บทคัดย่อโครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การศึกษาวิธีการเก็บรักษาความสดของผักแบบประหยัดพลังงาน
รายวิชา ว30203 โครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
คณะผู้จัดทำ
1. ด.ช. สุรธัช พุทธพงษ์ เลขที่ 16 ชั้น ม. 3/2
2. ด.ช. ธีรดล วงศาโรจน์ เลขที่ 17 ชั้น ม. 3/2
3. ด.ญ. จิราภรณ์ งามเถื่อน เลขที่ 22 ชั้น ม. 3/2
4. ด.ญ. อาลิซ่า มูจอนลี เลขที่ 31 ชั้น ม. 3/2
อาจารย์ที่ปรึกษา นางจันทิมา สุขพัฒน์
สถานศึกษา โรงเรียนวัดราชาธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การศึกษาวิธีการเก็บรักษาความสดของผักแบบประหยัดพลังงาน จัดทำขึ้นเพื่อหาวิธีการเก็บรักษาความสดของผัก โดยไม่ใช้ตู้เย็นซึ่งเป็นการช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้า และเป็นการสนองตอบต่อแนวพระราชดำรัสปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งในการทดลองกลุ่มของข้าพเจ้าเลือกทดลองกับผักที่เหี่ยวและเสียง่าย ได้แก่ มะเขือเทศ พริกสด โดยนำโอ่งดินเผาขนาดเท่าๆ กัน มา 4 ใบ ใบที่ 1 ใส่ดิน 500 กรัม และน้ำ 500 กรัม ใบที่ 2 ใส่ทราย 500 กรัม และน้ำ 500 กรัม ใบที่ 3 ใส่น้ำ 500 กรัม และใบที่ 4 ไม่ใส่อะไรเลย จากนั้นนำผ้าขาวบางมาปิดปากโอ่งโดยให้มีลักษณะเป็นถุงย้อยลงไปในโอ่ง ห่างจากระดับน้ำ 1 นิ้ว คัดเลือกพริกสดและมะเขือเทศ ที่มีขนาดและน้ำหนักเท่าๆ กัน นำพริกสดใส่ในโอ่งทั้ง 4 ใบๆ ละ 5 เมล็ด และใส่มะเขือเทศลงไปในโอ่งใบละ 5 ลูก ตั้งทิ้งไว้ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน เป็นเวลา 15 วัน จากผลการทดลองพบว่า พริกสดที่เก็บในโอ่งเปล่า จะคงความสดได้มากที่สุด รองลงมาเป็นโอ่งดินชุ่มน้ำ โอ่งทรายชุ่มน้ำและโอ่งน้ำ ตามลำดับ ส่วนมะเขือเทศที่เก็บในโอ่งดินชุ่มน้ำ จะสามารถเก็บรักษาความสดไว้ได้นานที่สุด รองลงมาเป็น โอ่งน้ำ โอ่งทรายชุ่มน้ำ และโอ่งเปล่า ตามลำดับ ดังนั้นผลการทดลองสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ความสดของผักขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุในโอ่งเก็บรักษาความสด
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง เตาเผาขยะลดปัญหาภาวะโลกร้อน
รายวิชา ว30203 โครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
คณะผู้จัดทำ
1. ด.ช. นวพันธ์ นันชัยศิลป์ เลขที่ 2 ชั้น ม. 3/2
2. ด.ช. ณัฐวุฒิ สงบวาจา เลขที่ 7 ชั้น ม. 3/2
3. น.ส. ชนาภา เผือกวัฒนะ เลขที่ 32 ชั้น ม. 3/2
4. น.ส. อารยา ปรีชานนท์ เลขที่ 36 ชั้น ม. 3/2
5. น.ส. สาธินี สาดบุญสร้าง เลขที่ 39 ชั้น ม. 3/2
อาจารย์ที่ปรึกษาและที่ปรึกษาพิเศษ นางจันทิมา สุขพัฒน์ และ นายสมชาย กาแก้ว
