โรคในโลกนี้
ชื่อโรค
โรคลิชมาเนีย (Leishmaniasis)
อยู่ในกลุ่มโรคประเภท
ระบบห่อหุ้มร่างกาย (เป็นแผลผิวหนัง)
ระบบหมุนเวียนโลหิต เกิดโรคที่ไขกระดูก ต่อมน้ำเหลือง
ระบบทางเดินอาหาร (อวัยวะส่วนแรกของระบบนี้ คือ ปาก) เกิดโรคที่ตับ
ผู้ค้นพบ
Sir William Boog Leishman(6 พ.ย. 1865 - 2 มิ.ย. 1926)
พยาธิแพทย์ชาว สก๊อตผู้ค้นพบโปรโตซัว Leishmania donovani ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค Leishmaniasis ร่วมกับแพทย์ชาวอินเดีย Colonel Charles Donovan(1863-1951) นอกจากนี้เขายังคิดค้นเทคนิคการย้อมเชื้อที่เรียกว่า Leishman's stain อีกด้วย
Sir William Boog Leishman และ Colonel Charles Donovan
ที่มารูปภาพ http://www.stanford.edu/class/humbio103/ParaSites2006/Leishmaniasis/history.htm
ประวัติของโรค
โรคนี้พบได้ทั่วโรคทั้งเขตร้อน และแถบชิดเขตร้อนไม่น้อยกว่า 74 ประเทศ (WHO,1984) โรคนี้ระบาดอยู่ในจีน อินเดีย ตะว้นออกกลาง บริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แอฟริกาเหนือ อเมริกากลางและภาคเหนือของอเมริกาใต้ เขตปรากฏโรคทางภูมิศาสตร์ไม่ค่อยแน่นอน
โรคนี้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยผู้ที่กลับจากไปทำงานในประเทศที่มีโรคนี้อยู่แล้ว ผู้ป่วยรายแรกเป็นหญิงชาวปากีสถานตะวันออก และ๔งแก่กรรมด้วยโรคลิชมาเนียที่อวัยวะภายใน รายงานไว้ในพ.ศ. 2503 จนถึงพ.ศ. 2524 มีรายงานผู้ป่วยคนไทยเป็นโรคลิชมาเนียที่ผิวหนัง ปัจจุบันริ้นฝอยทรายซึ่งเป็นพาหะนำโรคก็พบได้หลายแห่งในประเทศไทย ซึ่งเป็นแมลงที่กัดกินเลือดคนและสัตว์ เมื่อดูดเลือดคนและสัตว์ที่ป่วยเป็นโรค ลิชมาเนีย ก็จะแพร่โรคไปสู่คนอื่นได้
สาเหตุการเกิดโรค
โรคลิชมาเนีย มีสาเหตุจากเชื้อโปรโตซัวในสกุลลิชมาเนีย (Leishmania) ซึ่งอยู่ในเซลล์เม็ดเลือดขาว (Macrophage) ของคน โดยเรียกระยะนี้ว่า amastigote และแพร่สู่คนอื่นโดยผ่านการกัดของแมลง “ริ้นฝอยทราย” ซึ่งหลังจากกินเลือดของผู้ป่วยแล้ว amastigote จะใช้เวลาประมาณ 4-15 วันเจริญเติบโตเป็นระยะ promastigote อาศัยอยู่ตรงบริเวณคอหอย เป็นโรคของสัตว์แต่แพร่สู่คนได้ (zoonosis) สัตว์รังโรคเป็นสัตว์กัดแทะจำพวก กระรอก กระแต หน งู สุนัข เป็นต้น
เชื้อลิชมาเนียในเม็ดเลือดขาว ริ้นฝอยทราย พาหะโรคลิชมาเนีย
ที่มารูปภาพ http://www.thaivbd.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=78&Itemid=42
อาการของโรค
เชื้อลิชมาเนียแต่ละชนิดก่อเกิดพยาธิสภาพร่างกายที่แตกต่างกัน
1.ประเภทก่อเกิดแผลที่ผิวหนังและเยื่อบุ (Cutaneous and Mucocutaneous leishmaniasis : CL and MCL)
