห์เป็นชาวนูเบีย\n</p>\n<p>\nชาบากา , เชบอิทกู , ทาฮาร์กา , ทันทามานิ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบหก<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ ซาอิส\n</p>\n<p>\nพซัมเตกที่หนึ่ง , เนโคที่สอง , พซัมเตกที่สอง , อพริส , อมาซิส , พซัมเตกที่สาม\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ด<br />\nฟาโรห์เป็นชาวเปอร์เซีย\n</p>\n<p>\nแคมไบซีส , ดาริอุสที่หนึ่ง , เซอร์ซีส , อาตาเซอร์ซีสที่หนึ่ง , ดาริอุสที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบแปด<br />\nชาวเปอร์เซียถูกขับออกไป\n</p>\n<p>\nอไมร์เตอุส\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบเก้า<br />\nเนเฟอริเตสที่หนึ่ง , ซัมมูธิส , ฮาคอร์ , เนเฟอริเตสที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สามสิบ<br />\nเนคทาเนโบที่หนึ่ง , เจดฮอร์ , เนคทาเนโบที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด<br />\nฟาโรห์เป็นชาวเปอร์เซีย\n</p>\n<p>\nอาตาเซอร์ซีสที่สาม , อาซีส , ดาริอุสที่สาม\n</p>\n<p>\nยุคกรีก-โรมัน ราว 332 ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 395\n</p>\n<p>\nราชวงศ์มาซิโดเนีย ราว 332-305 ปีก่อนคริสตกาล<br />\nอเล็กซานเดอร์มหาราช <br />\nอเล็กซานเดอร์มหาราช (อังกฤษ: Alexander the Great กรีก: Megas Alexandros) หรือ <br />\nอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ประสูติเมื่อ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 187 ที่เมืองเพลล่า (Pella) ตอนเหนือของมาซีโดเนีย สวรรคต<br />\nในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 220 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรมาเซโดเนีย และเป็น จักรพรรดิ ที่ขยายจักรวรรดิได้ถึงครึ่งโลกในสมัยโบราณ\n</p>\n<p>\nทรงพระเยาว์<br />\nอเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นพระโอรสของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาร์ซีโดเนีย กับพระนางโอลิมเปียส พระองค์เป็นศิษย์ของอริสโตเติล ผู้เป็นมหานักปราชญ์แห่งโลกตะวันตก เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระองค์สามารถปราบพยศม้าสีดำตัวหนึ่งที่ไม่มีใครปราบได้ ทำให้พระเจ้าฟิลิปที่ 2 อุทานว่า ” มาซิโดเนีย เล็กเกินไปแล้วสำหรับเจ้า ” และทรงซื้อม้าตัวนี้ให้แก่พระองค์ พระองค์ตั้งชื่อม้าตัวนี้ว่า บูซาเฟลัส แปลว่า หัววัว ซึ่งต่อมาบูซาเฟลัสเป็นม้าคู่พระทัยพระองค์ และทรงใช้ทำศึกเสมอมา\n</p>\n<p>\nเมื่อพระเจ้าฟิลิปส์ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์ เหล่านายทหารในกองทัพจึงสนับสนุนให้อเล็กซานเดอร์ ซึ่งในขณะนั้นอายุเพียง 20 ปี ขึ้นครองบัลลังก์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของมาเซโดเนีย\n</p>\n<p>\nหลังขึ้นครองราชย์ อเล็กซานเดอร์ได้แผ่ขยายอาณาเขตของอาณาจักรมาซีโดเนียไปอย่างมาก โดยอเล็กซานเดอร์ใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการตีได้ทั้งจักรวรรดิเปอร์เซีย, อาณาจักรบาบิโลน และดินแดนบางส่วนที่เป็นประเทศอินเดียในปัจจุบัน เชื่อว่าพระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของซุส เทพบดีทั้งมวลตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณ พระองค์สืบเชื้อสายมาจากอคิลลิส วีรบุรุษในตำนานสงครามเมืองทรอย และในการรบทุกครั้งพระองค์จะพกคัมภีร์มหากาพย์อีเลียดอันเป็นคำภีร์ที่ทรงอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวกรีกโบราณไว้ในเสื้อเกราะตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนบรรทมก็จะเอาหนุนศีรษะ\n</p>\n<p>\nรูปร่างลักษณะ<br />\nไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอเล็กซานเดอร์มหาราชมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่โดยทั่วไปแล้ว เชื่อว่าพระองค์เป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ไม่มีหนวดมีเครา แทบไม่มีเค้าว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่เลย ผมของพระองค์เป็นสีบลอนด์หยิกเป็นลอน บ้างก็บอกว่าดวงตาของพระองค์ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีดำ เป็นสัญลักษณ์บอกว่าในภายภาคหน้าพระองค์จะเป็นผู้ครองทั้งยุโรปและเอเชีย บ้างก็บอกว่า โดยปกติแล้วเมื่อทรงประทับอยู่กับที่ คอของพระองค์จะเอียงเล็กน้อยพองาม\n</p>\n<p>\n<br />\n \n</p>\n<p>\n<br />\nรูปร่างลักษณะ<br />\nไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอเล็กซานเดอร์มหาราชมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่โดยทั่วไปแล้ว เชื่อว่าพระองค์เป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ไม่มีหนวดมีเครา แทบไม่มีเค้าว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่เลย ผมของพระองค์เป็นสีบลอนด์หยิกเป็นลอน บ้างก็บอกว่าดวงตาของพระองค์ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีดำ เป็นสัญลักษณ์บอกว่าในภายภาคหน้าพระองค์จะเป็นผู้ครองทั้งยุโรปและเอเชีย บ้างก็บอกว่า โดยปกติแล้วเมื่อทรงประทับอยู่กับที่ คอของพระองค์จะเอียงเล็กน้อยพองาม </p>\n<p>มีต่อ ยังไม่เสร็จนะ<br />\nที่มา <a href=\"http://blogger.sanook.com/maple_plus/\">http://blogger.sanook.com/maple_plus/</a>\n</p>\n<!--pagebreak--><!--pagebreak-->', created = 1728278140, expire = 1728364540, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:6a4bf9dafe39c7ac53b3fab45cfc1e8b' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:3c7242dce719008da4f517a5f32a13eb' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p>\n<br />\nปลายยุคก่อนราชวงศ์ ราว 3100 ปีก่อน ค.ศ.<br />\nในช่วงปลายยุคก่อนราชวงศ์ มีการแยกการปกครองออกเป็น 2 อาณาจักร คือ อียิปต์เหนือ และอียิปต์ใต้</p>\n<p>อียิปต์เหนือ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “Red Land” ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนล่างของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึงทะเลทรายรอบข้าง <br />\nโดยมีผู้ปกครองดังนี้<br />\nสกอร์เปียนที่ 1 , โร , กา , คิง สกอร์เปียน </p>\n<p>คิง สกอร์เปียน (King Scorpion) หรือ สกอร์เปียน ที่ 2 (Scorpion II) ฟาโรห์ผู้รวบรวมอาณาจักรอียิปต์ทั้งบนและใต้เข้าไว้ด้วยกัน <br />\nในราว 3,200 ปีก่อนคริสตกาล ในปลายยุคก่อนราชวงศ์ เป็นผู้ครองนครธีส (This) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนกลางลุ่มน้ำไนล์ได้กรีฑาทัพ <br />\nเข้ายึดครองนครรัฐต่าง ๆ ในอียิปต์บนและตั้งตนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรบน พระองค์ปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกัน<br />\nแต่กลับสิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรสของพระองค์ (ข้อนี้นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักแต่จากหลักฐานที่มีแสดงว่าทั้งสองพระองค์<br />\nน่าจะเกี่ยวดองกัน) ที่มีนามว่า นาเมอร์ (Namer) ได้สานต่อนโยบายและกรีฑาทัพเข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยของ <br />\nฟาโรห์เมเนส (Menese) พระองค์สามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จและ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส (Memphis) ซึ่งอยู่ตอนกลางของลุ่มน้ำไนล์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้นับฟาโรห์เมเนส<br />\nเป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่ 1 ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ</p>\n<p>อียิปต์ใต้<br />\nอิยิปต์ใต้ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “Black Land” ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึง<br />\nพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ มีผู้ปกครองดังนี้<br />\nตีอู , เทช  , เซคีอู  , วาสเนอร์\n</p>\n<p>\n<br />\nราชวงศ์ต้นๆ ราว 2950-2575 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่หนึ่ง<br />\nฟาโรห์เมเนส เป็นฟาโรห์ที่เชื่อกันกว่าเป็นผู้เริ่มต้นของราชวงศ์ที่หนึ่งแห่งอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 3,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช <br />\nซึ่งมีความคล้ายคลึงกับรอมิวลุส และรีมุส ผู้ก่อตั้งกรุงโรมและเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งกรุงโรม นักโบราณคดีพบรูปภาพของ<br />\nฟาโรห์เมเนสเป็นจำนวนมากในประวัติของอียิปต์โบราณ<br />\nเจอร์ , เจต , เดน , อเนดจิบ , เซเมอร์เคต , กาอา\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สอง<br />\nโฮเตปเซเคมวี , เรเนบ , นินเอทเจอร์ , เพริบเซน , เซเคมอิบ , คาเซเคมวี\n</p>\n<p>\nราชอาณาจักรเก่า ราว 2575-2510 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สี่<br />\nสเนฟรู , คูฟู , เจดีเฟร , คาเฟร , เนบกาที่สอง , เมนเคอเร , เชปซีสกาฟ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ห้า<br />\nยูเซอร์คาฟ , ซาฮูเร , เนเฟออิร์คาเร , เชปเซสคาเร , เนเฟเรเฟร , นูเซอร์เร , เมนเคาฮอร์ , เจดคาเร , อูนาส\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่หก<br />\nเตติ , เปปิที่หนึ่ง , เมเรนเรที่หนึ่ง , เปปิที่สอง , เมเรนเรที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่เจ็ดและแปด<br />\nกาคาเร , เนเฟอร์เคาเร , เนเฟอร์เคาฮอร์ , เนเฟออิร์คาเรที่สอง <br />\n <br />\nราชวงศ์ที่สาม<br />\nโจเซอร์ , เนบกาที่หนึ่ง , คาบา , ฮูนิ\n</p>\n<p>\nราชอาณาจักรเก่า ราว 2575-2510 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สี่<br />\nสเนฟรู , คูฟู , เจดีเฟร , คาเฟร , เนบกาที่สอง , เมนเคอเร , เชปซีสกาฟ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ห้า<br />\nยูเซอร์คาฟ , ซาฮูเร , เนเฟออิร์คาเร , เชปเซสคาเร , เนเฟเรเฟร , นูเซอร์เร , เมนเคาฮอร์ , เจดคาเร , อูนาส\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่หก<br />\nเตติ , เปปิที่หนึ่ง , เมเรนเรที่หนึ่ง , เปปิที่สอง , เมเรนเรที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่เจ็ดและแปด<br />\nกาคาเร , เนเฟอร์เคาเร , เนเฟอร์เคาฮอร์ , เนเฟออิร์คาเรที่สอง\n</p>\n<p>\n<br />\nช่วงต่อที่หนึ่ง ราว 2125-1975 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่เก้าและสิบ<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ เฮเรคลีโอโพลิส\n</p>\n<p>\nเมริอิบเร , เคติ , เมริคาเร , ไอติ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบเอ็ด<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์\n</p>\n<p>\nเมนทูโฮเตปที่หนึ่ง , อินโยเตฟที่หนึ่ง , อินโยเตฟที่สอง , อินโยเตฟที่สาม\n</p>\n<p>\nราชอาณาจักรกลาง ราว 1975-1640 ปีก่อน ค.ศ.<br />\nเมนทูโฮเตปที่สอง (เนปเฮเพเตร) , เมนทูโฮเตปที่สาม , เมนทูโฮเตปที่สี่\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบสอง<br />\nอเมเนมเฮตที่หนึ่ง , เซนุสเรตที่หนึ่ง , อเมเนมเฮตที่สอง , เซนุสเรตที่สอง , เซนุสเรตที่สาม , อเมเนมเฮตที่สาม , อเมเนมเฮตที่สี่ , ราชินีโซเบคเนฟรู </p>\n<p>ราชินีโซเบคเนฟรู เป็นฟาโรห์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ 12 เป็นสตรีเพศ นามราชินีโซเบคเนฟรู พระนางอาจเคยได้ปกครองเป็น<br />\nผู้สำเร็จราชการร่วมกับอเมเนมเฮตที่ 4 มาก่อนที่จะได้ครองบัลลังก์โดยสมบูรณ์ ทรงมีพระสมัญญาว่า “นางเหยี่ยวผู้เป็นที่รักของเร” <br />\nรูปสลักบางชิ้นเป็นภาพนางสวมเครื่องแบบบุรุษบ้างก็เป็นเครื่องทรงแบบสตรี แต่ใช่ว่านางจะเป็นฟาโรห์หญิงเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์อียิปต์เพราะมีฟาโรห์หญิงอีกคนที่ทรงอำนาจที่ลือชื่อมากกว่าราชินีโซเบคเนฟรู นั่นคือ ราชินีฮัตเชปซุต\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบสาม<br />\nเวกาฟ , อเมเนมเฮตที่ห้า , ฮาร์เนดจ์เฮริโอเทฟ , อเมนีกีเมา , เซเบคโฮเตปที่หนึ่ง , ฮอร์ , อเมเนมเฮตที่เจ็ด , เซเบคโฮเตปที่สอง , เคนด์เจอร์ , เซเบคโฮเตปที่สาม , เนเฟอร์โฮเตปที่หนึ่ง , เซเบคโฮเตปที่สี่ , เซเบคโฮเตปที่ห้า , อัยย์ (ราชวงส์ที่สิบสาม) , <br />\nเมนทูเอมซาฟ , เดดูโมสที่สอง , เนเฟอร์โฮเตปที่สาม\n</p>\n<p>\nช่วงต่อที่สอง ราว 1630-1520 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบสี่<br />\nเนเฮซี\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบห้าและสิบหก<br />\nฟาโรห์เป็นชาวฮิกซอส\n</p>\n<p>\nเชชิ , คยาน , อเปปิ , คามูดิ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบเจ็ด<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์\n</p>\n<p>\nอินโยเตฟที่ห้า , เซเบคเอมซาฟที่หนึ่ง , เนบิเรเยรอว์ , เซเบคเอมซาฟที่สอง , ตาโอที่หนึ่ง , ตาโอที่สอง , คาโมส\n</p>\n<p>\nอาโมส <br />\nอเมนโฮเตปที่หนึ่ง <br />\nทุตโมสที่หนึ่ง <br />\nฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ในตลอดรัชสมัยของฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ ได้ทรงนำกองทัพรุกเข้าพิชิตเมืองใหญ่น้อยในเขตปาเลสไตน์และซีเรีย จากนั้นจึงได้บุกเข้าทำลายศูนย์อำนาจของชาวนูเบียที่ยู่ทางใต้จนราบคาบ แล้วจัดการกวาดต้อนแรงงานก่อนจะผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอียิปต์\n</p>\n<p>\nทุตโมสที่ ๑ได้ทรงยกทัพลึกลงไปกว่าฟาโรห์องค์ใดๆในสมัยก่อนหน้า และทรงกลับสู่อียิปต์โดยมีร่างไร้ชีวิตของผู้นำชาวนูเบียห้อยมากับหัวเรือ เป็นการประกาศพระราชอำนาจและเตือนสติผู้ที่หวังมาท้าทายพระองค์ไปในตัว ฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ สั่งให้สร้างอาคารและสลัก<br />\nพระนามแผ่นจารึกทั่วแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนแถบนูเบียที่พระองค์ที่พึ่งจะพิชิตได้ ขณะเดียวกันก็ทรงประกาศความศรัทธาแด่<br />\nเทพ อมุน-เร ด้วยการเสริมซุ้มประตูศิลามหึมาและลานกว้างของพระองค์เข้าไปยังมหาวิหารคาร์นัก\n</p>\n<p>\nทุตโมสที่สอง <br />\nราชินีฮัตเชปซุต <br />\nฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต (Hatshepsut) ราชินีมีเครา ทรงเป็นฟาโรห์พระองค์ที่ห้า ราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์โบราณ ทรงเป็นผู้ปกครองโดดเด่นในสมัยราชอาณาจักรใหม่ และพระนางทรงเป็นผู้ที่สร้างให้ราชอาณาจักรมั่นคง แต่ทว่า ผู้ปกครองสมัยหลังกลับพยายามทำลายรูปสลักและพระนามจนเกือบหมดสิ้น เป็นฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์ ครองบัลลังก์กว่า 21 ปี\n</p>\n<p>\nราชอาณาจักรใหม่ ราว 1539-1075 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบแปด<br />\nฟาโรห์ฮัตเชปชุตในชุดของเทพโอสิริส ณ วิหารฮัตเชปซุต เมืองลักซอร์\n</p>\n<p>\nทุตโมเสสที่สาม , อเมนโฮเตปที่สอง , ทุตโมสที่สี่ , อเมนโฮเตปที่สาม , อเคนาเตน (อเมนโฮเตปที่สี่) <br />\nฟาโรห์อเคนาเตน (Akhenaten) หรือ อิคนาตอน (Ikhnaton) หรือ อเมนโฮเตปที่สี่ (Amenhotep IV) หรือ อเมโนฟิส (Amenophis) ฟาโรห์ลำดับที่ 10 แห่งราชวงศ์ที่สิบแปด (Eighteenth dynasty)\n</p>\n<p>\nฟาโรห์อเคนาเตน มีมหเสีที่เป็นราชินีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ พระนางเนเฟอร์ติติ (Nefertiti) และโอรสที่มีชื่อเสียงอีกเช่นกัน <br />\nคือ ตุตันคาเมน (Tutankhamun)\n</p>\n<p>\nฟาโรห์สเมงห์คาเร (Smenkhkare หมายถึง พลังอำนาจของวิญญาณแห่งรา) ผู้ได้ครองบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์อเคนาเตนเพียงช่วงระยะสั้น ๆ เป็นฟาโรห์ที่ลึกลับที่สุดในบรรดาฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 18 นักประวัติศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า พระองค์อาจเป็นพระอนุชาของฟาโรห์อเคนาเตน บ้างก็อาจจะเป็นพระนางเนเฟอร์ตีติที่ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์หญิงโดย เปลี่ยนพระนามใหม่เสียด้วยซ้ำ <br />\nแต่ไม่ว่าสเมงห์คาเรจะเป็นใคร เขาหรือเธอก็ปกครองอยู่เพียงไม่กี่ปี (ประมาณ 1 ปี, ก่อนคริสต์ศักราช 1356 ปี - ก่อนคริสต์ศักราช 1355 ปี)\n</p>\n<p>\nราชินีอันเคตเคปรูเร <br />\nตุตันคามุน <br />\nฟาโรห์ ตุตันคามุน (Tutankhamun) หรือ ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงค์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ ครองราชย์ระหว่าง 1325 - 1334 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าขึ้นครองราชย์ใช้พระนามว่า “ตุตันคาเตน” อันหมายถึงเทพอาเตน หรือสุริยเทพอวตารลงมา <br />\nการบริหารบ้านเมืองจึงตกอยู่กับวิซิเออร์ อัยย์ (Vizier Ay) ฟาโรห์ ตุตันคาเมนได้ครองราชย์ในรัชสมัยของพระองค์ช่วงสั้นๆ ราว 9 ปี <br />\nก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เป็นเพราะฟาโรห์ตุตันคาเมน สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน วิซิเออร์ อัยย์จึงได้สร้างสุสานถวายแบบง่าย ๆ\n</p>\n<p>\nราวสองร้อยปีต่อมา มีการสร้างสุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 6 