ความสัมพันธ์ประหว่างประเทศไทย-ฝรั่งเศสในสมัยอยุธยา
ฝรั่งเศสเข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยาในช่วงพุธศตวรรษที่ 23 หลังชาวยุโรปชาติอื่นๆ ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสเป็นระยะเวลาค่อนข้างสั้นเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเท่านั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงให้การต้อนรับคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเป็นอย่างดี นอกจากจะเผยแพร่คริสต์ศาสนาแล้ว พวกบาทหลวงยังทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างรัฐบาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับราชสำนักอยุธยา พ่อค้าฝรั่งเศสได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำการค้าที่กรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนคณะทูตระหว่างกัน คณะทูตของฝรั่งเศสชุดแรกเข้ามาใน พ.ศ. 2228 โดยมีเชอวาเลีย เดอ โชมอง เป็นราชทูต คณะทูตชุดที่ 2 เข้ามาใน พ.ศ. 2230 มีลาลูแบร์ เป็นราชทูต ส่วนคณะทูตของไทยที่เดินทางไปถึงฝรั่งเศสและมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือคือคณะทูตที่มี พระวิสุทธสุนทร ( โกษาปาน ) เป็นราชทูตได้เดินทางไปฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2229จุดมุ่งหมายหลักของฝรั่งเศสอยู่ที่การติดต่อการค้ากับไทย และพยายามโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชและคนไทยยอมรับนับถือคริสต์ศาสนานิการโรมันคาทอลิก แต่ฝ่ายไทยให้ความสนใจในเรื่องการค้าและความสัมพันธ์ทางการทูตมากกว่า ทั้งนี้ก็เพื่อถ่วงดุลอำนาจของฮอลันดา เนื่องจากฮอลันดาไม่ใจระบบการผูกขาดสินค้าของกรุงศรีอยุธยา จึงมีท่าทีแข็งกร้าวต่อกรุงศรีอยุธยาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเกิดความสับสนขึ้น เมื่อคอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีกของบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีมีบรรดาศักดิ์เป็นออกญาวิไชเยนทร์และเป็นคนใกล้ชิดของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในราชสำนักสนับสนุนให้กองทหารฝรั่งเศสเข้ามาประจำการที่บางกอกและมะริด เพื่อป้องกันการก่อกบฏของขุนนางไทย ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องค้ำประกันผลประโยชน์และอิทธิพลในราช-สำนักของฟอลคอนให้มั่นคงด้วย ในปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ขุนนางไทยรวมตัวกันต่อต้านฟอลคอนและฝรั่งเศส ขณะที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชประชวร เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยพระเพทราชาหัวหน้าขุนนางไทยได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง ฟอลคอนถูกประหาร กองทหารฝรั่งเศสถูกล้อมที่ป้อมเมืองบางกอก และถูกขับไล่ออกไปใน พ.ศ. 2231ความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสหยุดชะงักไปเป็นเวลา 15 ปี จึงได้เริ่มมีการติดต่อกันอีกครั้งแต่ความสัมพันธ์มิได้ก้าวหน้านัก เพราะอยุธยาระมัดระวังในการติดต่อกับต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ฝรั่งเศสต้องทำสงครามในยุโรป อย่างไรก็ตาม คณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสก็ยังคงเผยแผ่คริสต์ศาสนาที่กรุงศรีอยุธยา จนสิ้นสุดสมัยอยุธยาความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสไม่ได้มีผลเฉพาะทางด้านการค้าและการเมืองเท่านั้น แต่ศิลปวิทยาด้านต่างๆ ของฝรั่งเศสได้เผยแผ่ในอยุธยาด้วย โดยเฉพาะด้านสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมวิศวกร ชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบพระราชวังตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง บ้านหลวงรับราชทูตที่ลพบุรี สร้างและซ่อมแซมป้อมต่างๆ ทั้งที่ลพบุรีและบางกอกให้ได้มาตรฐานชองตะวันตก ส่วนทางด้านการทหาร นายทหารฝรั่งเศสได้เข้ามาฝึกกองทหารแบบยุโรป ขณะเดียวกันบาทหลวงฝรั่งเศสไดมีบทบาททางการใช้เครื่องมือดาราศาสตร์ เช่น กล้องส่องดูดาวแก่กลุ่มเจ้านายน้อย ถึงกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอดูดาวขึ้นที่ลพบุรี นอกจากนี้ยังมีแพทย์ชาวฝรั่งเศสซึ่งเข้ามารับราชการเป็นแพทย์หลวง ได้รักษาคนป่วยด้านการผ่าตัดอย่างไรก็ตาม วิทยาการเหล่านี้ไม่ได้มีการสานต่อความรู้ให้สืบทอดต่อมา เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในตอนปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อขุนนางและข้าราชการไทยได้ปลุกระดมราษฎรให้ต่อต้านอิทธิพลของฝรั่งเศสในราชสำนักอย่างรุนแรง ราชสำนักอยุธยาจึงมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการติดต่อกับต่างประเทศ และแม้ว่าคณะบาทหลวงชาวฝรั่งเศสจะได้รับอนุญาตให้อยู่ที่กรุงศรีอยุธยาต่อไปได้ แต่ก็ถูกควบคุมเข้มงวดจากราชสำนัก ศิลปะวิทยาการต่างๆ ที่ฝรั่งเศสนำมาเผยแพร่จึงสะดุดลง
ขาดแหล่งอ้างอิง และชื่อผู้สร้าง