เครื่องบิน แบบที่ 20 ของกองทัพอากาศไทย
กว่าจะมาเป็น เครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ แห่งกองทัพอากาศไทย
..................................โดย พ.อ.อ.รัชต์ รัตนวิจารณ์
............................................................................................................................
เมื่อครั้งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อปี ๒๕๔๐ จนเป็นผลให้โครงการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ F/A-18 C/D จำนวน ๘ เครื่อง ว่าที่เครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ “บ.ข.๒๐” มีอันต้องยกเลิกโครงการลงทั้งๆที่เราได้จ่ายเงินมัดจำไปจำนวนหนึ่งแล้ว...ด้วยความจำเป็นของสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจของประเทศ และแม้ว่าความต้องการในการจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบใหม่เพื่อมาทดแทนเครื่องบินขับไล่ที่ปลดประจำการไปก่อนปี ๒๕๓๗ จะมีความจำเป็นอย่างสูงก็ตามที แต่ด้วยเหตุแห่งสภาวะเศรษฐกิจตามที่กล่าวข้างตน กองทัพอากาศจึงได้ชะลอโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะดีขึ้น
นับตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ เป็นต้นมา กองทัพอากาศได้ตั้งโครงการที่จะจัดหาเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ทดแทนเครื่องบิน F-5 เพื่อจัดเตรียมไว้ทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบ F-5 B/E ฝูงบิน ๗๐๑ กองบิน ๗ ที่มีแผนจะปลดประจำการในปี ๒๕๕๐ แต่เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นว่าสถานภาพการเงินและงบประมาณของประเทศยังไม่พร้อม กองทัพอากาศ จึงชลอโครงการนี้ไว้ก่อน และแม้ว่าจะยังไม่มีโครงการจัดซื้อแต่ในช่วงหลายปีนั้นกองทัพอากาศก็ได้ทำการศึกษาเรื่องของเครื่องบินขับไล่ชั้นนำแบบต่างๆ เพื่อเป็นโครงการจัดหาในอนาคตเมื่อมีงบประมาณพอเพียง
ในอดีตนั้นอาจจะมองว่ากองทัพอากาศจัดหาแต่เครื่องบินรบจากสหรัฐอเมริกาเพียงชาติเดียว ความจริงแล้วเมื่อก่อนนั้นเครื่องบินขับไล่ที่ผลิตโดยสหรัฐอเมริกานั้นจัดได้ว่าเป็นเครื่องบินขับไล่ที่มีสมรรถนะสูงเชื่อถือได้ทั้งการบินการปฏิบัติการรบ ระบบอาวุธ และระบบการส่งกำลังบำรุง ปัจจุบันชาติต่างๆ ในโลกมีศักยภาพในการสร้างเครื่องบินขับไล่ไม่แพ้สหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส รัสเซีย สวีเดน ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งจีนเอง ตรงนี้เองเราก็มามองว่าในขณะนั้นเรามีความต้องการเครื่องบินระดับไหน กองทัพอากาศมีความต้องการเครื่องบินขับไล่ในยุคที่ ๔.๕ ส่วนในยุคที่ ๕ นั้นมันเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งสหรัฐอเมริกาเองก็ยังอยู่ในระหว่างการประจำการและการพัฒนาไปพร้อมๆกัน เช่น เครื่องบินแบบ F-22
