มะม่วง Mango
แหล่งที่มาภาพ : http://www.suansanook.com/howto/wp-content/uploads/2009/04/mango1-299x30...
มะม่วงเป็นไม้ผลที่นิยมปลูกกันมาก เพราะนอกจากจะใช้บริโภคกันภายในประเทศ ทั้งในรูปผลสดและแปรรูป ยังสามารถส่งเป็นสินค้าส่งออกเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีพื้นที่เพาะปลูกมะม่วงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดปัญหาผลผลิตล้นตลาด ราคาผลผลิตที่เกษตรกรขายได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จึงต้องหาทางส่งออกให้มากขึ้น เพื่อเป็นทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในปี 2538 มีพื้นที่ปลูก 1.8 ล้านไร่ ผลผลิตส่งออกมะม่วงสด 8,249 ตัน มูลค่า 120 ล้านบาท และมะม่วงแปรรูป 6,937 ตัน มูลค่า 175.4 ล้านบาท
ลักษณะทั่วไปของพืช มะม่วงเป็นไม้ผลขนาดใหญ่ ปลูกได้ทุกภาคของประเทศไทย ปลูกได้ในดินทั่วไป ยกเว้นดินเค็มและดินที่มีน้ำขัง ถ้าปลูกในดินร่วนซุยมีอินทรีย์วัตถุมาก และมีการระบายน้ำดีก็จะยิ่งให้ผลผลิตดี นอกจากนี้มะม่วงยังมีความต้านทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี จะเริ่มให้ผลหลังจากการปลูกด้วยกิ่งทาบประมาณ 3 ปี สามารถให้ผลผลิตมากกว่า 15 ปี และผลผลิตจะสูงขึ้นเฉลี่ยปีที่ 8 ประมาณ 50-100 กก./ต้น โดยเฉลี่ยอายุจากดอกบาน เก็บผลแก่อยู่ระหว่าง 90-115 วัน น้ำหนักผลมะม่วงเฉลี่ยอยู่ในระหว่าง 260 กรัม ฤดูกาล ผลผลิตอยู่ระหว่างปลายเดือนมีนาคม-มิถุนายน
การปลูก
วิธีการปลูก
1. ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
2. ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร
3. ผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกันให้สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม
4. ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
5. ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงมาถึงปากถุง ทั้ง 2 ด้าน (ซ้ายและขวา)
6. ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก
7. กลบดินที่เหลือลงในหลุมแล้ว แต่อย่ากลบดินให้มาถึงรอยเสียบยอดหรือรอยทาบ
8. กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น
9. ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมโยก
10. หาวัสดุคลุมบริเวณโคนต้น เช่นฟางข้าว หญ้าแห้ง
11. รดน้ำให้ชุ่ม
12. ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด
13. แกะผ้าพลาสติกที่พันรอยทาบ เมื่อปลูกไปแล้วประมาณ 1-2 เดือน
ระยะปลูก
ระยะปลูกระหว่างต้นและแถวที่แนะนำ คือ 8x8 เมตร หรืออย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 6x6 เมตร นอกจากนี้ยังพบว่ามีการปลูกมะม่วงระยะที่ชิดกว่านี้ คือ 2.5 x 2.5 เมตร ซึ่งจะได้ปริมาณต้นมะม่วงต่อไร่มากกว่า แต่การปลูกระยะชิดนี้จำเป็นจะต้องดูแลตัดแต่งกิ่งอยู่เสมอด้วย
จำนวนต้น / ไร่
กรณีปลูก 8 x 8 จะได้จำนวน 25 ต้น / ไร่
กรณีปลูก 6 x 6 จะได้จำนวน 45 ต้น / ไร่
การดูแลรักษา
การให้ปุ๋ย
- ปริมาณปุ๋ยที่ใช้ทั้งหมดเท่ากับครึ้งหนึ่งของอายุต้น ยกเว้นปุ๋ยทางใบควรใช้ ปริมาณ 20 กรัม / น้ำ 20 ลิตร
- สำหรับมะม่วงที่ยังไม่ให้ผล อายุ 1 - 3 ปี ควรใส่สูตรเสมอ คือ 15-15-15 หรือ 16-16-16
- สำหรับมะม่วงเล็กที่ให้ผลแล้ว บำรุงต้นควรใช้สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16
สร้างตาดอก ควรใช้สูตร 12-24-12 หรือ 8-24-24
