รัฐประหาร 2500 (การเมือง)
รัฐประหาร 2500 (การเมือง)
สถาบันพระปกเกล้า การรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 เป็นการรัฐประหารครั้งสำคัญ ที่ทำให้กลุ่มผู้นำรัฐบาลที่เคยมาจากคณะราษฎรสิ้นสุดลงอย่างสิ้นเชิงพร้อมกับเจตนารมณ์ของการปฏิวัติ 2475 การรัฐประหารครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูสถานภาพของกลุ่มอนุรักษ์นิยมภายหลังการปฏิวัติทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมวัฒนธรรมให้กลับมาสูงเด่นจนสามารถกลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในการเมืองไทยในปัจจุบัน สถานการณ์การเมืองไทยในช่วงปลายทศวรรษที่ 2490 นั้นเป็นห้วงเวลาที่ความขัดแย้งระหว่าง การเมืองสามเส้า ระหว่างรัฐบาล ตำรวจและกองทัพ หรือการเมือง 3 เส้า (The Triumvirate) ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงคราม-นายกรัฐมนตรี ได้ใช้ทั้ง 2 กลุ่มคานอำนาจระหว่างกันตลอดมาในรอบหลายปีเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ดังนั้น ทางออกจากปัญหาการเมืองสามเส้า ในความคิดของจอมพล ป. คือการทำให้คู่แข่งขันทั้งหมด คือ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ เดินไปบนเส้นทางการแข่งขันทางการเมืองด้วยกระบวนการเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินใจและลดการใช้กำลังรัฐประหารลง เนื่องจากอาจเป็นทางเลือกเดียวที่ดีที่สุด สำหรับจอมพล ป. นายกรัฐมนตรีที่ไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพหรือตำรวจอย่างเต็มที่ ในขณะที่การต่อสู้ระหว่างการเมืองสามเส้าดำเนินไป กลุ่มอนุรักษ์นิยมเริ่มทวีบทบาทมากขึ้นอีกจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มการเมืองสำคัญได้ ภายหลังการเดินทางกลับจากการเยือนต่างประเทศในปี 2498 จอมพล ป. ได้เริ่มต้นโครงการพัฒนาประชาธิปไตยขึ้น ด้วยการอนุญาตให้มีการเปิดการปราศรัยหรือ “การไฮด์ปาร์ค” ที่ท้องสนามหลวงและตามจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ จากนั้นได้มีการตราพระราชบัญญัติพรรคการเมือง 2498 ขึ้นเพื่อให้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองแข่งขันกัน พรรคการเมืองสำคัญๆ เช่น พรรคเสรีมนังคศิลา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเศรษฐกร พรรคเสรีประชาธิปไตย พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค พรรคชาตินิยม ฯลฯ จากนั้น รัฐบาลได้จัดการเลือกตั้ง 26 กุมภาพันธ์ 2500 การเลือกตั้งครั้งนี้ จอมพล ป. ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกด้วย ผลการเลือกตั้งรวมทั้งประเทศ ปรากฏว่า พรรคเสรีมนังคศิลา ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดถึง 83 ที่นั่ง พรรคประชาธิปัตย์ 28 ที่นั่ง พรรคเสรีประชาธิปไตย 11 ที่นั่ง พรรคธรรมาธิปัตย์ 10 ที่นั่ง พรรคเศรษฐกร 8 ที่นั่ง พรรคชาตินิยม 3 ที่นั่ง พรรคขบวนการไฮด์ปาร์ค 2 ที่นั่ง พรรคอิสระ 2 ที่นั่ง และ ผู้สมัครอิสระไม่สังกัดพรรค 13 ที่นั่ง รวม 160 ที่นั่ง