พระคัมภีร์
หลายคนเคยพูดว่า อำนาจของวรรณกรรมสามารถแปรเปลี่ยนชีวิตของมนุษย์ได้ แต่มีหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ก้าวล่วงพ้นงานวรรณกรรมขึ้นไป เพราะเป็นหนังสือที่มนุษย์กว่าครึ่งค่อนโลกเชื่อว่าเกิดขึ้นจากการดลใจของพระเจ้า มิได้เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเสมือนสาส์นรักที่มาจากพระเจ้า เป็นศูนย์รวมของความเชื่อความศรัทธาอันศักดิ์สิทธิ์ สั่งสอนแนะนำให้มนุษย์มุ่งมั่นในความดีงามและความรักที่แท้จริง หนังสือเล่มนี้เปรียบประดุจแสงสว่างส่องนำทางชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งและรวมถึงใครอีกหลายคน ดังถ้อยคำที่บอกว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับย่างก้าวของข้าพระองค์ เป็นแสงสว่างส่องทางของข้าพระองค์” (สดุดี ๑๑๙ : ๑๐๕) ...กับผู้ชายคนที่ชื่อ บอย โกสิยพงษ์ และหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของเขา คัมภีร์ไบเบิล
บอยชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก เริ่มตั้งแต่การอ่านหนังสือการ์ตูน ขยับมาเป็นนิยาย และเริ่มอ่านตามความสนใจของตน “ชอบอ่านพวกเบื้องหลังการทำเพลง การแต่งเพลง หรือเบื้องหลังการถ่ายทำหนัง และสเปเชี่ยลเอฟเฟค เราเริ่มสนใจเบื้องหลังว่าเขาทำกันยังไง” จนกระทั่งได้ค้นพบกุญแจไขเข้าไปสู่คัมภีร์ไบเบิล
แม้บอยจะเคยอ่านคัมภีร์ไบเบิลมาตั้งแต่เด็ก เพราะเรียนในโรงเรียนคริสต์ แต่สมัยนั้นเขาเป็นเพียงแค่คริสต์ตามพ่อเท่านั้น บอยบอกว่า “การอ่านคัมภีร์ไบเบิลในสมัยที่เรายังไม่ได้เปิดใจเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่ กับอ่านหลังจากเปิดใจแล้ว มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือพระเจ้าบอกว่า คัมภีร์ไบเบิลเหมือนจดหมายที่พระเจ้าดลใจให้คนเขียน เพื่อสื่อสารกับเราในทุกยุคทุกสมัย เมื่อได้อ่านหลังจากที่เรารับรู้และเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงๆ แล้ว เราก็ได้เห็นถึง manual ของชีวิต ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในคัมภีร์ไบเบิลมีหมดเลย สามารถประยุกต์นำมาใช้ได้เลย”
บอยเล่าถึงเมื่อช่วงปี ๒๕๔๔ ที่เขายอมเปิดใจเชื่อในพระเจ้า ตอนนั้นภาระหน้าที่และปัญหาต่างประเดประดังกันเข้ามา ความทุกข์กังวลถาโถมจนยากต้านทานไว้ เขาเล่าว่า
“เป็นช่วงที่ผมทำเพลงเยอะมาก ในขณะเดียวกันครอบครัวก็ไม่ค่อยสบาย คุณยายเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก มันกังวลมากอยู่แล้ว และยังมากังวลเรื่องงานอีก...รู้สึกว่ามันไม่มีความสุขเอาเสียเลย จนกระทั่งเพื่อนบอกว่าให้ลองอ่านคัมภีร์ไบเบิล และก่อนอ่านเพื่อนบอกให้อธิษฐานก่อน ผมก็อธิษฐานขอพระเจ้า อ้อนวอน ลูกอยากจะขอเปิดใจแต่เปิดไม่เป็น ให้พระองค์ช่วยบอกในบรรทัดเดียวให้ลูกเชื่อเลยก็แล้วกัน อะไรก็ได้ เราก็เปิดมั่วๆ แล้วก็เจอ พระเจ้าเขียนบอกว่า "You must trust in me คุณต้องเชื่อฉัน”
เพียงแค่ประโยคเดียว “มันทำให้นึกขึ้นได้ว่า ทำไมเราไม่เคยลองเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ทำไมเราไม่ลองเปิดใจรักในสิ่งที่อยู่เหนือกว่าเรา มัวแต่คิดว่าเราต้องช่วยตัวเอง ทุกอย่างต้องจัดการด้วยตัวเองหมด บางทีมันอาจจะมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรา คอยช่วยเหลือเรา แต่เราไม่เคยยอมรับ ก็เลยลองเปิดใจขึ้นมา”
สิ่งที่ทำให้บอยมองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือ ”เรื่องความเครียดและความกังวลมันลดน้อยลง มีคำของพระเจ้าบอกว่า อย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้เลย ให้วันพรุ่งนี้มันกังวลด้วยตัวของมันเองเถอะ เรากังวลแค่วันนี้ก็เหนื่อยพออยู่แล้ว และไม่ต้องห่วงเพราะว่าเราจะดูแลเจ้าทุกวัน” และทุกครั้งเมื่อเกิดมีความกังวล เขาจะเลือกหยิบคัมภีร์ไบเบิลขึ้นมาเปิดอ่าน บอยบอกว่า “มันทำให้เราเห็นว่า ในถ้อยคำของพระเจ้า จะมีคำพูดที่พระเจ้าต้องการสื่อถึงเรา ณ ช่วงเวลานั้นๆ มันสัมผัสใจเราได้จริงๆ ”