นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลปัจจุบัน
ภาพลักษณ์ประเทศไทย
จากภาพความขัดแย้งและแตกแยกในประเทศที่ดำเนินมาไม่ต่ำกว่า 2 ปี การปรับภาพลักษณ์ประเทศไทยให้ทั่วโลกเกิดความเชื่อมั่นอีกครั้งว่าเรากลับสู่สภาวะปกติและพร้อมจะก้าวเดินไปข้างหน้าจึงเป็นภารกิจสำคัญประการแรกสำหรับรัฐบาลใหม่
โชคดีที่รัฐบาลชุดนี้ไม่ต้องเผชิญกับกระแสต่อต้านจากประเทศต่างๆ เช่นเดียวกับรัฐบาลที่ผ่านมาเพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่การสร้างความเชื่อมั่นนั้นก็เป็นงานที่ไม่ง่าย ตราบใดที่สถานการณ์การเมืองในประเทศยังไม่นิ่ง การออกไปป่าวประกาศเรียกความเชื่อมั่นก็คงไม่ต่างจากการตีฆ้องร้องป่าวความเท็จ และมีแต่จะทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทยในสายตาประชาคมโลกตกต่ำลงอีก ดังนั้นสิ่งที่เป็นมูลฐานของการเรียกความเชื่อมั่นก็ต้องมาจากความตั้งใจจริงในอันที่จะสร้างความสมานฉันท์ในประเทศของรัฐบาล และลงมือปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปในแนวทางดังกล่าวอย่างแท้จริง
ปัญหาภาคใต้
หากยังมัวแต่คิดจะล้างแค้น ชำระสะสางเรื่องราวในหนหลัง มากกว่าคิดจะก้าวเดินไปข้างหน้า การปรับภาพลักษณ์ประเทศไทยคงไปไม่ถึงไหนอย่างแน่นอน
ปัญหาภาคใต้
ปัญหาภาคใต้ยังคงต้องเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติต่อไปเพราะไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ในชั่วข้ามคืน กระทรวงการต่างประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะส่วนหนึ่งของกลไกในการแก้ไขปัญหาภาคใต้
ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ การปรับยุทธศาสตร์ในการดำเนินความสัมพันธ์ด้วยการลดท่าทีแข็งกร้าวและโยนความผิดไปให้รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต และการเพิ่มพูนความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียทำให้ความร่วมมือในปัจจุบันเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากปราศจากความร่วมมือของมาเลเซีย ปัญหาภาคใต้ของไทยไม่มีทางจะยุติลงได้ ในเมื่อเราต้องการให้ผู้อื่นเคารพต่ออธิปไตยของเรา เราก็ควรปฏิบัติตัวเช่นเดียวกันกับเขาก่อน หากตระหนักว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่ได้ยึดโยงอยู่ที่ประเด็นใดประเด็นหนึ่งเป็นการเฉพาะ การจับมือกับมาเลเซียให้แน่นแฟ้นจะช่วยให้การดำเนินการใดๆ เพื่อแก้ไขปัญหาภาคใต้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การเพิ่มความรู้จักและเข้าใจต่อประเทศโลกมุสลิมให้มากขึ้นก็ยังจะช่วยให้รู้เขารู้เรา และเพิ่มพันธมิตรในโลกมุสลิมที่ทวีความสำคัญในเวทีโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันอีกด้วย
ท่าทีรัฐบาลไทยต่อปัญหาพม่า
พม่าจะยังคงเป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากประชาคมระหว่างประเทศต่อไป หลังจากเกิดเหตุนองเลือดครั้งใหญ่เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านจะกำหนดสถานะและท่าทีของเราอย่างไรคือสิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องขบคิดให้แตก เพราะที่สุดแล้วไทยและอาเซียนจะตกเป็นจำเลยของความคาดหวังและความปรารถนาของนานาประเทศรวมถึงองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ที่ต้องการผลักดันการเปลี่ยนแปลงในพม่าแม้จะรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายก็ตาม
ประชาธิปไตย&สิทธิมนุษยชน
ประชาธิปไตย&สิทธิมนุษยชน
สองเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่ประเทศส่วนใหญ่ให้ความสำคัญอีกทั้งยังถือเอาเรื่องดังกล่าวเป็น บรรทัดฐาน สำหรับวัดความก้าวหน้าของประเทศนั้นๆ อีกด้วย ความเป็นประชาธิปไตยและการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เคยเป็นประเด็นเชิดหน้าชูตาและเป็น จุดแข็ง ของประเทศไทยในอดีต แต่ในช่วงที่ผ่านมาทั้งสองสิ่งนี้กลับกลายเป็นประเด็นที่ทิ่มแทงเราไปโดยปริยาย