สำหรับเครื่องบินในยุค ๔.๕ นี้ได้กำหนดคุณลักษณะไว้ ๔ ประการคือ Stealth, Strike-Precision , Stand Off/Fire Forget และ Situation Awareness – Network Centric อุปกรณ์เครื่องวัดเป็นแบบดิจิตอล Glass cockpit, เรดาร์ตรวจจับระยะไกลแบบ Active phased array วัสดุพื้นฐานผิวและโครงสร้างเป็นแบบวัสดุผสม Composite แผนแบบด้วยเทคโนโลยีล่องหน (Stealth) ติดตั้งระบบปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลางหรือ Network Centric Operations : NCO สามารถติดต่อระหว่างเครื่องบินกับภาคพื้นดิน พื้นน้ำ กับศูนย์บัญชาการ และควบคุม ข้อมูลถูกส่งผ่านได้ตลอดทั่วถึงกันทั้งเครือข่ายในเวลาพร้อมกัน เป็นการทวีอำนาจกำลังรบ (Force multiplier) มีกำลังน้อยเหมือนมีกำลังมาก ตอบสนองต่อการป้องกันประเทศ การป้องกันภัยทางอากาศ การรบร่วมกับหน่วยภาคพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับเครื่องบินที่อยู่ในกลุ่มนี้ประกอบด้วย เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 C/D ของสหรัฐฯ เครื่องบินขับไล่ Su-30 ของรัสเซีย เครื่องบินขับไล่ Jas-39 ของสวีเดน และเครื่องบินขับไล่แบบราฟาล ของฝรั่งเศส
กองทัพอากาศได้ตั้งคณะกรรมขึ้นมาพิจารณาในการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทนเครื่องบิน F-5 B/E โดยคณะกรรมการเหล่านี้จะทำการศึกษาข้อมูลของเครื่องบินแบบต่างๆ โดยละเอียดในทุกด้านที่เกี่ยวข้อง เช่น ความต้องการด้านการใช้ปฏิบัติภารกิจ ความเหมาะสมตามสภาพภูมิยุทธศาสตร์ การฝึกอบรม การซ่อมบำรุง การจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค อาคารสถานที่ โดยได้กำหนดความต้องการของกองทัพอากาศ ออกเป็น ๔ ประการคือ
๑.ต้องมีสมรรถนะและเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถพัฒนาอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคต มีขีดความสามารถทัดเทียมหรือไม่ด้อยกว่าเครื่องรบที่มีประจำการหรือกำลังนำเข้าประจำการใหม่รอบบ้านของไทย
๒. มีความเหมาะสมตามสภาพภูมิยุทธศาสตร์ในการวางกำลังทางภาคใต้ในภารกิจป้องกันภัยทางอากาศ สามารถสนับสนุนและปฏิบัติการร่วมกับเหล่าทัพอื่นตลอดจนคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
๓. เป็นพื้นฐานในการพัฒนากองทัพอากาศในด้านต่างๆ ต่อไป ทั้งบุคลากรการถ่ายทอดเทคโนโลยีของอากาศยาน การฝึกศึกษา เพื่อให้สามารถดูแลและบำรุงรักษาได้บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง โดยได้รับ Source Code Data ซึ่งหมายถึง รหัสข้อมูลต้นแบบซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของอากาศยาน ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบอาวุธ ระบบการซ่อมบำรุง และอื่นๆ จะช่วยให้บุคลากรของกองทัพอากาศได้พัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีต่อไป ในอนาคตได้ด้วยตนเอง
๔. สามารถพัฒนาระบบบัญชาการและควบคุม ตลอดจนระบบควบคุมและแจ้งเตือน ซึ่งเป็นความต้องการหลักและจำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติการทางอากาศ การปฏิบัติการร่วมระหว่างเหล่าทัพเพื่อการป้องกันประเทศและคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