บำรุงผล ควรใช้สูตร 14-14-14 หรือ 14-9-20
ปรับปรุงคุณภาพ ควรใช้สูตร 8-24-24
การให้น้ำ
หลังจากปลูกใหม่ๆ ถ้าฝนไม่ตกควรรดน้ำทุกวัน และค่อยๆ ห่างขึ้นสัก 3-4 วัน/ครั้ง สำหรับมะม่วงที่โตแล้วและกำลังติดผล อาจมีการให้น้ำบางระยะเท่านั้น ช่วงที่มะม่วงต้องการน้ำมากที่สุด มีอยู่ 2 ช่วง คือ ช่วงที่มีการเจริญเติบโตทางกิ่งและใบ และช่วงระยะติดผลอ่อน สำหรับช่วงก่อนออกดอกมะม่วงต้องการน้ำน้อยหรือไม่ต้องการน้ำเลย แต่ช่วงที่มะม่วงติดผลแล้วจะมีความต้องการน้ำค่อนข้างสูง และต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
การปฏิบัติอื่นๆ เช่น การตัดแต่งกิ่ง การเด็ดยอด เป็นต้น
มะม่วงระยะชิดควรเป็น 0.5 เมตร แต่ยังไม่แตกกิ่งก้านสาขา ควรใช้มีดคมตัดปลายยอดทิ้ง เพื่อให้แตกกิ่งก้านสาขาแล้วเลือกกิ่งที่แข็งแรงไว้เพียง 3-4 กิ่ง โดยแต่ละกิ่งทำมุมเท่าๆกันแล้วตัดกิ่งอื่นที่ไม่ต้องการออก
การตัดกิ่งมะม่วงที่ให้ผลแล้ว ควรทำการตัดกิ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลแล้วทุกปี โดยเริ่มจากกิ่งใดกิ่งหนึ่งจากโคนกิ่งไปยังปลายกิ่งจนครบทุกกิ่ง โดยทำการตัดกิ่งกระโดง กิ่งน้ำค้าง กิ่งไขว้ กิ่งแห้ง กิ่งเป็นโรคแมลง กิ่งฉีกหักเสียหาย และกาฝาก กิ่งซ้อนทับตำแหน่งกิ่งใหญ่ๆที่มีกิ่งเล็กกิ่งน้อยให้ตัดออก ตำแหน่งปลายกิ่งที่แตกเป็นกระจุกให้ตัดไว้เหลือ 2-3 กิ่งที่เหมาะสม
การป้องกันจำกัดศัตรูพืช
โรคแอนแทรกโนส ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยสารแมนโคแซป คาร์เบ็นดาซิม
โรคราแป้งขาว ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยกำมะถัน คาร์เบนดาซิม
โรคจุดดำ ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยสารคอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ เอ็นโดซัลแฟน โมโนโครโตฟอส
เพลี้ยไฟ เพลี้ยจั๊กจั่น ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยคาร์บาริล เอ็นโดซัลแฟน โมโนโครโตฟอส
หนอนแมลงวันกินดอกมะม่วง ป้องกันโดยฉีดพ่นด้วยโมโนโครโตฟอส
แมลงวันผลไม้ ป้องกันโดยใช้ตัวห้ำ เช่น มดคัน การรมควัน การห่อผล การใช้สารล่อ การให้อุณหภูมิต่ำ
การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
1. ปลิดขั้วผลออกทั้งผลโดยเอาขั้วลงบนผ้าหรือกระสอบซับน้ำยางประมาณ 20 นาที
2. คัดคุณภาพ คัดผลที่ไม่มีบาดแผล หรือร่องรอยการทำลายของแมลงมไมีลักษณะอาการของ โรค เช่น ผลเป็นจุดดำ ผลไมสะอาด
3. คัดขนาด อาจใช้คนคัดที่ชำนาญหรือใช้เครื่องคัดขนาดมะม่วง โดยทั่วไปใช้น้ำหนักมะม่วง เป็นเกณฑ์
4. การป้องกันกำจัดโรคแอนแทรกโนส โดยการจุ่มหรือแช่ในน้ำร้อน 50 - 55 องศาเซลเซียส นาน 5 - 10 นาที หรือใช้น้ำร้อนผสมสารไธอะเบ็นดาโซลเข้มข้น 300-500 PPM หลัง จากแช่ผลในน้ำอุ่นแล้วควรนำมาแช่ในน้ำเย็นทันที เมื่อผลเย็นแล้วให้สะเด็ดน้ำ
5. การบรรจุหีบห่อที่ดี จะช่วยป้องกันผลิตผลให้อยู่ในสภาพดีจนถึงมือผู้บริโภค ภาชนะบรรจุ และวิธีการบรรจุที่ดี จะต้องป้องกันไม่ให้ผลมะม่วงชอกช้ำ
6. การเก็บรักษาและการขนส่งผลผลิตควรรักษาอุณภูมิ 10 - 12 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัธท์ ประมาณ 85-90 % ถ้าอุณภูมิต่ำกว่านี้จะเกิดความเสียหาย อุณภูมิที่เหมาะสมสำหรับมะม่วงสุก คือ 13 องศาเซลเซียส
แหล่งที่มาเนื้อหา : http://www.doae.go.th/plant/mango.htm
เรียบเรียงโดย น.ส.ณัฐวดี นวมศรีสงวน