สถานศึกษา โรงเรียนวัดราชาธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง เตาเผาขยะลดปัญหาภาวะโลกร้อน ได้จัดทำขึ้นเพื่อประดิษฐ์เตาเผาขยะซึ่งสามารถขจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และกลิ่นควันจากการเผาขยะ ขึ้นใช้ในครัวเรือน โดยนำ ถังเหล็กขนาด 15 ลิตร มาประดิษฐ์เป็นเตาเผา ซึ่งด้านบนของเตาเผาบรรจุถ่านหุงต้มไว้ โดยให้ชั้นของถ่านห่างจากบริเวณจุดไฟเผาขยะ 1 ฟุต และด้านบนสุดต่อเชื่อมกับท่อนำก๊าซ เพื่อให้ควันและก๊าซที่เกิดจาก การเผาขยะลอยออกทางท่อไปผ่านถังน้ำปูนใส ส่วนด้านข้างถังเจาะฝาปิดเปิดเตาเผา จากการทดลองเผาขยะจากครัวเรือน 4 ชนิด คือ เศษใบไม้ กระดาษ พลาสติก และเศษไม้ต่างๆ แล้ววัดปริมาณตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนตที่เกิดขึ้นในน้ำปูนใส พบว่าขยะแต่ละชนิดจะให้ปริมาณตะกอนแคลเซียมคาร์บอเนตแตกต่างกัน แสดงว่าขยะแต่ละชนิดให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ต่างกัน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ เศษไม้ พลาสติก เศษใบไม้ และกระดาษตามลำดับ และเมื่อผ่านคาร์บอนไดออกไซด์ลงในน้ำปูนใส ปรากฏว่าน้ำปูนใสมีค่า pH เปลี่ยนไป โดยขยะประเภทเศษไม้ ทำให้ค่า pH ของน้ำปูนใสเปลี่ยนไปมากที่สุด รองลงมาเป็น เศษใบไม้แห้ง พลาสติก และกระดาษ ตามลำดับ ส่วนกลิ่นควันในขณะเผา ในการเผาขยะทุกประเภท ไม่มีกลิ่นออกมาจากเตาเผา นั่นแสดงว่า เตาเผาขยะ ที่สร้างขึ้นสามารถกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นตัวการหลักในการเกิดวิกฤติการณ์ภาวะโลกร้อนได้ สรุปได้ว่า ผลการทดลองสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ชนิดของขยะต่างกันปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาและการเปลี่ยนแปลงค่า pH ของ น้ำปูนใสจะต่างกัน
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง อ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม
รายวิชา ว30203 โครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
คณะผู้จัดทำ
1. ด.ช. นรากร ไผ่พูล เลขที่ 11 ชั้น ม. 3/1
2. ด.ช. ภาณุวัส ทิพย์รัตน์ เลขที่ 16 ชั้น ม. 3/1
3. ด.ญ. สิริขวัญ เจนวิริยะไพบูลย์ เลขที่ 23 ชั้น ม. 3/1
4. ด.ญ. อัญชลี วงษ์เอี่ยม เลขที่ 30 ชั้น ม. 3/1
5. ด.ญ. ญาดา โพธิเสถียร เลขที่ 43 ชั้น ม. 3/1
อาจารย์ที่ปรึกษาและที่ปรึกษาพิเศษ นางจันทิมา สุขพัฒน์ , นางสาวสมศรี เจ็งไพจิตร
สถานศึกษา โรงเรียนวัดราชาธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
คณะผู้จัดทำโครงงานได้จัดทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง “ อ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม ” โดยมีวัตถุประสงค์ของการจัดทำเพื่อบำบัดน้ำเสียที่เหลือทิ้งจากการล้างจานให้มีคุณภาพดีขึ้นก่อนที่จะปล่อยลงสู่แม่น้ำลำคลอง ซึ่งน้ำทิ้งเหล่านี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดน้ำเน่าเสีย และสัตว์น้ำตายเป็นจำนวนมาก โดยคณะผู้จัดทำได้สร้างตัวอ่างล้างจานสูงประมาณ 110 เซนติเมตร ส่วนด้านล่างของตัวอ่างล้างจานมีชั้นสำหรับวางชุดกรองน้ำจากเส้นใยพืช โดยใช้เส้นใยผักตบชวาสด ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดซับไขมันที่ปนเปื้อนมากับน้ำที่เหลือทิ้งจากการล้างจาน