1.5 การตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อม จากที่กล่าวมาแล้วเป็นการตอบสนองของพืชต่อสิ่งแวดล้อมภายใน นอกจากนี้พืชยังสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายนอกต่างๆ ได้ สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปและกระตุ้นให้พืชตอบสนองนี้ เรียกว่า สิ่งเร้า โดยทั่วไปปัจจัยกระตุ้นจะชักนำให้กระบวนการในพืชดำเนินไป แม้ว่าปัจจัยกระตุ้นนั้นอาจไม่อยู่ในสภาพเริ่มต้น หรือหมดไปแล้ว เช่น ปลายยอดจะเจริญโค้งเข้าหาแสงแม้ว่าแสงที่กระตุ้นในช่วงแรกนั้นจะไม่มีแล้ว การตอบสนองของพืชต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกจะมีกระบวนการเช่นเดียวกับกระบวนการสื่อสารระหว่างเซลล์ที่นักเรียนทราบมาแล้วดังนี้ การรับสัญญาณ คือ การที่พืชหรือส่วนของพืชรับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกที่มากระตุ้น เช่น กลไกการรับแสงของสารสีในกระบวนการตอบสนองต่อทิศทางของแสง เป็นต้น การส่งสัญญาณ คือ การที่กลไกรับสัญญาณในพืชส่งสัญญาณที่รับได้ไปให้เซลล์ในส่วนของพืชที่ตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นนั้น ในช่วงศตวรรษนี้นักวิจัยได้พยายามศึกษาลักษณะของสัญญาณที่ส่งไป ซึ่งรวมทั้งกระแสไฟฟ้า และสารเคมีต่างๆ เช่น ฮอร์โมนพืช เป็นต้น การตอบสนองของพืช คือ การเปลี่ยนแปลงส่วนต่างๆของพืชที่ทำให้เกิดการตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้น พืชตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นในหลายรูปแบบ ซึ่งรวมทั้งการตอบสนองทางชีวเคมี สรีรวิทยา สัณฐานวิทยา เป็นต้น แต่การตอบสนองที่สามารถสังเกตได้ง่ายที่สุดคือ การเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวของพืชชั้นสูง สามารถแบ่งลักษณะการตอบสนองต่อปัจจัยกระตุ้นได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ 1. ทรอปิกมูฟเมนต์ (tropic movement) เป็นการเคลื่อนไหวของพืชที่เกิดจากการเจริญเติบโตอย่างมีทิศทาง โดยทิศทางของการเคลื่อนไหวของพืชถูกกำหนดโดยทิศทางของปัจจัยภายนอกที่มากระตุ้น เช่น การตอบสนองต่อแรงโน้มถ่วงของโลก (gravitropism) การตอบสนองต่อทิศทางของแสง ในกรณีที่พืชเคลื่อนไหวเข้าหาปัจจัยกระตุ้นจะเรียกว่า โพสซิทิฟโทรพิซึม (positive tropism) ส่วนกรณีที่พืชเคลื่อนไหวออกจากปัจจัยกระตุ้นจะเรียกว่า เนกะทิฟโทรพิซึม (negative tropism) การตอบสนองต่อการสัมผัสสิ่งเร้า (thigmotropism) เช่น การเจริญของมือเกาะของตำลึง กะทกรก หรือพืชตระกูลแตง เมื่อสัมผัสกับสิ่งเร้า การตอบสนองตอความชื้นจากน้ำ (hydrotropism) เช่น การงอกเข้าหาน้ำของราก (positive hydrotropism) การตอบสนองต่อสารเคมี(chemotropism) เช่น การงอกของหลอดละอองเรณูไปยังรังไข่ของพืชดอกเพื่อเข้าหาสารเคมีที่เป็นสิ่งเร้า 2. แนสติกมูฟเมนต์ (nastic movement) เป็นการตอบสนองของพืชที่ทิศทางของการเคลื่อนไหวของพืชไม่ถูกกำหนดโดยทิศทางของปัจจัยภายนอกที่มากระตุ้น เช่น การหุบและการบานของดอก เป็นต้น ปัจจัยภายนอกที่สำคัญ ได้แก่ แสงและอุณหภูมิ และกลไกการตอบสนองของพืชอาจเกิดได้จากการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันของส่วนต่างๆ หรืออาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความเต่งของเซลล์พิเศษ