ซึ่งเครื่องบินที่มีขีดความสามารถที่ต้องการสำหรับเครื่องบินรบในยุคที่ ๔.๕ และราคาเหมาะสมสามารถจัดซื้อได้ตามสภาพงบประมาณของประเทศ มีพิจารณาได้ ๓ แบบ คือ F-16C/D จากสหรัฐฯ , Su-30 MK จากรัสเซีย และ Gripen 39 C/D จากสวีเดน กองทัพอากาศได้ทำการศึกษาประเมินค่าเครื่องบินทั้งสามแบบ โดยคณะกรรมการที่กองทัพอากาศตั้งขึ้นนั้น นอกจากจะพิจารณาด้านข้อมูลต่างๆแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเดินทางไปดูงานเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริง ณ ประเทศผู้ผลิต และนักบินลองเครื่องของกองทัพอากาศ ยังได้ขึ้นทำการทดสอบบินเพื่อประเมินค่าของเครื่องบินขับไล่ทั้งสามแบบด้วย และผลการศึกษาในหลายๆด้านสรุปได้ว่า
Su-30 MK เป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีขนาดใหญ่ บรรทุกอาวุธได้มากเหมาะสำหรับการโจมตีข้ามทวีปหรือประเทศที่มีขนาดใหญ่อย่างรัสเซีย จึงมีจุดอ่อนในการตรวจจับได้ง่ายจากระยะไกลเนื่องจากขนาดของเครื่องบิน ต้องจัดซื้อระบบซ่อมบำรุงและอาวุธใหม่ทั้งหมด ต้องเตรียมสร้างอาคารสถานที่ โรงเก็บ โรงซ่อม ซองจอด ใหม่ทั้งหมด การใช้งานมีอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ในเกณฑ์สูงมาก โครงสร้างเครื่องยนต์มีวงรอบการตรวจซ่อมถี่ อาวุธมีอายุสั้น เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งาน (Life Cycle Cost) อยู่ในเกณฑ์สูงสุดเมื่อเทียบกับเครื่องบินอีกสองแบบ
F-16 C/D เป็นเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ขนาดกลาง มีขีดความสามารถด้านปฎิบัติการทางอากาศและโจมตีภาคพื้นดิน อัตราความสิ้นเปลืองอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ระบบการส่งกำลังบำรุงสามารถใช้จาก F-16 A/B ที่กองทัพอากาศใช้งานอยู่ เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงมีความคุ้นเคย แต่การซ่อมบำรุงและการใช้งานบางส่วน มีเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายตลอดเวลาการใช้งาน จำกัดด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ขีดความสามารถและอาวุธที่ต้องการหากจัดซื้อจะได้เพียงเครื่องบินและขีดความสามารถบางส่วน
GRIPEN 39 C/D เป็นเครื่องบินที่มีขีดความสามารถเทียบเท่าเครื่องบินในยุค ๔.๕ แบบอื่นๆ ออกแบบมาเพื่อใช้ป้องกันและตอบโต้กับกลุ่มประเทศ Warsaw Pact ในยุคสงครามเย็น ระบบอาวุธและการซ่อมบำรุง ตามมาตรฐาน NATO มีความอ่อนตัว คล่องตัวในการใช้งานและสภาพภูมิประเทศที่จำกัด ข้อเสนอหลักประกอบด้วยเครื่องบินรบ เครื่องบินในระบบบัญชาการและควบคุมพร้อมเทคโนโลยีทั้งระบบของกำลังทางอากาศสมัยใหม่ ให้การถ่ายทอดเทคโนโลยี การซ่อมบำรุง และการฝึกศึกษาด้านเทคโนโลยี
ปัจจุบันในหลายกองทัพอากาศให้ความสนใจในการจัดหาเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ หรือ Multi-Role Combat Aircraft มากขึ้น เพราะเครื่องบินแบบเดียวสามารถสนองตอบต่อภารกิจต่างๆของกองทัพอากาศนั้นๆได้ โดยไม่ต้องมีการจัดซื้อจัดหาอากาศยานมากแบบ เป็นผลดีต่อการซ่อมบำรุง และประหยัดงบประมาณ ความจริงแล้วในส่วนกองทัพอากาศของเราก็เริ่มปรับเปลี่ยนการจัดหาอากาศยานรุ่นใหม่มาเป็นเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์แบบ F-16 มาก่อนแล้ว
Multi-Role Combat Aircraft นั้นจะมีหลากหลายในภารกิจ คือสามารถเป็นทั้งเครื่องบินขับไล่สกัดกั้น เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดและเครื่องบินลาดตระเวน