และชั้นที่สองเป็นชั้นสำหรับวางชุดเครื่องกรองน้ำอย่างง่ายซึ่งมีคุณสมบัติทำให้น้ำเสียที่ผ่านไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีตะกอน จากการทดลองพบว่า น้ำทิ้งจากการล้างจานหลังผ่านการกรองด้วยอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม มีคุณภาพ ดีขึ้น สังเกตได้จากการเปรียบเทียบคุณภาพน้ำทิ้งจากการล้างจานก่อนผ่านและหลังผ่านการบำบัดด้วยอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม ปรากฏว่า นำทิ้งหลังผ่านการกรองด้วยอ่างล้างจานรักษาสิ่งแวดล้อม มีลักษณะใส ไม่มีสี ไม่มีตะกอนปนเปื้อนในน้ำ มีกลิ่นคาวอาหารน้อยมาก ไม่พบสารอาหารปนเปื้อนในน้ำ มีสมบัติเป็นกลาง และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสามารถดำรงชีวิตอยู่ในน้ำได้
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การศึกษาประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ EM ที่มีต่อการบำบัดน้ำเสีย
รายวิชา ว30203 โครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
คณะผู้จัดทำ
1. ด.ช. บุรินทร์ ทองประดิษฐ์ เลขที่ 13 ชั้น ม. 3/1
2. ด.ช. พิชัย นุ่มนวล เลขที่ 15 ชั้น ม. 3/1
3. ด.ช. คมกริช จินดากุล เลขที่ 21 ชั้น ม. 3/1
อาจารย์ที่ปรึกษา นางจันทิมา สุขพัฒน์
สถานศึกษา โรงเรียนวัดราชาธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
โครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทการทดลอง เรื่อง การศึกษาประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ EM ที่มีต่อการบำบัดน้ำเสีย จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ EM ในการบำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยทำการผสมจุลินทรีย์ EM ในอัตราส่วนจุลินทรีย์ EM 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร ต่อน้ำ 10 ลิตร หมักทิ้งไว้เป็นเวลา 7 วัน จากนั้นนำไปบำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยนำ จุลินทรีย์ EM ที่หมักไว้ไปเทในแหล่งน้ำธรรมชาติพร้อมกัน 10 จุดๆ ละ 10 ลิตร ทำการตรวจสอบคุณภาพ ได้แก่ ลักษณะสี กลิ่น ความขุ่น และค่า pH ของน้ำก่อนบำบัดและหลังบำบัด จากผลการทดลองซ้ำ 3 ครั้ง พบว่า น้ำเสียในแหล่งน้ำมีคุณภาพดีขึ้น มีความเข้มสีลดลง ไม่มีกลิ่นเหม็น ความขุ่นของน้ำลดลง ค่า pH ใกล้เป็นกลางมากขึ้น ตามลำดับ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า จุลินทรีย์ EM สามารถบำบัดน้ำเสียในแหล่งน้ำธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ถ้าจุลินทรีย์ EM มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ ดังนั้น น้ำเสียในแหล่งน้ำธรรมชาติจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อบำบัดด้วยจุลินทรีย์ EM
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การศึกษาชนิดของไส้กรองที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการกรองน้ำของเครื่องกรองน้ำ ชนิดพกพา