ทับสุสานของ ฟาโรห์ตุตันคาเมน ทั้ง ๆ ที่คนงานก็รู้แต่นึกว่าเป็นบุคคลธรรมดาจึงไม่ได้เสนอเบื้องบน จึงทำให้สุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนนี้ ปลอดภัยและนับเป็นสุสานที่สมบูรณ์ที่สุด\n</p>\n<p>\nฟาโรห์ตุตันคามุนทรงได้เษกสมรสกับพระนางอันเคเซนามุน พระธิดาพระองค์ที่ 3 จากทั้งหมด 6 พระองค์ในพระนางเนเฟอร์ติติ ซึ่งเป็นมเหสีองค์แรกของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 4 เจ้าหญิงจากมิตันนี (Mitanni) ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมีย\n</p>\n<p>\nฟาโรห์ตุตันคาเมน สวรรคตอย่างฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่ยังมีพระชนมายุยังไม่ครบ 19 ชันษา อีกทั้งไม่มีองค์รัชทายาท <br />\nวิซิเออร์ อัยย์ จึงรีบฉวยโอกาสแต่งกับราชินีม่ายเพื่อจะได้ครอบครองดินแดนอียิปต์ต่อไป\n</p>\n<p>\nฟาโรห์อเคนาเตน ขึ้นครองราชย์ระหว่าง 1350 ปีก่อนคริสต์ศักราช และครองราชย์อยู่นาน 17 ปี ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์เป็นฟาโรห์องค์แรกที่ปฏิวัติความเชื่อในอาณาจักรอียิปต์ พระองค์ทรงนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว คือ อาเตน (Aten) <br />\n(สุริยเทพ สันนิษฐานว่าเป็นไปได้ว่าอาจเป็นองค์เดียวกับ รา) ถึงขนาดสร้างเมืองใหม่ที่ชื่อ อมาน่า (Amarna) ที่มีศาสนสถานขนาดใหญ่เพื่อบูชาเทพอาเตน พร้อมกับเปลี่ยนพระนามใหม่เป็น อเคนาเตน ด้วย เพื่อให้เชื่อมโยงกับคำว่า อาเตน ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า <br />\nการที่นับถือเทพเจ้าเพียงองค์เดียวของพระองค์นั้น เป็นแรงบันดาลใจให้โมเสสเป็นกบฏต่อฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) ในอีกราว 50 ปี ต่อมา\n</p>\n<p>\nที่วิหารและราชวังในเมือง อมาน่า พระองค์ได้สร้างศิลปกรรมฝาผนังไว้อย่างงดงาม ที่มีบทสรรเสริญเทพอาเตน แต่เมื่อพระองค์สวรรค์ลง เมืองอมาน่าแห่งนี้ก็ได้ถูกทิ้งร้างทันที ทายาทรุ่นหลังได้ทำลายวิหารและบทสรรเสริญเหล่านี้เสีย รวมทั้งได้ประนาณพระองค์และทำลายรูปสลักพระพักตร์ของพระองค์ด้วย ซึ่งเชื่อว่า ทั้งนี้เป็นเพราะต้องการทำลายหลักความเชื่อของการนับถือเทพเจ้าองค์เดียว (Monotheism)\n</p>\n<p>\nคำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน<br />\nลอร์ด คาเนวอน ได้ว่าจ้างคณะสำรวจของนายโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ เพราะต้องการให้มีการสำรวจสุสานฟาโรห์ เป็นคณะแรกที่ได้เข้าสู่สุสานของตุตันคาเมนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ ในวันที่ 4 พ.ย. 1922 โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการขุดค้นสุสานและค้นพบห้องเก็บพระศพ โลงพระศพที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์\n</p>\n<p>\nสำหรับสุสานฟาโรห์หนุ่มองค์นี้คือ คำสาป ที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของตุตันคาเมน “มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์” ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพณ์นี้ ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซึ่งเชื่อกันว่าเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป\n</p>\n<p>\nลอร์ด คาเนวอนก็เสียชีวิตขณะพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ในเวลาเดียวกันที่บ้านของลอร์ด คาเนวอนที่ประเทศอังกฤษมีสุนัขอยู่หนึ่งตัวซึ่งลอร์ด คาเนวอนได้เลี้ยงไว้ สุนัขตัวนี้ได้ส่งเสียงเห่าหอนในตอนดึกเหมือนกับว่าได้รู้ว่าลอร์ด คาเนวอนเสียชีวิตลงแล้ว หนึ่งปีผ่านไป คนงานในคณะสำรวจของคาร์เตอร์เสียชีวิตลง หลังจากนั้น 6 ปีได้มีการเปิดหลุมศพอีกครั้งแต่ในครั้งนี้ได้มีคนตายอีกถึง 12 คน\n</p>\n<p>\nอัยย์ (ราชวงศ์ที่สิบแปด) <br />\nฟาโรห์ไอย์ ปกครองอียิปต์อยู่เพียง 4 ปี แต่อำนาจที่แท้จริงกลับตกอยู่ในมือขุนนางฝ่ายทหารอีกคนคือ โฮเรมเฮบ ที่มีอำนาจชี้ขาดอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ โฮเรมเฮบได้รับใช้ฟาโรห์ตั้งแต่อเมนโฮเทปที่ 3 อเคนาเตน และ ตุตันคามุนเมื่อไอย์สวรรคต โฮเรมเฮบจึงขึ้นครองราชย์และลบพระนามของไอย์ทั้งหมดทั่วราชอาณาจักร\n</p>\n<p>\nเมื่อฟาโรห์ตุตันคามุนสวรรคตโดยไม่มีผู้สืบสกุล จะมีเพียงราชินีอังเซนามุนซึ่งปราศจากอำนาจ เราทราบจากบันทึกโบราณว่านางผู้สิ้นหวังตัดสินใจเขียนจดหมายไปถึงกษัตริย์ฮิตไทต์ซึ่งเป็น มหาอำนาจในตุรกีและซีเรีย เพื่อให้ส่งพระโอรสมาเป็นคู่ครองของนาง ในตอนแรกกษัตริย์ ฮิตไทต์แปลกใจกับคำขอนี้มากและมองเห็นโอกาสทางลัดที่จะได้อาณาจักรอียิปต์มาอยู่ใต้อำนาจ จึงจัดการส่งเจ้าชายชื่อซานนันซาไปตาคำขอ แต่โชคร้ายเจ้าชายผู้นี้ถูกสังหารโดยฝ่ายอียิปต์แถบชายแดน อังเซนามุนที่ปราศจากทางเลือกจึงจำต้องอภิเษกกับ<br />\nไอย์ ข้าราชสำนักผู้ชรา อาจมีศักดิ์เป็นปู่ของนาง และกลายเป็นราชินีของไอย์ซึ่งขึ้นครองบัลลังก์เป็นฟาโรห์องค์ใหม่\n</p>\n<p>\nโฮเรมเฮบ <br />\nฟาโรห์โฮเรมเฮบ(อังกฤษ:Horemheb) เป็นฟาโรห์ ต่อจากฟาโรห์ไอย์ โฮเรมเฮบสถาปนาตนเป็นฟาโรห์ทันทีหลังจากการสวรรคตก่อนจะทำลายสุสานและลบพระนามของไอย์ออกจากจารึกทั้งหมดราวกับต้องการทำลายหลักฐานทุกชิ้นที่บอกว่าเคยมีไอย์บนโลกนี้ กระนั้นปัญหาหลักในการครองราชย์ของโฮเรมเฮบคือเขาเป็นสามัญชนที่ปราศเลือดขัตติยะ การที่ได้อภิเษกกับน้องสาวของเนเฟอร์ติติก็ยังไม่พอจะลบปมด้อยดังกล่าว จึงทรงหันมาเอาจริงเอาจังกับการอวดอ้างฐานะฟาโรห์ของตนเป็นพิเศษ โฮเรมเฮบถึงกับพยายามประกาศว่าเขาคือผู้ปกครองต่อจากอเมนโฮเทปที่ 3โดยไม่เคยมีรัชสมัยของ อเคนาเตน สเมงห์คาเร ตุตันคามุนหรือ ไอย์ปรากฏอยู่เลย นอกจากนี้ยังสั่งรื้อเมืองอมาร์นาที่สร้างบูชาเทพอาเตนจนนครหลวงอันงดงามต้องเหลือแต่ซากปรักหักพังจมอยู่ใต้กองทราย ฟาโรห์โฮเรมเฮบครองราชย์นาน 30 ปี ทรงจัดการแผ่พระราชอำนาจออกไปยังชายแดน ปฏิสังขรวิหารหลายแห่ง และแต่งตั้งนายทหารขึ้นเป็นนักบวช\n</p>\n<p>\nเพื่อให้ดูแลเรื่องศาสนาอย่างใกล้ชิด โฮเรมเฮบเป็นฟาโรห์องค์แรกที่เริ่มเปิดฉากการทำสงครามกับชาวฮิตไทต์ในทางเหนือ โดยแต่งตั้งแม่ทัพพาราเมสซูเป็นผู้สืบราชสมบัติ ต่อมาพาราเมสซูได้ขึ้นครองราชย์เป็น รามเซสที่ 1 แห่งราชวงศ์ที่ 19\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สิบเก้า<br />\nรามเสสที่หนึ่ง , เซติที่หนึ่ง , รามเสสที่สอง <br />\nฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) หรือ รามเสสมหาราช (Ramesses The Great, Riʕmīsisu) ฟาโรห์องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ที่สิบเก้า (Nineteenth dynasty) เป็นฟาโรห์องค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ ครองราชย์อยู่ระหว่าง 1279 ก่อนคริสต์ศักราช ถึง 1213 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นฟาโรห์องค์เดียวกับที่เชื่อว่า คือ ฟาโรห์ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเอกซ์โซดัส (Exodus) ที่ว่าถึงการอพยพทาสชาวยิวออกจากอาณาจักรอียิปต์ของโมเสส\n</p>\n<p>\nเป็นโอรสองค์โตของฟาโรห์เซติที่หนึ่ง ได้ขึ้นครองราชย์ในปี 1279 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากแย่งชิงอำนาจกันแย่งในหมู่พี่น้อง หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองใหญ่ขึ้นบนพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นที่อยู่และสถานที่ประสูติของพระองค์ คือเมืองปิ-รามเซส และยังได้สร้างมหาวิหารที่มีรูปสลักแทนพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ คือ อาบู ซิมเบล (Abu Simbel)\n</p>\n<p>\nฟาโรห์รามเสสที่สอง ทรงครองราชย์นานถึง 67 ปี และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 90 ปีเศษ ซึ่งเมื่อ 30 ปีแรกแห่งการครองราชย์มาถึง พระองค์ได้กระทำพิธีสถาปนาตัวเองเสมือนเทพเจ้า และทำให้สถานะของพระองค์เปลี่ยนไปเป็นสูงส่งยิ่งขึ้น\n</p>\n<p>\nหลังจากโมเสสนำพาทาสชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์ได้ให้พระโอรสองค์แรกที่เกิดกับพระนางเนเฟอร์ตารี่ (Nefertari) มเหสีเอก คือ อามุน-เฮอ-เคปิเชฟ (Amun-her-khepeshef แปลว่า อามุนและอาวุธในแขนขวา หรือ อามุนและอาวุธที่แข็งแรง) นำทัพไล่ติดตาม หาได้ใช่ตัวฟาโรห์เองไม่ เนื่องจากเป็นองค์รัชทายาทและเป็นผู้นำกองทัพ ซึ่งตรงนี้ตรงกับบันทึกในพระคัมภีร์เอกซ์โซดัส ว่า ฟาโรห์ได้เจอกับปาฏิหารย์จากพระเจ้าที่เนรมิตให้มีกองไฟกั้นกองทัพอียิปต์กับชาวยิวไว้ ที่ริมทะเลแดง และทะเลแดงได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ซีก เมื่อชาวยิวอพยพไปหมดแล้ว กองทัพอียิปต์ได้ติดตามไปและถูกทะเลกลบหมดสิ้น ซึ่งความตอนนี้ ได้ถูกตีความว่า ทะเลแดง (Red Sea) แท้จริงแล้วคือ ทะเลวัชพืช (Reed Sea) ที่อยู่บริเวณตอนเหนือของอียิปต์ เป็นดงอ้อหรือกก เมื่อรถม้าของฟาโรห์ตามไปถึง ไม่สามารถนำรถม้าตามลงไปได้ อามุน-เฮอ-เคปิเชฟ ก็ได้ถูกทาสชาวยิวสังหาร ณ ที่ตรงนั้น ซึ่งในพระคัมภีร์ระบุว่า สิ้นพระชนม์เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้า (ซึ่งตรงนี้อาจกลายเป็น มรณกรรมของบุตรหัวปี ของภัยพิบัติทั้ง 10 ในเอกซ์โซดัสก็เป็นได้)\n</p>\n<p>\nหลังจากนั้น พระองค์ได้โปรดให้เจาะภูเขาสร้างวิหารอาบู ซิมเบล ซึงใช้พระราชทรัพย์ไปมากจากนั้นก็เปิดฉากรบกับฮิตไทต์ในสมัยกษัตริย์มูวาตาลิสซึ่งพระองค์เกือบจะเสียชีวิตในการรบที่คาเดช (Battle of Kadesh) แต่ทหารของพระองค์เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ฟาโรห์องค์ต่อไปที่ได้ขึ้นครองราชย์ คือ เมอร์เนปตาห์ (Merneptah) ซึ่งเป็นหนึ่งในราชบุตรของพระองค์\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบ<br />\nเซทนัคห์เต , รามเสสที่สาม , รามเสสที่สี่ , รามเสสที่ห้า , รามเสสที่หก , รามเสสที่เจ็ด , รามเสสที่แปด , รามเสสที่เก้า , รามเสสที่สิบ , รามเสสที่สิบเอ็ด\n</p>\n<p>\nช่วงต่อที่สาม ราว 1075-715 ปีก่อน ค.