Cutaneous leishmaniasis หรือเรียกอีกชื่อว่า Oriental sore โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง มี 2 ชนิด คือ ชนิดแผลผื่นเปียกในเขตชนบท (wet rural form ) เกิดจากเชื้อ L.major และชนิดแผลผื่นแห้งในเขตเมืองใหญ่ (dry urban form ) เกิดจากเชื้อ L.tropica เป็นโรคของคนแต่ถ่ายทอดสู่สัตว์ได้เช่นกัน
ที่มารูปภาพ http://www.thaivbd.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=78&Itemid=42
ส่วน Mucocutaneous leishmaniasis ลักษณะของโรคจะเป็นแผลตามรอบปากและจมูก มีหลายแบบขึ้นอยู่กับชนิดของตัวเชื้อโรคและความรุนแรงของโรค ชนิดที่เรียกว่า espundia ร้ายแรงที่สุด ตัวเชื้อโรคคือ L.brazilliensis ขนิดUtaไม่ร้ายแรงเท่ากับชนิดแรก ตัวเชื้อโรคคือ L.peruviana และชนิด Ulcer ไม่ร้ายแรง ตัวเชื้อโรคคือ L.mexican
เยื่อบุบริเวณปากและจมูกถูกทำลายจากเชื้อลิชมาเนีย
ที่มารูปภาพ http://www.thaivbd.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=78&Itemid=42
2.ก่อเกิดสภาพอวัยวะภายใน(Visceral leishmaniasis:VL)
เรียกอีกชื่อว่า Kala-azar หมายถึง “Black fever” เพราะเมื่อเป็นโรคนี้นาน ๆ จะทำให้ผิวหนังสีคล้ำขึ้น
ลักษณะทางคลินิก โรคชนืดนี้กระจายโดยทางกระแสเลิอดและเข้าไปอยู่ในmacrophageของตับ ไขกระดูกและต่อมน้ำเหลือง
อาการของโรคจะค่อยเป็น ค่อยไป อย่างช้า ๆ ระยะฟักตัวมีตั้งแต่สัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน (เฉลี่ยประมาณ 3-6 เดือน) เคยมีรายงานระยะฟักตัวนานถึง 9 ปี ระยะ 2-8 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ามีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย และมีอาการไม่สบายในท้อง อาจท้องเดิน ท้องผูก เบื่ออาหาร และปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ บางครั้งอาจมีไข้สูงขึ้นมาคล้ายเป็นมาลาเรีย ไข้อาจเป็นเวลา ชนิด intermittent, remittent และร่วมกับมีอาการท้องเดิน ไอแห้ง ๆ อาจมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกทางจมูก ไรฟัน มีจุดเลือดออกตามตัวและทางเดินอาหาร เป็นต้น หลังจากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียมากขึ้นเรื่อย ๆ และท้องอืด ท้องโต คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังแห้ง ตกสะเก็ด และจะกลายเป็นสีเทา ๆ โดยเฉพาะที่บริเวณมือหน้าเส้นกลางของหน้าท้อง petechia, ecchymosis และบวมได้ ม้ามจะโตมาก ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้ ม้ามนุ่มไม่เจ็บปวด และอาจโตมากจนถึงเชิงกราน ตับโต และบางรายจะมีต่อมน้ำเหลืองโตด้วย เลือดซีด เม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 4,000/ลบ.มม. เกล็ดเลือดกับอัลบลูมินต่ำ และมี polyclonal hypergammaglobulinemia สูงมากซึ่งเป็น lgG ภาวะแทรกซ้อนที่มักเกิดขึ้นร่วมด้วยคือ ปอดบวม กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็จะตาย ซึ่งมักจะตายจากภาวะแทรกซ้อน ซีดมาก หรือมีเลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้มากๆได้
