การเลิกไพร่
ไพร่ หมายถึง ราษฎรสามัญชนทั่วไป มีทั้งหญิงและชาย มีศีกดินาระหว่าง 10-25 ไร่ แต่ถ้าได้เข้าไปรับราชการได้เป็นขุนนางชั้นผู้น้อย เช่น ขุน หมื่น เป็นต้น จะถือศักดินา 25-400 ไร่
1.ฐานะของไพร่ในสังคมไทย ไพร่ทุกคนต้องเข้าสังกัดมูลนาย เพื่อแลกกับการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและคนที่เป็นไพร่ จะไม่มีเงินเดือน
2.หน้าที่ของไพร่ ไพร่จะต้องเข้าเวรปีละ 6 เดือน ไพร่ที่เป็นแรงงาน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย มีอายุระหว่าง 20-70 ปี เมื่อบ้านเมืองเกิดสึกสงคราม ไพร่เหล่านี้ต้องออกรบ
3.ประเภทของไพร่ แบ่งออกได้ 3 ประเภท ได้แก่ ไพร่หลวง ไพร่สม และไพร่ส่วย
1) ไพร่หลวง คือไพร่ในสังกัดของพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่จะทรงแจกจ่ายไปยังกรมหน่วยงานราชการต่างๆ ไพร่หลวงมีฐานะลำบากมากที่สุด เพราะต้องทำงานหนักกว่าไพร่อื่นๆ
2) ไพร่สม คือเป็นไพร่ในสังกัดของเจ้านาย ขุนนาง มีหน้าที่รับใช้เจ้านายของตน มีพันธะที่ต้องเข้าเวรรับราชการด้วย แต่ภาระน้อยกว่าไพร่หลวง คือเพียงปีละ 1 เดือน
3) ไพร่ส่วย คือไพร่หลวงที่ได้รับการยกเว้นจากการไม่ต้องเข้าเวรรับราชการ แต่ต้องส่งเงินหรือสิ่งของมาทดแทน เรียกว่า เงินค่าราชการ
4. ความสำคัญของไพร่ที่มีต่อสังคมไทย
1) เป็นแรงงานด้านโยธาให้แก่ราชการ
2) เป็นฐานอำนาจทางการเมืองให้มูลนายของตนเอง
3) เป็นกำลังในการผลิตภาคการเกษตรกรรม
4) เป็นกำลังในการรบยามบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม
5.สาเหตุการเลิกไพร่ รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้มีการยกเลิกระบบไพร่ มีสาเหตุเนื่องจาก
1) การควบคุมไพร่ที่มีมาแต่เดิมถึงช่วงที่ไร้ประสิทธิภาพ พระมหากษัตริย์ ไม่สามารถควบคุมคนได้ ในขณะที่มูลนายอื่นๆได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากไพร่ และใช้ไพร่เป็นอำนาจทางการเมือง
2) ไพร่บางพวกได้รับกดข่มขี่เหงจากมูลนายก็หนีเข้าป่า
3) การเกิดวิกฤตการณ์วังหน้า พ.ศ.2417 แสดงให้เห็นว่ากำลังของไพร่พลที่ถูกฝึกหัดตามแบบทหารตะวันตกสามารถสร้างความไม่มั่นคงให้แก่ราชบัลลังก์ได้
4) จากการทำสนธิสัญญาบาวริ่ง เป็นผลให้เกิดการขยายตัวทางการผลิตและการค้าโดยเฉพาะข้าว ทำให้ความต้องการแรงงานเพื่อใช้ในการทำนาสูงขึ้น ก่อให้เกิดการอพยพของแรงงานจากต่างถิ่นเข้าไปทำงานในเขตเศรษฐกิจ
5) ความจำเป็นที่ต้องการใช้แรงงานเกณฑ์จากไพร่ลดความต้องการลง
6) เพื่อลดอิทธิพลอำนาจของมูลนายหรือขุนนาง
7) การคุมคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้รัฐบาลต้องคำนึงถึงทัศนะความคิดเห็นของชาติตะวันตก เกี่ยวกับการเกญฑ์แรงงานกับการสักเลกเป็นเรื่องที่เลวร้าย ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องเห็นความจำเป็นที่ต้องมีกองกำลังทหารตามแบบตะวันตก เพื่อเป็นการป้องกันประเทศชาติ
6. ขั้นตอนการเลิกไพร่
1) การแก้ไขปรับปรุงระเบียบการบริหารในกรมพระสุรัสวดีที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา รัชกาลที่ 5 ทรงแก้ไขโดยยกฐานะกรมพระสุรัสวดีให้มีความเท่าเทียมกับกรมสำคัญอื่นๆ
2) การฟื้นฟูกรมทหารหน้า รัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินการใน พ.ศ. 2423 ได้มีการประกาศรับสมัครคนมือขาว (คนที่ไม่ได้สักเลก) หรือไพร่ที่ไม่ได้สังกัดมูลนายเข้ามาเป็นทหาร กรมทหารหน้ามีความก้าวหน้ามากและได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการจัดกองทัพประจำการ
3) การควบคุมคนให้ขึ้นสังกัดตามท้องที่การทำสำมะโนครัว
4) ใน พ.ศ. 2444 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเก้ฐเงินค่าราชการ เพื่อเป็นกฎหมายแน่นอนว่าชายฉกรรจ์ที่มีอายุ 18-60 ปีต้องเสียค่าราชการ ไม่เกินปีละ 6 บาท
5) พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร พ.ศ. 2448 กำหนดให้ชายฉกรรจ์ทุกคนที่มีอายุ 18 - 60 ปี ต้องเป็นทหารและผู้ที่ได้ผ่านการคัดเลือกต้องรับราชการ 2 ปี และได้รับการฝึกฝนทหารแบบใหม่มีกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ดูแล จึงถือได้ว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการยกเลิกการควบคุมระบบไพร่แบบเดิม
แหล่งอ้างอิง:หนังสือ คู่มือเตรียมสอบสังคมศึกษา ม.6 หนังสือ คู่มือสังคมศึกษา ม.6
น้องขา พี่ว่าตำราที่น้องเรียนมันแปลกๆ นะคะ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านทรงเลิกทาสค่ะ เหตุผลเนื่องจากสมัยนั้นฝั่งประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ได้มีการยกเลิกระบบทาสแล้ว
การเลิกทาสของบ้านเรานับเป็นการเลิกทาสที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกา ที่การเลิกทาสทำให้เกิดสงครามกลางเมืองกันเลยทีเดียว
น้องลองอ่านเรื่องการเลิกทาสตามลิงค์นี้นะคะ
http://webboard.mthai.com/10/2005-11-17/166897.html