ศ.\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ด<br />\nทานิส , สเมนเดสที่หนึ่ง , อเมเนมนิซู , ซูเซนเนสที่หนึ่ง , อเมเนมโอเป , โอซอร์คอนที่หนึ่ง , ซิอามุน <br />\nซูเซนเนสที่สอง ปกครองโดยหัวหน้าพระ เมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์\n</p>\n<p>\nเฮริฮอร์ , พิอังคห์ , พิเนดเจมที่หนึ่ง , มาซาเฮอร์ตา , เมนเคเปอร์เร , สเมนเดสที่สอง , พิเนดเจมที่สอง , ซูเซนเนสที่สาม\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบสอง<br />\nฟาโรห์เป็นชาวลิเบีย\n</p>\n<p>\nโชเชงค์ที่หนึ่ง , โอซอร์คอนที่สอง , ทาเคลอตที่หนึ่ง , โชเชงค์ที่สอง , โอซอร์คอนที่สาม , ทาเคลอตที่สอง , โชเชงค์ที่สาม , <br />\nปามิ ,โชเชงค์ที่ห้า<br />\nโอซอร์คอนที่ห้า ย้ายเมืองหลวงไปธีบส์\n</p>\n<p>\nฮาร์เซียเซ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบสาม<br />\nฟาโรห์เป็นชาวลิเบีย เมืองหลวงอยู่ที่ ลีออนโทโพลิส\n</p>\n<p>\nเปดิบาสเทต , โชเชงค์ที่สี่ , โอซอร์คอนที่สี่ , ทาเคลอตที่สาม , รูดามอน , อิยูพุด <br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ เฮอร์โมโพลิส\n</p>\n<p>\nนิมลอต <br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ เฮเรคลีโอโพลิส\n</p>\n<p>\nเพฟต์เจาอวิบาสต์\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบสี่<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ ซาอิส\n</p>\n<p>\nเทฟนัคห์เต <br />\nบาเคนเรเนฟ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบห้า<br />\nฟาโรห์เป็นชาวนูเบีย เมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์\n</p>\n<p>\nคาชทา , ปิเย\n</p>\n<p>\nยุคปลาย ราว 715-332 ปีก่อน ค.ศ.<br />\nฟาโรห์เป็นชาวนูเบีย\n</p>\n<p>\nชาบากา , เชบอิทกู , ทาฮาร์กา , ทันทามานิ\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบหก<br />\nเมืองหลวงอยู่ที่ ซาอิส\n</p>\n<p>\nพซัมเตกที่หนึ่ง , เนโคที่สอง , พซัมเตกที่สอง , อพริส , อมาซิส , พซัมเตกที่สาม\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ด<br />\nฟาโรห์เป็นชาวเปอร์เซีย\n</p>\n<p>\nแคมไบซีส , ดาริอุสที่หนึ่ง , เซอร์ซีส , อาตาเซอร์ซีสที่หนึ่ง , ดาริอุสที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบแปด<br />\nชาวเปอร์เซียถูกขับออกไป\n</p>\n<p>\nอไมร์เตอุส\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่ยี่สิบเก้า<br />\nเนเฟอริเตสที่หนึ่ง , ซัมมูธิส , ฮาคอร์ , เนเฟอริเตสที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สามสิบ<br />\nเนคทาเนโบที่หนึ่ง , เจดฮอร์ , เนคทาเนโบที่สอง\n</p>\n<p>\nราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด<br />\nฟาโรห์เป็นชาวเปอร์เซีย\n</p>\n<p>\nอาตาเซอร์ซีสที่สาม , อาซีส , ดาริอุสที่สาม\n</p>\n<p>\nยุคกรีก-โรมัน ราว 332 ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 395\n</p>\n<p>\nราชวงศ์มาซิโดเนีย ราว 332-305 ปีก่อนคริสตกาล<br />\nอเล็กซานเดอร์มหาราช <br />\nอเล็กซานเดอร์มหาราช (อังกฤษ: Alexander the Great กรีก: Megas Alexandros) หรือ <br />\nอเล็กซานเดอร์ที่ 3 ประสูติเมื่อ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 187 ที่เมืองเพลล่า (Pella) ตอนเหนือของมาซีโดเนีย สวรรคต<br />\nในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 220 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรมาเซโดเนีย และเป็น จักรพรรดิ ที่ขยายจักรวรรดิได้ถึงครึ่งโลกในสมัยโบราณ\n</p>\n<p>\nทรงพระเยาว์<br />\nอเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นพระโอรสของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาร์ซีโดเนีย กับพระนางโอลิมเปียส พระองค์เป็นศิษย์ของอริสโตเติล ผู้เป็นมหานักปราชญ์แห่งโลกตะวันตก เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระองค์สามารถปราบพยศม้าสีดำตัวหนึ่งที่ไม่มีใครปราบได้ ทำให้พระเจ้าฟิลิปที่ 2 อุทานว่า ” มาซิโดเนีย เล็กเกินไปแล้วสำหรับเจ้า ” และทรงซื้อม้าตัวนี้ให้แก่พระองค์ พระองค์ตั้งชื่อม้าตัวนี้ว่า บูซาเฟลัส แปลว่า หัววัว ซึ่งต่อมาบูซาเฟลัสเป็นม้าคู่พระทัยพระองค์ และทรงใช้ทำศึกเสมอมา\n</p>\n<p>\nเมื่อพระเจ้าฟิลิปส์ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์ เหล่านายทหารในกองทัพจึงสนับสนุนให้อเล็กซานเดอร์ ซึ่งในขณะนั้นอายุเพียง 20 ปี ขึ้นครองบัลลังก์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของมาเซโดเนีย\n</p>\n<p>\nหลังขึ้นครองราชย์ อเล็กซานเดอร์ได้แผ่ขยายอาณาเขตของอาณาจักรมาซีโดเนียไปอย่างมาก โดยอเล็กซานเดอร์ใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการตีได้ทั้งจักรวรรดิเปอร์เซีย, อาณาจักรบาบิโลน และดินแดนบางส่วนที่เป็นประเทศอินเดียในปัจจุบัน เชื่อว่าพระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของซุส เทพบดีทั้งมวลตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณ พระองค์สืบเชื้อสายมาจากอคิลลิส วีรบุรุษในตำนานสงครามเมืองทรอย และในการรบทุกครั้งพระองค์จะพกคัมภีร์มหากาพย์อีเลียดอันเป็นคำภีร์ที่ทรงอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวกรีกโบราณไว้ในเสื้อเกราะตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนบรรทมก็จะเอาหนุนศีรษะ\n</p>\n<p>\nรูปร่างลักษณะ<br />\nไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอเล็กซานเดอร์มหาราชมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่โดยทั่วไปแล้ว เชื่อว่าพระองค์เป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ไม่มีหนวดมีเครา แทบไม่มีเค้าว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่เลย ผมของพระองค์เป็นสีบลอนด์หยิกเป็นลอน บ้างก็บอกว่าดวงตาของพระองค์ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีดำ เป็นสัญลักษณ์บอกว่าในภายภาคหน้าพระองค์จะเป็นผู้ครองทั้งยุโรปและเอเชีย บ้างก็บอกว่า โดยปกติแล้วเมื่อทรงประทับอยู่กับที่ คอของพระองค์จะเอียงเล็กน้อยพองาม\n</p>\n<p>\n<br />\n \n</p>\n<p>\n<br />\nรูปร่างลักษณะ<br />\nไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอเล็กซานเดอร์มหาราชมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่โดยทั่วไปแล้ว เชื่อว่าพระองค์เป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ไม่มีหนวดมีเครา แทบไม่มีเค้าว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่เลย ผมของพระองค์เป็นสีบลอนด์หยิกเป็นลอน บ้างก็บอกว่าดวงตาของพระองค์ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีดำ เป็นสัญลักษณ์บอกว่าในภายภาคหน้าพระองค์จะเป็นผู้ครองทั้งยุโรปและเอเชีย บ้างก็บอกว่า โดยปกติแล้วเมื่อทรงประทับอยู่กับที่ คอของพระองค์จะเอียงเล็กน้อยพองาม </p>\n<p>มีต่อ ยังไม่เสร็จนะ<br />\nที่มา <a href=\"http://blogger.sanook.com/maple_plus/\">http://blogger.sanook.com/maple_plus/</a>\n</p>\n', created = 1728278140, expire = 1728364540, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:3c7242dce719008da4f517a5f32a13eb' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