รายวิชา ว30203 โครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
คณะผู้จัดทำ
1. ด.ช. ณัฐกิจ ปัญจศรีพัฒน์ เลขที่ 8 ชั้น ม. 3/1
2. ด.ช. ศิรพัฒน์ กุหลาบเพชร เลขที่ 20 ชั้น ม. 3/1
3. ด.ช. นนทนันท์ สายเป้า เลขที่ 22 ชั้น ม. 3/1
อาจารย์ที่ปรึกษา นางจันทิมา สุขพัฒน์
สถานศึกษา โรงเรียนวัดราชาธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง เครื่องกรองน้ำชนิดพกพา จัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้ที่ชอบเดินทางไกล หรือชอบกิจกรรมเดินป่า ได้ดื่มน้ำที่ปลอดจากตะกอนดิน และสารจำพวกแคลเซียม โดยการประดิษฐ์เครื่องกรองขนาดเล็กต้นทุนต่ำ โดยในไส้กรองใช้สาร Mn , C และ เรซิน ในปริมาณต่างๆ และทำการเปรียบเทียบระหว่างใยแก้วกับใยสังเคราะห์ชนิดอื่นๆ จากผลการทดลองพบว่า อัตราส่วนที่ดีที่สุด คือ อัตราส่วน 1:1:1 และใยแก้วจะสามารถกรองตะกอนได้ดีกว่าใยสังเคราะห์ชนิดอื่นๆ โดยน้ำมีลักษณะใส เมื่อทดสอบด้วยน้ำยาสำหรับตรวจสอบปริมาณแคลเซียมและสารปนเปื้อนในน้ำพบว่าน้ำมีคุณภาพดี สามารถใช้ในการบริโภคได้
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การศึกษาความนิยมในการบริโภคต้มยำรวมมิตรที่ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของสารสกัดจากตะไคร้กับใบมะกรูด
รายวิชา ว30203 โครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
คณะผู้จัดทำ
1. ด.ช. สุชา เคหะอุทัย เลขที่ 4 ชั้น ม. 3/2
2. ด.ญ. พนิดา ลาดเหลา เลขที่ 20 ชั้น ม. 3/2
3. ด.ญ. ชโลทร แจงบำรุง เลขที่ 24 ชั้น ม. 3/2
4. ด.ญ. อลิส สุดทะสิน เลขที่ 41 ชั้น ม. 3/2
อาจารย์ที่ปรึกษา นางจันทิมา สุขพัฒน์
สถานศึกษา โรงเรียนวัดราชาธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
จากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การศึกษาความนิยมในการบริโภคต้มยำรวมมิตรที่ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนของสารสกัดจากตะไคร้กับใบมะกรูด จัดทำขึ้นเพื่อหาอัตราส่วนที่เหมาะสมระหว่างสารสกัดจากตะไคร้และใบมะกรูดที่ใช้ในการทำต้มยำรวมมิตร ซึ่งเป็นการสะดวกและรวดเร็วสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง โดยการนำตะไคร้และใบมะกรูดในอัตราส่วน 1:1 , 1:2 , 1:3 , 2:1 และ 3:1 มาสกัดกลิ่นด้วยวิธีการกลั่นด้วยน้ำ แล้วเก็บสารที่ระเหยด้วยวิธีการควบแน่น ใส่ขวดปิดฝาแยกไว้ในแต่ละอัตราส่วน นำไปเก็บไว้ในตู้เย็น จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ไปปรุงต้มยำรวมมิตรในปริมาณที่เท่าๆ กัน ผลปรากฏว่า ผู้บริโภคชอบต้มยำรวมมิตรที่ใส่สารสกัดระหว่างตะไคร้กับใบมะกรูดในอัตราส่วน 1: 2 รองลงมาเป็น อัตราส่วน 1:1 ส่วนอัตราส่วนที่ 1:3 กลิ่นใบมะกรูดมากเกินไปแทบจะได้กลิ่นตะไคร้ สำหรับอัตราส่วน 2:1 และ 3:1 นั้นกลิ่นตะไคร้เด่นเกินไป จากการทดลองเก็บสารสกัดไว้ในตู้เย็นช่องปกติปรากฏว่าสามารถเก็บสารสกัดนี้ไว้ได้นาน 3 วัน เมื่อเลยเวลา 3 วันกลิ่นของสารสกัดจะเปลี่ยนไป