สำหรับ JAS-39 ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ได้รับการออกแบบมาให้เป็น เครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ โดยชื่อของมัน อักษร J มาจากคำในภาษาสวีเดนว่า Jakt หรือ Fighter ในภาษาอังกฤษ ซึ่งหมายถึง “เครื่องบินขับไล่” อักษร A มาจากคำว่า Attack หรือ “เครื่องบินโจมตี” และ อักษร S มาจากคำว่า Spaning หรือ Reconnaissance หรือ “เครื่องบินลาดตระเวน”
JAS-39 Gripen ถูกออกแบบมาให้มีความอ่อนตัวสามารถใช้ในหลากหลายภารกิจ เช่น ภารกิจอากาศสู่อากาศ สามารถปฏิบัติการในภารกิจ
- ตอบโต้ทางอากาศเชิงรุก (Offensive Counter Air ; OCA)
- ตอบโต้ทางอากาศเชิงรับ (Defensive Counter Air ; DCA)
- ลาดตระเวนรักษาเขต (Combat Air Patrol) นาน ๒.๔ ชั่วโมง
- สกัดกั้นด้วยความเร็วเหนือเสียง (Subsonic Intercept) รัศมีปฏิบัติการ ๕๐๐ ไมล์ทะเล
- กวาดล้างทางอากาศ (Fighter Sweep)
- คุ้มครองทางอากาศ (Force Protection sub-roles)
ภารกิจอากาศสู่พื้น โดยสามารถติดตั้งอาวุธภายนอกน้ำหนักสูงสุด ๑๑,๔๐๐ ปอนด์ บรรทุกระเบิดน้ำหนักรวมสูงสุด ๕,๐๐๐ ปอนด์ (๑,๐๐๐ ปอนด์ จำนวน ๕ ลูก) สามารถปฏิบัติการ ในภารกิจ
- กดดันระบบป้องกันทางอากาศของข้าศึก (Suppression of Enemy Air Defenses : SEAD)
- โจมตีทางยุทธศาสตร์ (Strategic Strike)
- ขัดขวางทางอากาศ (Air interdiction : AI)
- ขัดขวางทางอากาศในพื้นที่การรบ (Battlefield Air Interdiction : BAI)
- โจมตีทางทะเล (Maritime Strike) ด้วยอาวุธนำวิถี Rbs 15
- สนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด (Close Air Support : CAS)
- ลาดตระเวนและเฝ้าตรวจ (Reconnaissance & Surveillance)
นับตั้งแต่สหรัฐฯ ได้พัฒนาเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์แบบ F-4 , F-16 และ F/A-18 ออกมาใช้งาน จากนั้นชาติต่างๆที่มีศักยภาพในการออกแบบและผลิตเครื่องบินเองได้ ก็ปรับเปลี่ยนมาพัฒนาเครื่องบินประเภท Multi-Role Combat Aircraft ซึ่งแน่นอนว่าในอนาคตนับตั้งแต่นี้ไป ก็จะมีแต่เครื่องบินประเภทขับไล่อเนกประสงค์ออกมาให้ประเทศต่างๆจัดหาเพื่อบรรจุเข้าประจำการอยู่แล้ว
โครงการจัดซื้อเครื่องบิน GRIPEN 39 นี้ กองทัพอากาศดำเนินการอย่างโปร่งใส มีการชี้แจงต่อพี่น้องประชาชน เป็นโครงการที่จัดซื้อแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) ผ่านผู้แทนรัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งและ การจัดการที่เป็นสากล โดยดำเนินการตามขั้นตอนมากว่า ๔ ปีแล้ว สามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๑ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กองทัพอากาศจัดซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ Gripen 39 C/D ทดแทนเครื่องบินขับไล่แบบ ๑๘ ก/ข ฝูงบิน ๗๐๑ กองบิน ๗ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งได้ทยอยปลดประจำการและครบกำหนดจะปลดประจำการทั้งหมดในปี ๒๕๕๔ โดยมีมติให้กองทัพอากาศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณระหว่างปี ๒๕๕๑-๒๕๕๕ จัดซื้อเครื่องบิน Gripen 39 C/D ระยะที่ ๑ จำนวน ๖ เครื่อง พร้อมอะไหล่ อุปกรณ์ การฝึกอบรม