อี ยิ ป ต์ โ บ ร า ณ ดิ น แ ด น แ ห่ ง ฟ า โ ร ห์


ปลายยุคก่อนราชวงศ์ ราว 3100 ปีก่อน ค.ศ.
ในช่วงปลายยุคก่อนราชวงศ์ มีการแยกการปกครองออกเป็น 2 อาณาจักร คือ อียิปต์เหนือ และอียิปต์ใต้

อียิปต์เหนือ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “Red Land” ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนล่างของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึงทะเลทรายรอบข้าง
โดยมีผู้ปกครองดังนี้
สกอร์เปียนที่ 1 , โร , กา , คิง สกอร์เปียน

คิง สกอร์เปียน (King Scorpion) หรือ สกอร์เปียน ที่ 2 (Scorpion II) ฟาโรห์ผู้รวบรวมอาณาจักรอียิปต์ทั้งบนและใต้เข้าไว้ด้วยกัน
ในราว 3,200 ปีก่อนคริสตกาล ในปลายยุคก่อนราชวงศ์ เป็นผู้ครองนครธีส (This) ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนกลางลุ่มน้ำไนล์ได้กรีฑาทัพ
เข้ายึดครองนครรัฐต่าง ๆ ในอียิปต์บนและตั้งตนเป็นฟาโรห์แห่งอาณาจักรบน พระองค์ปรารถนาจะรวมอียิปต์เข้าด้วยกัน
แต่กลับสิ้นพระชนม์เสียก่อน โอรสของพระองค์ (ข้อนี้นักประวัติศาสตร์ยังไม่แน่ใจนักแต่จากหลักฐานที่มีแสดงว่าทั้งสองพระองค์
น่าจะเกี่ยวดองกัน) ที่มีนามว่า นาเมอร์ (Namer) ได้สานต่อนโยบายและกรีฑาทัพเข้าโจมตีอียิปต์ล่าง จนกระทั่งมาถึงสมัยของ
ฟาโรห์เมเนส (Menese) พระองค์สามารถผนวกทั้งสองอาณาจักรเข้าด้วยกันได้สำเร็จและ สถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นฟาโรห์พระองค์แรกของอียิปต์โดยตั้งเมืองหลวงที่ เมมฟิส (Memphis) ซึ่งอยู่ตอนกลางของลุ่มน้ำไนล์ ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้นับฟาโรห์เมเนส
เป็นฟาโรห์องค์แรกแห่งราชวงศ์ที่ 1 ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ

อียิปต์ใต้
อิยิปต์ใต้ หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม “Black Land” ประกอบด้วยอาณาเขตทางตอนเหนือของแม่น้ำไนล์ รวมไปถึง
พื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ มีผู้ปกครองดังนี้
ตีอู , เทช  , เซคีอู  , วาสเนอร์


ราชวงศ์ต้นๆ ราว 2950-2575 ปีก่อน ค.ศ.

ราชวงศ์ที่หนึ่ง
ฟาโรห์เมเนส เป็นฟาโรห์ที่เชื่อกันกว่าเป็นผู้เริ่มต้นของราชวงศ์ที่หนึ่งแห่งอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 3,100 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับรอมิวลุส และรีมุส ผู้ก่อตั้งกรุงโรมและเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งกรุงโรม นักโบราณคดีพบรูปภาพของ
ฟาโรห์เมเนสเป็นจำนวนมากในประวัติของอียิปต์โบราณ
เจอร์ , เจต , เดน , อเนดจิบ , เซเมอร์เคต , กาอา

ราชวงศ์ที่สอง
โฮเตปเซเคมวี , เรเนบ , นินเอทเจอร์ , เพริบเซน , เซเคมอิบ , คาเซเคมวี

ราชอาณาจักรเก่า ราว 2575-2510 ปีก่อน ค.ศ.

ราชวงศ์ที่สี่
สเนฟรู , คูฟู , เจดีเฟร , คาเฟร , เนบกาที่สอง , เมนเคอเร , เชปซีสกาฟ

ราชวงศ์ที่ห้า
ยูเซอร์คาฟ , ซาฮูเร , เนเฟออิร์คาเร , เชปเซสคาเร , เนเฟเรเฟร , นูเซอร์เร , เมนเคาฮอร์ , เจดคาเร , อูนาส

ราชวงศ์ที่หก
เตติ , เปปิที่หนึ่ง , เมเรนเรที่หนึ่ง , เปปิที่สอง , เมเรนเรที่สอง

ราชวงศ์ที่เจ็ดและแปด
กาคาเร , เนเฟอร์เคาเร , เนเฟอร์เคาฮอร์ , เนเฟออิร์คาเรที่สอง
 
ราชวงศ์ที่สาม
โจเซอร์ , เนบกาที่หนึ่ง , คาบา , ฮูนิ

ราชอาณาจักรเก่า ราว 2575-2510 ปีก่อน ค.ศ.

ราชวงศ์ที่สี่
สเนฟรู , คูฟู , เจดีเฟร , คาเฟร , เนบกาที่สอง , เมนเคอเร , เชปซีสกาฟ

ราชวงศ์ที่ห้า
ยูเซอร์คาฟ , ซาฮูเร , เนเฟออิร์คาเร , เชปเซสคาเร , เนเฟเรเฟร , นูเซอร์เร , เมนเคาฮอร์ , เจดคาเร , อูนาส

ราชวงศ์ที่หก
เตติ , เปปิที่หนึ่ง , เมเรนเรที่หนึ่ง , เปปิที่สอง , เมเรนเรที่สอง

ราชวงศ์ที่เจ็ดและแปด
กาคาเร , เนเฟอร์เคาเร , เนเฟอร์เคาฮอร์ , เนเฟออิร์คาเรที่สอง


ช่วงต่อที่หนึ่ง ราว 2125-1975 ปีก่อน ค.ศ.

ราชวงศ์ที่เก้าและสิบ
เมืองหลวงอยู่ที่ เฮเรคลีโอโพลิส

เมริอิบเร , เคติ , เมริคาเร , ไอติ

ราชวงศ์ที่สิบเอ็ด
เมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์

เมนทูโฮเตปที่หนึ่ง , อินโยเตฟที่หนึ่ง , อินโยเตฟที่สอง , อินโยเตฟที่สาม

ราชอาณาจักรกลาง ราว 1975-1640 ปีก่อน ค.ศ.
เมนทูโฮเตปที่สอง (เนปเฮเพเตร) , เมนทูโฮเตปที่สาม , เมนทูโฮเตปที่สี่

ราชวงศ์ที่สิบสอง
อเมเนมเฮตที่หนึ่ง , เซนุสเรตที่หนึ่ง , อเมเนมเฮตที่สอง , เซนุสเรตที่สอง , เซนุสเรตที่สาม , อเมเนมเฮตที่สาม , อเมเนมเฮตที่สี่ , ราชินีโซเบคเนฟรู

ราชินีโซเบคเนฟรู เป็นฟาโรห์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ 12 เป็นสตรีเพศ นามราชินีโซเบคเนฟรู พระนางอาจเคยได้ปกครองเป็น
ผู้สำเร็จราชการร่วมกับอเมเนมเฮตที่ 4 มาก่อนที่จะได้ครองบัลลังก์โดยสมบูรณ์ ทรงมีพระสมัญญาว่า “นางเหยี่ยวผู้เป็นที่รักของเร”
รูปสลักบางชิ้นเป็นภาพนางสวมเครื่องแบบบุรุษบ้างก็เป็นเครื่องทรงแบบสตรี แต่ใช่ว่านางจะเป็นฟาโรห์หญิงเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์อียิปต์เพราะมีฟาโรห์หญิงอีกคนที่ทรงอำนาจที่ลือชื่อมากกว่าราชินีโซเบคเนฟรู นั่นคือ ราชินีฮัตเชปซุต

ราชวงศ์ที่สิบสาม
เวกาฟ , อเมเนมเฮตที่ห้า , ฮาร์เนดจ์เฮริโอเทฟ , อเมนีกีเมา , เซเบคโฮเตปที่หนึ่ง , ฮอร์ , อเมเนมเฮตที่เจ็ด , เซเบคโฮเตปที่สอง , เคนด์เจอร์ , เซเบคโฮเตปที่สาม , เนเฟอร์โฮเตปที่หนึ่ง , เซเบคโฮเตปที่สี่ , เซเบคโฮเตปที่ห้า , อัยย์ (ราชวงส์ที่สิบสาม) ,
เมนทูเอมซาฟ , เดดูโมสที่สอง , เนเฟอร์โฮเตปที่สาม

ช่วงต่อที่สอง ราว 1630-1520 ปีก่อน ค.ศ.