บางรายผู้ป่วยมีอาการคล้ายจะหายไป แต่ต่อมามีอาการทางผิวหนัง เรียกว่า Post kala-azar dermal leishmaniasis เป็นตุ่มนูนและผื่นแดงเกิดขึ้น
ตับ ม้ามโตอาการที่เกิดกับอวัยวะภายใน
ที่มารูปภาพ http://www.thaivbd.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=78&Itemid=42
การตรวจวินิจฉัย
Cutaneous และ Mucocutaneous leishmaniasis สามารถตรวจดูแผลตามร่างกาย หารอยแมลงกัด ซักประวัติการเข้าไปยังพื้นที่แหล่งแพร่โรค ขูดแผลทำ stained smears หาเชื้อ หรือทำ PCR ส่วน Visceral leishmaniasis ใช้วิธี ELISA, IFAT, DAT, Formal-gel reaction เจาะไขกระดูก ต่อมน้ำเหลือง หรือ ตัดชิ้นเนื้อ ดูดของเหลวของ ตับ ม้าม มาทำ stained smear หรือเพาะเลี้ยงเชื้อแล้วฉีดเข้าสัตว์ทดลอง เป็นต้น
วิธีรักษา
การรักษาขึ้นอยู่กับประเภทและอาการของโรคมียารักษาเฉพาะโรค เช่น Pentaualent antimoniais หรือ Amphotericin B เป็นต้น หรือใช้ยาทา และผ่าตัด รวมทั้งการรักษาตามอาการ อย่างไรก็ตาม ยารักษาเฉพาะโรคนั้นมักจะมีอาการแทรกซ้อนมาก จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง และอยู่ในการดูแลของแพทย์ ปัจจุบันมียาเม็ดชนิดรับประทาน “Miltefosine “ซึ่งองค์การอนามัยโลกนำมาใช้กำจัดโรคลิชมาเนียในประเทศอินเดีย เนปาลและบังคลาเทศ
วิธีป้องกัน
1. โรคลิชมาเนียโดยเฉพาะประเภทที่มีคนเป็นรังโรคต้องดำเนินการค้นหาผู้ป่วยให้พบอย่างรวดเร็ว (active-case detection) แล้วให้การรักษา ส่วนสัตว์รังโรคก็ให้ควบคุมโรคในสัตว์หรือลดจำนวนรังโรคลงให้เร็วที่สุด
2. ประเทศไทยแม้ไม่มีรายงานว่าติดต่อแล้ว แต่ควรมีการเฝ้าระวังโรค เช่น แรงงานไทยทุกคนที่เดินทางกลับจากประเทศที่เป็นแหล่งแพร่โรคควรได้รับการตรวจร่างกายเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นโรคลิชมาเนียเนื่องจากผู้ป่วยมักไม่ทราบเพราะไม่มีอาการรุนแรง หรือโรคอาจหายเองได้ถ้าภูมิต้านทานดีขึ้น
3. กำจัดพาหะริ้นฝอยทรายกรณีโรคมีการระบาด ระยะแรกควรศึกษาหาข้อมูลชนิดพาหะริ้นฝอยทรายตามสถานที่สำคัญในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศเพื่อการเฝ้าระวังโรคนี้ในอนาคต
4. จัดการสิ่งแวดล้อมบริเวณบ้านเรือนให้สะอาด ไม่มีเศษอาหารตกค้างให้หนูมากินจนเป็นแหล่งอยู่อาศัย ไม่มีโพรงไม้ รูหนู กองขยะ กองไม้ กองหิน และสัตว์เลี้ยงควรอยู่ในตาข่ายถี่เวลากลางคืน