การปรับปรุงอาคารสถานที่ และการบริหารโครงการ วงเงิน ๑๙,๐๐๐ ล้านบาท ด้วยวิธีการจัดซื้อแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยใช้งบประมาณของกองทัพอากาศที่ได้รับการจัดสรรประจำปีตามปกติ และมอบอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นผู้แทนรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยลงนามในข้อตกลงการซื้อขาย (Agreement) ตลอดจนให้กองทัพอากาศรับข้อเสนอพิเศษจากรัฐบาลสวีเดนตามที่กำหนดไว้ในร่างข้อตกลงการซื้อขาย
กองทัพอากาศได้แต่งตั้งคณะกรรมการการจัดซื้อขึ้นโดยมี พลอากาศเอก ไพศาล สีตะบุตร รองผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธาน เพื่อจัดทำร่างสัญญาเจรจาต่อรองการจัดซื้อเครื่องบิน Gripen 39 C/D กับผู้แทนรัฐบาลสวีเดน โดยฝ่ายสวีเดนได้แต่งตั้งคณะทำงานจากหน่วยงาน FMV หรือ Swedish Defense Material Administration (FMV เป็นหน่วยงานขึ้นตรงของกระทรวงกลาโหมสวีเดน มีหน้าที่ในการจัดเตรียมยุทธภัณฑ์ให้กับกองทัพสวีเดน รวมทั้งการส่งออกยุทธภัณฑ์แก่มิตรประเทศ) เป็นผู้แทนรัฐบาลสวีเดนซึ่งได้ดำเนินการเจรจา และจัดทำร่างข้อตกลงการซื้อขายเรียบร้อยแล้ว สำหรับเอกสารข้อตกลงการซื้อขาย ครอบคลุมข้อสัญญาและเงื่อนไขเกี่ยวกับกำหนดการส่งมอบเครื่องบิน, การฝึกอบรมนักบินและเจ้าหน้าที่, การส่งกำลังบำรุง และงวดการชำระเงิน ทั้งนี้ กองทัพอากาศได้รับความร่วมมือจากสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมเป็นที่ปรึกษา ให้ข้อเสนอแนะแก่คณะกรรมการจัดซื้อ เพื่อให้การดำเนินการถูกต้องตามระเบียบ รัดกุม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ ทั้งนี้ได้มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อไปเมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา
สรุปสาระสำคัญในร่างข้อตกลงการซื้อขาย แบ่งเป็น ๒ ส่วน
ส่วนที่ ๑ ข้อเสนอหลัก และการปรับปรุงอาคารสถานที่และการบริหารโครงการ
ประกอบด้วยเครื่องบิน Gripen 39 C/D จำนวน ๖ เครื่อง เป็นเครื่องบินที่นั่งเดี่ยวจำนวน ๒ เครื่อง และที่นั่งคู่จำนวน ๔ เครื่อง พร้อมอุปกรณ์และระบบสนับสนุน การส่งกำลังบำรุง การฝึกอบรม การบริหารโครงการในส่วนที่สวีเดนรับผิดชอบ อุปกรณ์อื่นและการบริการ รวมเป็นเงิน ๑๘,๒๘๔ ล้านบาท
ด้านการปรับปรุงอาคารสถานที่ และการบริหารโครงการประกอบด้วย การปรับปรุงอาคารสถานที่และระบบโครงสร้างพื้นฐาน ณ กองบิน ๗ จ.สุราษฎร์ธานี การเดินทางไปฝึกอบรมตามโครงการ และการบริหารโครงการ ในส่วนที่กองทัพอากาศรับผิดชอบ รวมเป็นเงิน ๗๑๖ ล้านบาท รวมงบประมาณการจัดซื้อเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙,๐๐๐ ล้านบาท ตามกรอบวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๐
ส่วนที่ ๒ เป็นข้อเสนอพิเศษจากรัฐบาลสวีเดน โดยกองทัพอากาศจะได้รับมอบเครื่องบิน Saab 340 สำหรับการฝึกจำนวน ๑ เครื่อง และเครื่องบิน Saab 340 ติดตั้งเรดาร์แจ้งเตือนในอากาศแบบ Erieye จำนวน ๑ เครื่อง
พร้อมกันนี้จะได้รับการตอบแทนในลักษณะความร่วมมือทวิภาคี ประกอบด้วย
- การถ่ายทอดเทคโนโลยีสำหรับเจ้าหน้าที่กองทัพอากาศ และกองทัพไทย เริ่มดำเนินการในปี ๒๕๕๑
- ทุนการศึกษาในระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสวีเดน จำนวน ๙๒ ทุน ระหว่างปี ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ ซึ่งจะมีทุนการศึกษาจำนวน ๘๐ ทุน ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย และอีก ๑๒ ทุนจะเป็นทุนสำหรับข้าราชการของกองทัพอากาศและเหล่าทัพอื่นในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสวีเดน ได้แก่ Royal Institute of Technology Stockholm, Chalmers Technical University in Gothenburg และ Linköping University ระหว่างปี ๒๕๕๒-๒๕๕๕
- ความร่วมมือทางอุตสาหกรรม ในด้านวิชาการ การลงทุน การผลิตสินค้า และการบริการ ซึ่งจะมีส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกำหนดรายละเอียดต่อไปภายหลัง
แผนการดำเนินงานโครงการที่สำคัญ ได้แก่
- การผลิตและส่งมอบเครื่องบินขับไล่ Gripen 39 C/D ใช้ระยะเวลา ๓๖ เดือนหลังจากลงนามในหนังสือข้อตกลงการซื้อขาย
- การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ทุกส่วนโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุง และการส่งมอบอะไหล่และอุปกรณ์ รวมทั้งการเตรียมรับนั้นต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อน การส่งมอบเครื่องบิน โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการฝึกอบรมในประเทศสวีเดนเริ่มดำเนินการในปี ๒๕๕๑และการส่งมอบอะไหล่และอุปกรณ์เริ่มดำเนินการในปี ๒๕๕๓
- การฝึกอบรมนักบิน ครูการบินและนักบินลองเครื่อง รวม ๑๐ คน ใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๒ เดือน รวมทั้งการฝึกเจ้าหน้าที่เทคนิคของเครื่องบิน Gripen 39 C/D และเครื่องบิน Saab 340 ซึ่งจะเริ่มดำเนินการฝึก ณ ประเทศสวีเดน ในปี ๒๕๕๓ นอกจากนี้จะมีนักบินสวีเดน ๒ คน และผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคมาสนับสนุนในประเทศไทยเป็นเวลา ๒ ปี
- การส่งมอบเครื่องบิน Saab 340 ทั้ง ๒ เครื่อง ดำเนินการได้ในปลายปี ๒๕๕๓
- การส่งมอบเครื่องบิน Gripen 39 C/D ทั้ง ๖ เครื่องจะดำเนินการได้ภายในต้นปี ๒๕๕๔ โดยจะส่งมอบเครื่องบิน ๓ เครื่องแรกในเดือนมกราคม ๒๕๕๔ และอีก ๓ เครื่องในเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ เพื่อฝึกเพิ่มเติมให้หน่วยบิน มีความพร้อมปฏิบัติการได้ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๔ สอดคล้องกับแผนการปลดประจำการของเครื่องบินขับไล่แบบ F-5 ที่สุราษฎร์ธานี
นอกจากนี้ในระยะยาว กองทัพอากาศจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกผู้ใช้งานเครื่องบิน Gripen และดำเนินการซ่อมบำรุงแบบ Pooling Program กล่าวคือ เป็นการรวมอะไหล่ไว้ในหมู่ประเทศสมาชิก เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการสะสมอะไหล่ ลดระยะเวลาในการซ่อมบำรุง และเป็นระบบการซ่อมบำรุงสำหรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ อีกด้วย
ติดต่อ : เจ้าบ้าน [ 12 ก.พ. 51 ]
http://www.pantown.com/market.php?id=32248&name=market6&area=3&topic=2&action=view
ส่งงานช้ากว่ากำหนด แล้วการนำงานมาใช้ได้อธิบายแล้วว่าให้นำไปวางใน Notepad ก่อนนำมาวางใน Blong