ราชวงศ์ที่สิบสี่
เนเฮซี

ราชวงศ์ที่สิบห้าและสิบหก
ฟาโรห์เป็นชาวฮิกซอส

เชชิ , คยาน , อเปปิ , คามูดิ

ราชวงศ์ที่สิบเจ็ด
เมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์

อินโยเตฟที่ห้า , เซเบคเอมซาฟที่หนึ่ง , เนบิเรเยรอว์ , เซเบคเอมซาฟที่สอง , ตาโอที่หนึ่ง , ตาโอที่สอง , คาโมส

อาโมส
อเมนโฮเตปที่หนึ่ง
ทุตโมสที่หนึ่ง
ฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ในตลอดรัชสมัยของฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ ได้ทรงนำกองทัพรุกเข้าพิชิตเมืองใหญ่น้อยในเขตปาเลสไตน์และซีเรีย จากนั้นจึงได้บุกเข้าทำลายศูนย์อำนาจของชาวนูเบียที่ยู่ทางใต้จนราบคาบ แล้วจัดการกวาดต้อนแรงงานก่อนจะผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอียิปต์

ทุตโมสที่ ๑ได้ทรงยกทัพลึกลงไปกว่าฟาโรห์องค์ใดๆในสมัยก่อนหน้า และทรงกลับสู่อียิปต์โดยมีร่างไร้ชีวิตของผู้นำชาวนูเบียห้อยมากับหัวเรือ เป็นการประกาศพระราชอำนาจและเตือนสติผู้ที่หวังมาท้าทายพระองค์ไปในตัว ฟาโรห์ทุตโมสที่ ๑ สั่งให้สร้างอาคารและสลัก
พระนามแผ่นจารึกทั่วแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนแถบนูเบียที่พระองค์ที่พึ่งจะพิชิตได้ ขณะเดียวกันก็ทรงประกาศความศรัทธาแด่
เทพ อมุน-เร ด้วยการเสริมซุ้มประตูศิลามหึมาและลานกว้างของพระองค์เข้าไปยังมหาวิหารคาร์นัก

ทุตโมสที่สอง
ราชินีฮัตเชปซุต
ฟาโรห์หญิงฮัตเชปซุต (Hatshepsut) ราชินีมีเครา ทรงเป็นฟาโรห์พระองค์ที่ห้า ราชวงศ์ที่สิบแปดแห่งอียิปต์โบราณ ทรงเป็นผู้ปกครองโดดเด่นในสมัยราชอาณาจักรใหม่ และพระนางทรงเป็นผู้ที่สร้างให้ราชอาณาจักรมั่นคง แต่ทว่า ผู้ปกครองสมัยหลังกลับพยายามทำลายรูปสลักและพระนามจนเกือบหมดสิ้น เป็นฟาโรห์หญิงองค์แรกและองค์เดียวของอียิปต์ ครองบัลลังก์กว่า 21 ปี

ราชอาณาจักรใหม่ ราว 1539-1075 ปีก่อน ค.ศ.

ราชวงศ์ที่สิบแปด
ฟาโรห์ฮัตเชปชุตในชุดของเทพโอสิริส ณ วิหารฮัตเชปซุต เมืองลักซอร์

ทุตโมเสสที่สาม , อเมนโฮเตปที่สอง , ทุตโมสที่สี่ , อเมนโฮเตปที่สาม , อเคนาเตน (อเมนโฮเตปที่สี่)
ฟาโรห์อเคนาเตน (Akhenaten) หรือ อิคนาตอน (Ikhnaton) หรือ อเมนโฮเตปที่สี่ (Amenhotep IV) หรือ อเมโนฟิส (Amenophis) ฟาโรห์ลำดับที่ 10 แห่งราชวงศ์ที่สิบแปด (Eighteenth dynasty)

ฟาโรห์อเคนาเตน มีมหเสีที่เป็นราชินีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ พระนางเนเฟอร์ติติ (Nefertiti) และโอรสที่มีชื่อเสียงอีกเช่นกัน
คือ ตุตันคาเมน (Tutankhamun)

ฟาโรห์สเมงห์คาเร (Smenkhkare หมายถึง พลังอำนาจของวิญญาณแห่งรา) ผู้ได้ครองบัลลังก์ต่อจากฟาโรห์อเคนาเตนเพียงช่วงระยะสั้น ๆ เป็นฟาโรห์ที่ลึกลับที่สุดในบรรดาฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่ 18 นักประวัติศาสตร์บางคนสันนิษฐานว่า พระองค์อาจเป็นพระอนุชาของฟาโรห์อเคนาเตน บ้างก็อาจจะเป็นพระนางเนเฟอร์ตีติที่ขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์หญิงโดย เปลี่ยนพระนามใหม่เสียด้วยซ้ำ
แต่ไม่ว่าสเมงห์คาเรจะเป็นใคร เขาหรือเธอก็ปกครองอยู่เพียงไม่กี่ปี (ประมาณ 1 ปี, ก่อนคริสต์ศักราช 1356 ปี - ก่อนคริสต์ศักราช 1355 ปี)

ราชินีอันเคตเคปรูเร
ตุตันคามุน
ฟาโรห์ ตุตันคามุน (Tutankhamun) หรือ ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงค์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ ครองราชย์ระหว่าง 1325 - 1334 ปีก่อนคริสตกาล ก่อนหน้าขึ้นครองราชย์ใช้พระนามว่า “ตุตันคาเตน” อันหมายถึงเทพอาเตน หรือสุริยเทพอวตารลงมา
การบริหารบ้านเมืองจึงตกอยู่กับวิซิเออร์ อัยย์ (Vizier Ay) ฟาโรห์ ตุตันคาเมนได้ครองราชย์ในรัชสมัยของพระองค์ช่วงสั้นๆ ราว 9 ปี
ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เป็นเพราะฟาโรห์ตุตันคาเมน สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหัน วิซิเออร์ อัยย์จึงได้สร้างสุสานถวายแบบง่าย ๆ

ราวสองร้อยปีต่อมา มีการสร้างสุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 6 ทับสุสานของ ฟาโรห์ตุตันคาเมน ทั้ง ๆ ที่คนงานก็รู้แต่นึกว่าเป็นบุคคลธรรมดาจึงไม่ได้เสนอเบื้องบน จึงทำให้สุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมนนี้ ปลอดภัยและนับเป็นสุสานที่สมบูรณ์ที่สุด

ฟาโรห์ตุตันคามุนทรงได้เษกสมรสกับพระนางอันเคเซนามุน พระธิดาพระองค์ที่ 3 จากทั้งหมด 6 พระองค์ในพระนางเนเฟอร์ติติ ซึ่งเป็นมเหสีองค์แรกของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 4 เจ้าหญิงจากมิตันนี (Mitanni) ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมีย

ฟาโรห์ตุตันคาเมน สวรรคตอย่างฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆ ที่ยังมีพระชนมายุยังไม่ครบ 19 ชันษา อีกทั้งไม่มีองค์รัชทายาท
วิซิเออร์ อัยย์ จึงรีบฉวยโอกาสแต่งกับราชินีม่ายเพื่อจะได้ครอบครองดินแดนอียิปต์ต่อไป

ฟาโรห์อเคนาเตน ขึ้นครองราชย์ระหว่าง 1350 ปีก่อนคริสต์ศักราช และครองราชย์อยู่นาน 17 ปี ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์เป็นฟาโรห์องค์แรกที่ปฏิวัติความเชื่อในอาณาจักรอียิปต์ พระองค์ทรงนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว คือ อาเตน (Aten)
(สุริยเทพ สันนิษฐานว่าเป็นไปได้ว่าอาจเป็นองค์เดียวกับ รา) ถึงขนาดสร้างเมืองใหม่ที่ชื่อ อมาน่า (Amarna) ที่มีศาสนสถานขนาดใหญ่เพื่อบูชาเทพอาเตน พร้อมกับเปลี่ยนพระนามใหม่เป็น อเคนาเตน ด้วย เพื่อให้เชื่อมโยงกับคำว่า อาเตน ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า
การที่นับถือเทพเจ้าเพียงองค์เดียวของพระองค์นั้น เป็นแรงบันดาลใจให้โมเสสเป็นกบฏต่อฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) ในอีกราว 50 ปี ต่อมา