ประเทศไทยเปิดเสรีทางแรงงาน โดยให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำงานในประเทศได้โดยไม่ผิดกฎหมายอาจจะมีการนำโรคนี้หรือโรคอื่นเข้ามาในประเทศได้ รวมทั้งชาวไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีโรคแปลก หรือโรคที่รุนแรงถึงชีวิต ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการที่เข้มงวดและเคร่งครัดในเรื่องของการตรวจสุขภาพคนเหล่านี้อย่างจริงจังเพื่อประชาชนในชาติจะมีสุขภาพดีต่อไป
5.ถางหญ้า ถางป่ารอบบ้านให้โล่งเตียน เพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่ของริ้นฝอยทราย
6.กำจัดขยะมูลฝอย โดยการเผาหรือฝังดิน หากมีอาชีพกรีดยางหรือต้องเข้าไปหาของป่า ต้องสวมเสื้อผ้า ใส่รองเท้า ถุงเท้า ให้มิดชิด รวมทั้งทายาป้องกันแมลงกัด ก็จะป้องกันได้
7.นอนกางมุ้งป้องกันหรือติดมุ้งลวดที่บ้าน ซึ่งแมลงชนิดนี้ออกหากินในช่วงหัวค่ำ
สะท้อนความคิดเห็น
1.ทำไมถึงสนใจโรคนี้
โรคนี้น่าสนใจมากเป็นโรคที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แต่เป็นโรคที่ร้ายแรง ที่สำคัญโรคนี้ในประเทศไทยพบผู้ป่วยแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวที่จะศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลของโรคลิชมาเนีย และวิธีป้องกันต่างๆเพื่อให้ปลอดภัยจากโรค
2.คิดอย่างไรกับโรคนี้
โรคนี้เป็นโรคที่น่ากลัวมาก ผู้เป็นโรคอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เชื้อลิชมาเนียสามารถแพร่กระจายได้ อาจมาจากชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศ หรือปัจจัยอื่นๆ แต่ก็สามารถป้องกันได้หากเราใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและตัวเรา ให้สะอาดปลอดภัย ระวังลิ้นฝอยทรายกัดซึ่งเป็นพาหะของโรค
ริ้นฝอยทราย
ริ้นฝอยทราย เป็นแมลงอยู่ใน อันดับ Diptera วงศ์ Phebotomidae โดยเป็นแมลงที่มีขนาดเล็กประมาณ 2-3 มม. มีสีน้ำตาลและขนเต็มตัว เป็นแมลงที่บินได้ช้า ตอนกลางวันชอบหลบพักตัวอยู่ตามที่มืดและอับชื้น เฉพาะตัวเมียที่มีปากแบบแทงดูดกัดกินเลือดคน และอาจดูดกินเลือดสัตว์เลือดอุ่นอื่นๆ ด้วย โดยจะออกหากินในเวลากลางคืน ผู้ถูกกัดจะรู้สึกคล้ายกับถูกเข็มแทง หลังจากนั้นจะเกิดเป็นตุ่ม และเกิดอาการแพ้ถ้าถูกกัดบ่อยๆ ริ้นฝอยทรายจะเพาะพันธุ์ตามรอยแตกของบ้าน ใต้ก้อนหิน หรือโพรงไม้ ตามที่มืดชื้น วงจรชีวิตจากไข่จนถึงตัวเต็มวัยใช้เวลาประมาณ 21-60 วัน
ที่มาข้อมูล
http://www.geocities.com/burawatt/november/6.html
หนังสือ ชื่อ โรคเขตร้อน พิมพ์ครั้งที่ 2 กันยายน 2534 ชื่อผู้เขียน นิภา จรูญเวสม์
http://www.thaivbd.org/cms/index.php?option=com_content&task=view&id=78&Itemid=42
http://www.srisangworn.go.th/modules.php?op=modload&name=News&file=article&sid=964
http://webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_nih/a_nih_7_001c.asp?info_id=971
สวัสดีคะเป็นการนำเสนอข้อมลูที่ดีเลยทีเดียวคะ
โปรดช่วยประเมินงานให้หน่อยได้ไหมคะ