สมัยกรุงธนบุรี*
สมัยกรุงธนบุรี |
หลังจากได้กอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนจากพม่าได้แล้ว พระเจ้าตากสินทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกพม่าเผาผลาญเสียหายมาก ยากที่จะฟื้นฟูให้เหมือนเดิม พระองค์จึงย้ายเมืองหลวง มาอยู่ที่กรุงธนบุรี แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า “ พระบรมราชาธิราชที่ ๔ " (แต่ประชาชนนิยมเรียกว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชหรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) ครองกรุง ธนบุรีอยู่ ๑๕ ปี นับว่าเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่ปกครองกรุงธนบุรี การตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี
สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี เนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้
ส่วนสาเหตุที่พระเจ้าตากสินทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงเนื่องจากทำเลที่ตั้งกกรุงธนบุรีอยู่ใกล้ทะเล ถ้าเกิดมีศึกมาแล้วตั้งรับไม่ไหวก็สามารถหลบหนี ไปตั้งมั่นทางเรือได้กรุงธนบุรีเป็นเมืองเล็ก จึงเหมาะกับกำลังคนที่มีอยู่พอจะรักษาเมืองได้กรุงธนบุรีมีป้อมปราการที่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาหลงเหลืออยู่ ซึ่งพอจะใช้เป็นเครื่องป้องกันเมืองได้ในระยะแรก
เศรษฐกิจสมัยธนบุรี หลังจาการกู้เอกราชสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี งานที่ทรงจัดทำต่อไปคือการรวบรวมผู้คนให้มา อยู่รวมกันเพื่อเป็นกำลังของชาติต่อไป การที่มีคนมารวมอยู่มากขึ้นก่อให้เกิดปัญหา ทรงได้แก้ไขดังนี้
1. ในระยะแรกของการครองราชย์ เป็นภาวะที่พ้นจากการศึกสงคราม ราษฎรยังไม่ได้ทำนา ทรงแก้ไขการขาดแคลน
ให้แก่บรรดาข้าราชการ ทหาร และพลเรือนทั้งไทยและจีนคนละ 1 ถังต่อ 20 วัน นอกจากนี้ทรงแจกจ่ายอาหารให้พลเรือนที่
2. ทรงโปรดให้ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทำนาปีละ 2 ครั้ง ( เพื่อแก้ปัญหาความขาดแคลนข้าว)
3. ทรงใช้การส่งเสริมการค้ากับต่างประเทศ ส่งสำเภาหลวงออกไปทำการค้ากับนานาประเทศทางตะวันออกไปถึง 4. ทรงปราบปรามโจรผู้ร้ายที่ปล้นสะดมในฤดูที่เก็บเกี่ยว สมเด็จพระเจ้าตากทรงดำเนินการ แก้ไขโดยจัดกองทหารออกลาดตระเวนตรวจตราและใช้มาตราการขั้นเด็ดขาดแก่ผู้ประพฤติตนเป็นโจรผู้ร้าย
5. การหารายได้จากภาษีอากร ส่วย และเครื่องบรรณาการต่างๆจากหัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และหัวเมือง
6. เพิ่มพูนรายได้แผ่นดินด้วยการเปิดโอกาสให้มีการประมูลผูกขาดเก็บค่าภาคหลวง ขุดทรัพย์ที่มีคนฝังเอาไว้ใน
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขเศรษฐกิจและสภาพบ้านเมือง ยังมีปัญหาอยู่บ้าง ดังที่บาดหลวงชาวฝรั่งเศสชื่อ “ จนถึงเวลาเดี๋ยวนี้ อาหารการกินในเมืองนี้ยังแพงมาก เพราะบ้านเมืองไม่เป็นอันทำมาหากินมาเป็นเวลา ๑๕ ปีแล้ว และในเวลานี้ยังหาสงบทีเดียวไม่”* สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกังวลพระทัยเรื่องนี้เคยทรงตรัสว่า
“บุทคลผู้ใดเป็นอาทิคือเทวดา บุทคลผู้มีฤทธิ์มาประสิทธิ์มากระทำให้ข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ขึ้น ให้สัตว์โลกเป็นสุขได้
การปกครองสมัยธนบุรี (พ.ศ.2310-2325) การปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยาได้สิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2310 เมื่อพม่าสามารถยึดกรุงศรีอยุธยาไว้ได้ แต่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ทรงกู้เอกราชกลับคืนมาได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยที่ปรงปราบปรามบรรดาผู้นำกลุ่มอิสระต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยา และสามารถรวบรวมอาณาจักรไทยให้เป็นปึกแผ่นไว้ได้ จากนั้นได้ทรงสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์และย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี สำหรับการปกครองสมัยกรุงธนบุรียังคงใช้รูปแบบการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นหลัก
สภาพสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี ตลอดระยะเวลาที่บ้านเมืองไม่สงบ สภาพเศรษฐกิจและสังคมก็ตกต่ำลงอย่างมาก เพราะพลเมืองไม่เป็นอันทำมาหากิน เมื่อกู้เอกราชได้แล้ว ความอดอยากหิวโหยก็ยังคงมีอยู่ เป็นเหตุให้มีโจรผู้ร้ายชุกชุม และเกิดโรคระบาดขึ้นด้วย ดังนั้น ผู้คนจึงล้มตายไปเป็นจำนวนมากขึ้นด้วย สภาพหัวเมืองต่างๆ ของกรุงธนบุรีจึงเหมือนเมืองร้าง ในสมัยกรุงธนบุรีได้มีประชาชนทำการขุดทรัพย์สมบัติจากแหล่งที่ซ่อนทรัพย์ในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ผู้คนได้นำมาซ่อนไว้ ในการขุดแต่ละครั้งจะได้ทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ก็ทำให้โบราณสถาน โบราณวัตถุ ถูกทำลายลง ทางการจึงจัดเจ้าหน้าที่ให้คอยดูแล และห้ามประชาชนขุดทรัพย์สินโดยพลการ ต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน จึงจะขุดได้ แต่ทางการก็จัดเก็บภาษีจากผู้ขุดด้วย นอกจากนั้น ทางการยังจะมีรายได้จากการติดต่อค้าขายจากต่างประเทศ โดยมีเรือจากต่างประเทศต่างๆ เข้ามาค้าขายมากมาย ไทยก็ส่งสำเภาหลวงถึงหนึ่งลำออกไปค้าขายด้วย ผลกำไรที่ได้จากการค้าขายนี้ ได้ช่วยบรรเทาเรื่องการเสียภาษีอากรของราษฎรได้มาก จึงทำให้สภาพสังคมในสมัยกรุงธนบุรีดีขึ้น
|
บอกชื่อเป็นภาษาไทยนะจ๊ะ