ที่วิหารและราชวังในเมือง อมาน่า พระองค์ได้สร้างศิลปกรรมฝาผนังไว้อย่างงดงาม ที่มีบทสรรเสริญเทพอาเตน แต่เมื่อพระองค์สวรรค์ลง เมืองอมาน่าแห่งนี้ก็ได้ถูกทิ้งร้างทันที ทายาทรุ่นหลังได้ทำลายวิหารและบทสรรเสริญเหล่านี้เสีย รวมทั้งได้ประนาณพระองค์และทำลายรูปสลักพระพักตร์ของพระองค์ด้วย ซึ่งเชื่อว่า ทั้งนี้เป็นเพราะต้องการทำลายหลักความเชื่อของการนับถือเทพเจ้าองค์เดียว (Monotheism)

คำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน
ลอร์ด คาเนวอน ได้ว่าจ้างคณะสำรวจของนายโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ เพราะต้องการให้มีการสำรวจสุสานฟาโรห์ เป็นคณะแรกที่ได้เข้าสู่สุสานของตุตันคาเมนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ ในวันที่ 4 พ.ย. 1922 โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการขุดค้นสุสานและค้นพบห้องเก็บพระศพ โลงพระศพที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์

สำหรับสุสานฟาโรห์หนุ่มองค์นี้คือ คำสาป ที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ในสุสานของตุตันคาเมน “มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์” ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพณ์นี้ ทำให้มีการตายอย่างน่าพิศวงซึ่งเชื่อกันว่าเกิดขึ้นเพราะฤทธิ์คำสาป

ลอร์ด คาเนวอนก็เสียชีวิตขณะพักอยู่ที่โรงแรมในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ในเวลาเดียวกันที่บ้านของลอร์ด คาเนวอนที่ประเทศอังกฤษมีสุนัขอยู่หนึ่งตัวซึ่งลอร์ด คาเนวอนได้เลี้ยงไว้ สุนัขตัวนี้ได้ส่งเสียงเห่าหอนในตอนดึกเหมือนกับว่าได้รู้ว่าลอร์ด คาเนวอนเสียชีวิตลงแล้ว หนึ่งปีผ่านไป คนงานในคณะสำรวจของคาร์เตอร์เสียชีวิตลง หลังจากนั้น 6 ปีได้มีการเปิดหลุมศพอีกครั้งแต่ในครั้งนี้ได้มีคนตายอีกถึง 12 คน

อัยย์ (ราชวงศ์ที่สิบแปด)
ฟาโรห์ไอย์ ปกครองอียิปต์อยู่เพียง 4 ปี แต่อำนาจที่แท้จริงกลับตกอยู่ในมือขุนนางฝ่ายทหารอีกคนคือ โฮเรมเฮบ ที่มีอำนาจชี้ขาดอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ โฮเรมเฮบได้รับใช้ฟาโรห์ตั้งแต่อเมนโฮเทปที่ 3 อเคนาเตน และ ตุตันคามุนเมื่อไอย์สวรรคต โฮเรมเฮบจึงขึ้นครองราชย์และลบพระนามของไอย์ทั้งหมดทั่วราชอาณาจักร

เมื่อฟาโรห์ตุตันคามุนสวรรคตโดยไม่มีผู้สืบสกุล จะมีเพียงราชินีอังเซนามุนซึ่งปราศจากอำนาจ เราทราบจากบันทึกโบราณว่านางผู้สิ้นหวังตัดสินใจเขียนจดหมายไปถึงกษัตริย์ฮิตไทต์ซึ่งเป็น มหาอำนาจในตุรกีและซีเรีย เพื่อให้ส่งพระโอรสมาเป็นคู่ครองของนาง ในตอนแรกกษัตริย์ ฮิตไทต์แปลกใจกับคำขอนี้มากและมองเห็นโอกาสทางลัดที่จะได้อาณาจักรอียิปต์มาอยู่ใต้อำนาจ จึงจัดการส่งเจ้าชายชื่อซานนันซาไปตาคำขอ แต่โชคร้ายเจ้าชายผู้นี้ถูกสังหารโดยฝ่ายอียิปต์แถบชายแดน อังเซนามุนที่ปราศจากทางเลือกจึงจำต้องอภิเษกกับ
ไอย์ ข้าราชสำนักผู้ชรา อาจมีศักดิ์เป็นปู่ของนาง และกลายเป็นราชินีของไอย์ซึ่งขึ้นครองบัลลังก์เป็นฟาโรห์องค์ใหม่

โฮเรมเฮบ
ฟาโรห์โฮเรมเฮบ(อังกฤษ:Horemheb) เป็นฟาโรห์ ต่อจากฟาโรห์ไอย์ โฮเรมเฮบสถาปนาตนเป็นฟาโรห์ทันทีหลังจากการสวรรคตก่อนจะทำลายสุสานและลบพระนามของไอย์ออกจากจารึกทั้งหมดราวกับต้องการทำลายหลักฐานทุกชิ้นที่บอกว่าเคยมีไอย์บนโลกนี้ กระนั้นปัญหาหลักในการครองราชย์ของโฮเรมเฮบคือเขาเป็นสามัญชนที่ปราศเลือดขัตติยะ การที่ได้อภิเษกกับน้องสาวของเนเฟอร์ติติก็ยังไม่พอจะลบปมด้อยดังกล่าว จึงทรงหันมาเอาจริงเอาจังกับการอวดอ้างฐานะฟาโรห์ของตนเป็นพิเศษ โฮเรมเฮบถึงกับพยายามประกาศว่าเขาคือผู้ปกครองต่อจากอเมนโฮเทปที่ 3โดยไม่เคยมีรัชสมัยของ อเคนาเตน สเมงห์คาเร ตุตันคามุนหรือ ไอย์ปรากฏอยู่เลย นอกจากนี้ยังสั่งรื้อเมืองอมาร์นาที่สร้างบูชาเทพอาเตนจนนครหลวงอันงดงามต้องเหลือแต่ซากปรักหักพังจมอยู่ใต้กองทราย ฟาโรห์โฮเรมเฮบครองราชย์นาน 30 ปี ทรงจัดการแผ่พระราชอำนาจออกไปยังชายแดน ปฏิสังขรวิหารหลายแห่ง และแต่งตั้งนายทหารขึ้นเป็นนักบวช

เพื่อให้ดูแลเรื่องศาสนาอย่างใกล้ชิด โฮเรมเฮบเป็นฟาโรห์องค์แรกที่เริ่มเปิดฉากการทำสงครามกับชาวฮิตไทต์ในทางเหนือ โดยแต่งตั้งแม่ทัพพาราเมสซูเป็นผู้สืบราชสมบัติ ต่อมาพาราเมสซูได้ขึ้นครองราชย์เป็น รามเซสที่ 1 แห่งราชวงศ์ที่ 19

ราชวงศ์ที่สิบเก้า
รามเสสที่หนึ่ง , เซติที่หนึ่ง , รามเสสที่สอง
ฟาโรห์รามเสสที่สอง (Ramesses II) หรือ รามเสสมหาราช (Ramesses The Great, Riʕmīsisu) ฟาโรห์องค์ที่สามแห่งราชวงศ์ที่สิบเก้า (Nineteenth dynasty) เป็นฟาโรห์องค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อียิปต์ ครองราชย์อยู่ระหว่าง 1279 ก่อนคริสต์ศักราช ถึง 1213 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นฟาโรห์องค์เดียวกับที่เชื่อว่า คือ ฟาโรห์ที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเอกซ์โซดัส (Exodus) ที่ว่าถึงการอพยพทาสชาวยิวออกจากอาณาจักรอียิปต์ของโมเสส

เป็นโอรสองค์โตของฟาโรห์เซติที่หนึ่ง ได้ขึ้นครองราชย์ในปี 1279 ก่อนคริสต์ศักราช หลังจากแย่งชิงอำนาจกันแย่งในหมู่พี่น้อง หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ได้ทรงสร้างเมืองใหญ่ขึ้นบนพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นที่อยู่และสถานที่ประสูติของพระองค์ คือเมืองปิ-รามเซส และยังได้สร้างมหาวิหารที่มีรูปสลักแทนพระองค์ที่ยิ่งใหญ่ คือ อาบู ซิมเบล (Abu Simbel)

ฟาโรห์รามเสสที่สอง ทรงครองราชย์นานถึง 67 ปี และสิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 90 ปีเศษ ซึ่งเมื่อ 30 ปีแรกแห่งการครองราชย์มาถึง พระองค์ได้กระทำพิธีสถาปนาตัวเองเสมือนเทพเจ้า และทำให้สถานะของพระองค์เปลี่ยนไปเป็นสูงส่งยิ่งขึ้น

หลังจากโมเสสนำพาทาสชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์ ปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า พระองค์ได้ให้พระโอรสองค์แรกที่เกิดกับพระนางเนเฟอร์ตารี่ (Nefertari) มเหสีเอก คือ อามุน-เฮอ-เคปิเชฟ (Amun-her-khepeshef แปลว่า อามุนและอาวุธในแขนขวา หรือ อามุนและอาวุธที่แข็งแรง) นำทัพไล่ติดตาม หาได้ใช่ตัวฟาโรห์เองไม่ เนื่องจากเป็นองค์รัชทายาทและเป็นผู้นำกองทัพ ซึ่งตรงนี้ตรงกับบันทึกในพระคัมภีร์เอกซ์โซดัส ว่า ฟาโรห์ได้เจอกับปาฏิหารย์จากพระเจ้าที่เนรมิตให้มีกองไฟกั้นกองทัพอียิปต์กับชาวยิวไว้ ที่ริมทะเลแดง และทะเลแดงได้ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ซีก เมื่อชาวยิวอพยพไปหมดแล้ว กองทัพอียิปต์ได้ติดตามไปและถูกทะเลกลบหมดสิ้น ซึ่งความตอนนี้ ได้ถูกตีความว่า ทะเลแดง (Red Sea) แท้จริงแล้วคือ ทะเลวัชพืช (Reed Sea) ที่อยู่บริเวณตอนเหนือของอียิปต์ เป็นดงอ้อหรือกก เมื่อรถม้าของฟาโรห์ตามไปถึง ไม่สามารถนำรถม้าตามลงไปได้ อามุน-เฮอ-เคปิเชฟ ก็ได้ถูกทาสชาวยิวสังหาร ณ ที่ตรงนั้น ซึ่งในพระคัมภีร์ระบุว่า สิ้นพระชนม์เพราะพระหัตถ์ของพระเจ้า (ซึ่งตรงนี้อาจกลายเป็น มรณกรรมของบุตรหัวปี ของภัยพิบัติทั้ง 10 ในเอกซ์โซดัสก็เป็นได้)