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การศึกษาความเข้มข้นของแป้งมันสำปะหลังที่มีผลต่อประสิทธิภาพของสีแป้งมันสำปะหลัง
รายวิชา ว30203 โครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
คณะผู้จัดทำ
1. ด.ญ. ภัทราวรรณ กิจวิริยะ เลขที่ 24 ชั้น ม. 3/1
2. ด.ญ. พัชรี บุญมานะ เลขที่ 27 ชั้น ม. 3/1
3. ด.ญ. กมลนัทธ์ มโนมัยเสาวภาคย์ เลขที่ 31 ชั้น ม. 3/1
4. ด.ญ. ธาริณี เหมือนมี เลขที่ 37 ชั้น ม. 3/1
5. ด.ญ. อาภาภรณ์ ผ่องสกุล เลขที่ 41 ชั้น ม. 3/1
อาจารย์ที่ปรึกษา นางจันทิมา สุขพัฒน์
สถานศึกษา โรงเรียนวัดราชาธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การศึกษาความเข้มข้นของแป้งมันสำปะหลังที่มีต่อประสิทธิภาพของสีแป้งมันสำปะหลัง จัดทำขึ้นเพื่อใช้ทดแทนสีโปสเตอร์ที่มีขายตามท้องตลาด ซึ่งมีราคาแพง ในการทดลองนี้ ได้นำแป้งมันสำปะหลังมาทำเป็นเนื้อสีโดยพบว่า อัตราส่วนระหว่างแป้งมันสำปะหลังต่อน้ำที่เหมาะสมในการทาสีบนกระดาษ คือ อัตราส่วน 1 : 12 อัตราส่วนเนื้อสีต่อสีผสมอาหารในการทาบนกระดาษ คือ อัตราส่วน 1 : 1 ซึ่งได้สีแป้งเปียกที่คงทนและมีสีสันสวยงามมากที่สุด
บทคัดย่อ
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง วุ้นสมุนไพร
รายวิชา ว30203 โครงงานวิทยาศาสตร์ ปีการศึกษา 2550
คณะผู้จัดทำ
1. ด.ช. คมสันต์ นามวิชา เลขที่ 1 ชั้น ม. 3/2
2. ด.ญ. ภัทราพร จุลศรี เลขที่ 25 ชั้น ม. 3/2
3. น.ส. เมธาวี หนีเมืองนอก เลขที่ 26 ชั้น ม. 3/2
4. น.ส. วิลันดา คงถัน เลขที่ 27 ชั้น ม. 3/2
5. น.ส. สุพรรษา กิตติสุขเจริญ เลขที่ 29 ชั้น ม. 3/2
อาจารย์ที่ปรึกษา นางจันทิมา สุขพัฒน์
สถานศึกษา โรงเรียนวัดราชาธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1
โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง วุ้นสมุนไพร ได้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความนิยมในการบริโภควุ้นสมุนไพร ซึ่งทำการทดลองโดย นำตะไคร้ กระชาย และใบเตย มาอย่างละ 1 กิโลกรัม นำสมุนไพรแต่ละชนิดมาปั่นกับน้ำกรองด้วยผ้าขาวบางแยกน้ำไว้ นำน้ำ 8 ถ้วยตวงใส่ในหม้อยกขึ้นตั้งไปรอจนเดือด ใส่ผงวุ้น 1 ช้อนชา เคี่ยวจนผงวุ้นละลายจนหมด ใส่น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง คนให้ละลาย จากนั้นเติมน้ำสมุนไพรที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อต้มรอจนเดือดจึงยกลงเทใส่แม่พิมพ์ โดยการทำวุ้นสมุนไพรทีละชนิด จากนั้นนำวุ้นสมุนไพรที่ได้ไปให้บุคคลโดยทั่วไปชิม พบว่า ผู้บริโภคชอบรับประทานวุ้นกระชายมากที่สุด ซึ่งผลการทดลองไม่สนับสนุนสมมติฐานที่ว่า ถ้าชนิดของสมุนไพรต่างกันความนิยมในการบริโภควุ้นสมุนไพรจะต่างกัน ดังนั้นวุ้นตะไคร้น่าจะเป็นที่นิยมในการบริโภคมากกว่าวุ้นใบเตย และวุ้นกระชายตามลำดับ กล่าวคือ จากการทดลองนำวุ้นสมุนไพรไปให้นักเรียนโรงเรียนวัดราชาธิวาส ครู – อาจารย์ และแม่ค้าของโรงเรียนชิม ปรากฏว่า วุ้นกระชาย เป็นวุ้นที่มีคนนิยมบริโภคมากที่สุด รองลงมาเป็นวุ้นตะไคร้ และวุ้นใบเตย ตามลำดับ