เอามาแปะให้ดูด้วย
สมเด็จพระปิยมหาราชกับการเลิกทาส
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือสมเด็จพระปิยมหาราช
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถมาก
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่สำคัญ
และเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองจนได้รับพระสมัญญาว่า "สมเด็จพระปิยมหาราช"
พระราชกรณียกิจที่สำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่งคือ "การเลิกทาส"
ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่มากของประวัติศาสตร์ไทย
พระราชดำริแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในการที่จะเลิกทาสนั้น แม้ตามหลักฐานจะปรากฏว่า
ได้เริ่มมีเค้ามาตั้งแต่ต้นรัชกาลก็ตาม แต่ที่เริ่มปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง
ขึ้นอย่างแท้จริงก็เป็นเวลาหลายปีต่อมา
ทั้งนี้เพราะการบริหารราชการแผ่นดินในรัชสมัยของพระองค์ท่านนั้นทรงโปรดระบบ
การทำงานที่มีลักษณะรีบเตรียมให้พร้อม พร้อมแล้วรีบทำ
ไม่ทรงโปรดการหักด้ามพร้าด้วยเข่า หรือ
อาการผลีผลามตามอารมณ์ของเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร
เกี่ยวกับการประกาศเลิกทาสก็เช่นเดียวกัน
ดังจะเห็นได้จากการประกาศเป็นขั้นตอนตามลำดับมา
สมเด็จพระปิยมหาราชทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า
ทาสก็จัดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งทางด้านสังคมและการเมือง
ที่สำคัญคือ ทางด้านเศรษฐกิจ พระองค์จังทรงมีพระราชดำริ
เลิกทาสจึงตรัสปรึกษาข้าราชการ แต่พระองค์ก็ทรงพบอุปสรรค
เพราะบรรดาข้าราชบริพารทั้งหายไม่เห็นชอบด้วยกับพระองค์
แต่พระองค์มิได้ทรงท้อถอย ทรงดำเนินกุศโลบายอย่างสุขุมรอบคอบ
และเป็นไปตามลำดับขั้น
นอกจากนี้พระองค์ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อช่วยไถ่ถอนทาส
และพระราชทานทุนทรัพย์เพื่อให้ลูกทาส
ได้ทำมาหากินต่อไปนอกจากนี้พระองค์ยังทรง
จัดตั้งโรงเรียนสำหรับลูกทาสขึ้นมา
ในที่สุดก็มาถึงวาระอันนับได้ว่าอิสรภาพและค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของปวงชนชาว
ไทย ได้บรรลุถึงหลักชัยอย่างแน่นอน
โดยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระปิยมหาราชจากการตราพระราชบัญญัติลักษณะเลิก
ทาส ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448)
ให้คงความเป็นไทเป็นสัญลักษณ์สำคัญประการหนึ่งของชาติ
อันนี้เป็นข้อมูลการเลิกทาสของวิกิพีเดียค่ะ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%...
การเลิกทาส เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง
ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช”
สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศ
เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด
และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว
ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป
กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น
ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตำลึง หญิง 12 ตำลึง แล้วไม่มีการลด
ต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง
คำนวณการลดนี้ อายุทาสถึง 100 ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1 ตำลึง หญิง 3
บาท แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว
ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น
เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่
พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง
พ.ศ. 2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่า
เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง
เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21
ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง
พอถึงปี พ.ศ. 2448
ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส
ร.ศ.124” (พ.ศ. 2448) เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด
เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา
ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท
จนกว่าจะหมด..
ส่วนความหมายและประเภทของทาศดูได้ตามลิงค์นี้นะคะ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA
ส่วนอันนี้เป็นลิงค์ความหมายของคำว่าไพร่ค่ะ
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%88
ดูเหมือนผู้เขียนตำราที่น้องเรียนจะเอา "ไพร่" กับ "ทาส" มารวมกันค่ะ
พี่ไม่ได้มีความประสงค์จะต่อว่าอะไรน้องนะคะ แค่อยากให้น้องได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากตำราที่ออกจะแปลกๆ ตามความรู้สึกของพี่น่ะค่ะ
ด้วยความปรารถนาดี
(ผ่านมาอ่านค่ะ)