หลังจากนั้น พระองค์ได้โปรดให้เจาะภูเขาสร้างวิหารอาบู ซิมเบล ซึงใช้พระราชทรัพย์ไปมากจากนั้นก็เปิดฉากรบกับฮิตไทต์ในสมัยกษัตริย์มูวาตาลิสซึ่งพระองค์เกือบจะเสียชีวิตในการรบที่คาเดช (Battle of Kadesh) แต่ทหารของพระองค์เข้ามาช่วยไว้ได้ทัน เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ฟาโรห์องค์ต่อไปที่ได้ขึ้นครองราชย์ คือ เมอร์เนปตาห์ (Merneptah) ซึ่งเป็นหนึ่งในราชบุตรของพระองค์

ราชวงศ์ที่ยี่สิบ
เซทนัคห์เต , รามเสสที่สาม , รามเสสที่สี่ , รามเสสที่ห้า , รามเสสที่หก , รามเสสที่เจ็ด , รามเสสที่แปด , รามเสสที่เก้า , รามเสสที่สิบ , รามเสสที่สิบเอ็ด

ช่วงต่อที่สาม ราว 1075-715 ปีก่อน ค.ศ.

ราชวงศ์ที่ยี่สิบเอ็ด
ทานิส , สเมนเดสที่หนึ่ง , อเมเนมนิซู , ซูเซนเนสที่หนึ่ง , อเมเนมโอเป , โอซอร์คอนที่หนึ่ง , ซิอามุน
ซูเซนเนสที่สอง ปกครองโดยหัวหน้าพระ เมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์

เฮริฮอร์ , พิอังคห์ , พิเนดเจมที่หนึ่ง , มาซาเฮอร์ตา , เมนเคเปอร์เร , สเมนเดสที่สอง , พิเนดเจมที่สอง , ซูเซนเนสที่สาม

ราชวงศ์ที่ยี่สิบสอง
ฟาโรห์เป็นชาวลิเบีย

โชเชงค์ที่หนึ่ง , โอซอร์คอนที่สอง , ทาเคลอตที่หนึ่ง , โชเชงค์ที่สอง , โอซอร์คอนที่สาม , ทาเคลอตที่สอง , โชเชงค์ที่สาม ,
ปามิ ,โชเชงค์ที่ห้า
โอซอร์คอนที่ห้า ย้ายเมืองหลวงไปธีบส์

ฮาร์เซียเซ

ราชวงศ์ที่ยี่สิบสาม
ฟาโรห์เป็นชาวลิเบีย เมืองหลวงอยู่ที่ ลีออนโทโพลิส

เปดิบาสเทต , โชเชงค์ที่สี่ , โอซอร์คอนที่สี่ , ทาเคลอตที่สาม , รูดามอน , อิยูพุด
เมืองหลวงอยู่ที่ เฮอร์โมโพลิส

นิมลอต
เมืองหลวงอยู่ที่ เฮเรคลีโอโพลิส

เพฟต์เจาอวิบาสต์

ราชวงศ์ที่ยี่สิบสี่
เมืองหลวงอยู่ที่ ซาอิส

เทฟนัคห์เต
บาเคนเรเนฟ

ราชวงศ์ที่ยี่สิบห้า
ฟาโรห์เป็นชาวนูเบีย เมืองหลวงอยู่ที่ ธีบส์

คาชทา , ปิเย

ยุคปลาย ราว 715-332 ปีก่อน ค.ศ.
ฟาโรห์เป็นชาวนูเบีย

ชาบากา , เชบอิทกู , ทาฮาร์กา , ทันทามานิ

ราชวงศ์ที่ยี่สิบหก
เมืองหลวงอยู่ที่ ซาอิส

พซัมเตกที่หนึ่ง , เนโคที่สอง , พซัมเตกที่สอง , อพริส , อมาซิส , พซัมเตกที่สาม

ราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ด
ฟาโรห์เป็นชาวเปอร์เซีย

แคมไบซีส , ดาริอุสที่หนึ่ง , เซอร์ซีส , อาตาเซอร์ซีสที่หนึ่ง , ดาริอุสที่สอง

ราชวงศ์ที่ยี่สิบแปด
ชาวเปอร์เซียถูกขับออกไป

อไมร์เตอุส

ราชวงศ์ที่ยี่สิบเก้า
เนเฟอริเตสที่หนึ่ง , ซัมมูธิส , ฮาคอร์ , เนเฟอริเตสที่สอง

ราชวงศ์ที่สามสิบ
เนคทาเนโบที่หนึ่ง , เจดฮอร์ , เนคทาเนโบที่สอง

ราชวงศ์ที่สามสิบเอ็ด
ฟาโรห์เป็นชาวเปอร์เซีย

อาตาเซอร์ซีสที่สาม , อาซีส , ดาริอุสที่สาม

ยุคกรีก-โรมัน ราว 332 ปีก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. 395

ราชวงศ์มาซิโดเนีย ราว 332-305 ปีก่อนคริสตกาล
อเล็กซานเดอร์มหาราช
อเล็กซานเดอร์มหาราช (อังกฤษ: Alexander the Great กรีก: Megas Alexandros) หรือ
อเล็กซานเดอร์ที่ 3 ประสูติเมื่อ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 187 ที่เมืองเพลล่า (Pella) ตอนเหนือของมาซีโดเนีย สวรรคต
ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 220 ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรมาเซโดเนีย และเป็น จักรพรรดิ ที่ขยายจักรวรรดิได้ถึงครึ่งโลกในสมัยโบราณ

ทรงพระเยาว์
อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นพระโอรสของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาร์ซีโดเนีย กับพระนางโอลิมเปียส พระองค์เป็นศิษย์ของอริสโตเติล ผู้เป็นมหานักปราชญ์แห่งโลกตะวันตก เมื่อยังทรงพระเยาว์ พระองค์สามารถปราบพยศม้าสีดำตัวหนึ่งที่ไม่มีใครปราบได้ ทำให้พระเจ้าฟิลิปที่ 2 อุทานว่า ” มาซิโดเนีย เล็กเกินไปแล้วสำหรับเจ้า ” และทรงซื้อม้าตัวนี้ให้แก่พระองค์ พระองค์ตั้งชื่อม้าตัวนี้ว่า บูซาเฟลัส แปลว่า หัววัว ซึ่งต่อมาบูซาเฟลัสเป็นม้าคู่พระทัยพระองค์ และทรงใช้ทำศึกเสมอมา

เมื่อพระเจ้าฟิลิปส์ที่ 2 ถูกลอบปลงพระชนม์ เหล่านายทหารในกองทัพจึงสนับสนุนให้อเล็กซานเดอร์ ซึ่งในขณะนั้นอายุเพียง 20 ปี ขึ้นครองบัลลังก์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของมาเซโดเนีย

หลังขึ้นครองราชย์ อเล็กซานเดอร์ได้แผ่ขยายอาณาเขตของอาณาจักรมาซีโดเนียไปอย่างมาก โดยอเล็กซานเดอร์ใช้เวลาประมาณ 10 ปีในการตีได้ทั้งจักรวรรดิเปอร์เซีย, อาณาจักรบาบิโลน และดินแดนบางส่วนที่เป็นประเทศอินเดียในปัจจุบัน เชื่อว่าพระองค์ทรงเชื่อว่าพระองค์เป็นบุตรของซุส เทพบดีทั้งมวลตามความเชื่อของชาวกรีกโบราณ พระองค์สืบเชื้อสายมาจากอคิลลิส วีรบุรุษในตำนานสงครามเมืองทรอย และในการรบทุกครั้งพระองค์จะพกคัมภีร์มหากาพย์อีเลียดอันเป็นคำภีร์ที่ทรงอิทธิพลต่อความเชื่อของชาวกรีกโบราณไว้ในเสื้อเกราะตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนบรรทมก็จะเอาหนุนศีรษะ

รูปร่างลักษณะ
ไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอเล็กซานเดอร์มหาราชมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่โดยทั่วไปแล้ว เชื่อว่าพระองค์เป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ไม่มีหนวดมีเครา แทบไม่มีเค้าว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่เลย ผมของพระองค์เป็นสีบลอนด์หยิกเป็นลอน บ้างก็บอกว่าดวงตาของพระองค์ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีดำ เป็นสัญลักษณ์บอกว่าในภายภาคหน้าพระองค์จะเป็นผู้ครองทั้งยุโรปและเอเชีย บ้างก็บอกว่า โดยปกติแล้วเมื่อทรงประทับอยู่กับที่ คอของพระองค์จะเอียงเล็กน้อยพองาม


 


รูปร่างลักษณะ
ไม่มีใครรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วอเล็กซานเดอร์มหาราชมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่โดยทั่วไปแล้ว เชื่อว่าพระองค์เป็นชายหนุ่มรูปร่างเล็ก ไม่มีหนวดมีเครา แทบไม่มีเค้าว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่เลย ผมของพระองค์เป็นสีบลอนด์หยิกเป็นลอน บ้างก็บอกว่าดวงตาของพระองค์ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีดำ เป็นสัญลักษณ์บอกว่าในภายภาคหน้าพระองค์จะเป็นผู้ครองทั้งยุโรปและเอเชีย บ้างก็บอกว่า โดยปกติแล้วเมื่อทรงประทับอยู่กับที่ คอของพระองค์จะเอียงเล็กน้อยพองาม

มีต่อ ยังไม่เสร็จนะ
ที่มา http://blogger.sanook.com/maple_plus/

สร้างโดย: 
sss27228

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 444 คน กำลังออนไลน์