การหุบของดอกบัวในตอนกลางคืนและบานในเวลากลางวัน หรือการหุบของดอกกระบองเพชรในเวลากลางวัน และบานในเวลากลางคืนเพราะเป็นการตอบสนองต่อแสงซึ่งเป็นสิ่งเร้า การที่ดอกไม้หุบหรือบานได้นั้น เนื่องจากกลุ่มเซลล์ด้านนอก และด้านในของกลีบดอกมีการขยายขนาดได้ไม่เท่ากัน การบานของดอกไม้เกิดจากกลุ่มเซลล์ด้านในของกลีบดอกขยายขนาดมากกว่าด้านนอก และดอกไม้จะหุบเมื่อกลุ่มเซลล์ด้านนอกของกลีบดอกขยายขนาดมากกว่าด้านใน
นอกจากนี้พืชยังมีการตอบสนองต่ออุณหภูมิของอากาศได้ เช่น ดอกมะลิ จะบานเมื่ออากาศอบอุ่น จะหุบเมื่ออากาศเย็น พืชบางชนิดสามารถตอบสนองต่อการสัมผัสได้เร็ว โดยการสัมผัสจะไปทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแรงดันเต่งภายในเซลล์ซึ่งเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่ถาวร เช่น ใบของต้นไมยราบแตะเพียงเบาๆ ใบจะหุบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว
เมื่อนำโคนก้านใบของไมยราบมาศึกษา พบว่า ที่โคนก้านใบมีลักษณะพองออกเป็นกระเปาะเรียกว่า พัลไวนัส (pulvinus) ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ที่มีขนาดใหญ่ผนังบางมีความไวสูงต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น เช่น การสัมผัส การกระตุ้นดังกล่าวจะมีผลทำให้แรงดันเต่งของเซลล์กลุ่มนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คือ เซลล์จะสูญเสียน้ำให้กับเซลล์ข้างเคียงใบจึงหุบทันที เมื่อเวลาผ่านไปน้ำจากเซลล์ข้างเคียงจะแพร่กลับเข้ามาในเซลล์อีกครั้งหนึ่ง ทำให้เซลล์เต่ง และใบกางออกดังเดิม นอกจากต้นไมยราบแล้วยังมีพืชที่มีความไวต่อการสัมผัส ได้แก่ กาบหอยแครง จะมีกลุ่มเซลล์ที่ไวต่อสิ่งเร้าอยู่ทางด้านในของใบ เมื่อแมลงบินมาถูกก็จะตอบสนองโดยหุบใบในทันทีพร้อมทั้งปล่อยเอนไซม์ออกมาย่อยแมลงแล้วดูดซึมธาตุอาหารที่พืชต้องการไปใช้ได้ ในพืชตระกูลถั่ว เช่น จามจุรี กระถิน แค ผักกระเฉด ถั่วต่างๆ มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงต่อความเข้มของแสงจึงพบว่า ใบจะหุบในเวลาพลบค่ำที่เรียกว่า ต้นไม้นอน และกางใบออกเวลารุ่งเช้าที่มีแสงสว่าง การเคลื่อนไหวของพืชที่ไม่เกี่ยวข้องกับแรงดันเต่งของเซลล์พืช เช่น การหมุนแกว่งของยอดพืชขณะที่มีการเจริญเติบโตที่ปลายยอดพืช อันเนื่องมาจากปลายยอดมีการแบ่งเซลล์สองด้านของลำต้นไม่เท่ากัน เรียกการเคลื่อนไหวแบบนี้ว่า นิวเทชันมูฟเมนต์ (nutation movement) ยอดพืชทุกชนิดมีการเคลื่อนไหวแบบนี้ แต่จะเห็นได้ชัดเจนในพืชที่มีลำต้นพันหลัก จากการศึกษาการตอบสนองของพืชคงพอจะทำให้นักเรียนเข้าใจถึงการปรับตัวในการดำรงชีวิตของพืช เพื่อสามารถในการเจริญเติบโตอยู่ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้เป็นอย่างดีนั่นเอง