เริ่มจากการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส การหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร นโยบายปราบปรามยาเสพติดที่นำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรมผู้คนจำนวนมาก ไปจนถึงปัญหาม้ง จากประเทศที่เคยเป็นหัวหอกในเรื่องสิทธิมนุษยชน เรากลับตกเป็นจำเลยในเวทีระหว่างประเทศ
ขณะที่ความเป็นประเทศประชาธิปไตยของไทยที่เคยได้รับความชื่นชมก็เปลี่ยนเป็นสายตาแห่งคำถามเมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น แน่นอนว่าในมุมมองของหลายคนการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าไม่เคยมีการปฏิวัติครั้งใดที่จะไม่ถูกมองว่าทำให้ประเทศสะดุดหรือชะงักไปชั่วคราว
การส่งเสริมจุดแข็งที่เราเคยมีในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในเวทีระหว่างประเทศ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่ไม่ควรละเลยหรือมองข้าม
ไทยกับอาเซียน
ในกลางปี 2551 ไทยจะเข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียนต่อจากสิงคโปร์โดยงานใหญ่งานแรกคือการเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำอาเซียนซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในราวปลายปี 2551 หรือต้นปี 2552 การรับหน้าที่ประธานอาเซียนในช่วงเวลานี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยที่จะใช้เวทีการประชุมอาเซียน ซึ่งมีการประชุมทั้งในระดับผู้นำ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก เพื่อผลักดันและส่งเสริมประเด็นที่เรามองว่าเป็นประโยชน์สำหรับเราเอง และสำหรับภูมิภาคในอนาคต
ยิ่งกว่านั้นคือการที่มีคนไทยอย่างนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซึ่งจะเริ่มปฏิบัติภารกิจดังกล่าวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มกราคมนี้ ยิ่งทำให้บทบาทของไทยในเวทีความร่วมมือในภูมิภาคนี้โดดเด่นยิ่งขึ้น ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล การสนับสนุนการดำเนินงานของเลขาธิการอาเซียนซึ่งเป็นคนไทย จึงเป็นอีกหนึ่งในภารกิจที่รัฐบาลใหม่จะปฏิเสธมิได้ เพราะนี่ไม่ใช่ประเด็นที่ว่าใครเป็นคนของใคร แต่เป็นเรื่องของการสนับสนุนคนไทยที่มีโอกาสไปทำงานในเวทีระหว่างประเทศ
บทบาทของไทยในเวทีโลก
นับตั้งแต่ประเทศไทยตกอยู่ในท่ามกลางปัญหาภายในประเทศ บทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศก็ขาดหายไป แม้ว่าเราอาจจะมีบทบาทในการผลักดันการยกร่างกฎบัตรอาเซียน รวมถึงการผลักดันประเด็นอย่างการจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคอาเซียนแต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบอกว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในกระบวนการอยู่แล้ว
อันที่จริงในปัจจุบันประเด็นระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่รัฐบาลประเทศต่างๆ สามารถนำมาเล่นได้ เช่นที่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียหันมาเล่นกับประเด็นโลกร้อน ในฐานะประเทศที่เป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งสำคัญว่าด้วยภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนเปลงสภาพอากาศที่เกาะบาหลี เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ประเด็นเหล่านี้มีส่วนช่วยต่อการดำเนินความสัมพันธ์ในระดับทวิภาคี เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับมิตรประเทศว่าเราเห็นความสำคัญของประเด็นปัญหาสำคัญต่างๆ และพร้อมจะมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในเวทีโลกอีกด้วย
สิ่งที่สำคัญเหนือกว่าประเด็นทั้งหมดที่สรุปมาข้างต้นสำหรับรัฐบาลใหม่คือการตระหนักรู้ว่า การกำหนดนโยบายต่างประเทศควรต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติโดยรวม มิใช่เพียงผูกโยงกับผลประโยชน์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเท่านั้น