พระราชประวัติร.9
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา (ภายหลังทรงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกและสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ วันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น เมืองเคมบริตจ์ มลรัฐแมสซาซูเซสส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนัครินทร์
ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๑ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้โดยเสด็จฯพระบรมราชชนกซึ่งขณะนั้น ทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทย์ศาสตร์บัณฑิตเกียรตินิยมจาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาด สหรัฐอเมริกา กลับสู่ประเทศไทยและได้ประทับอยู่ ณ วังสระปทุม ถัดมาเมื่อวันที่ ๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จทิวงคต พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดชพร้อมด้วยพระราชมารดา สมเด็จพระเชษฐาและพระเชษฐภคินียังคงประทับร่วมกับสมเด็จพระศรีสวรินทราพระบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ณ วังสระปทุม ในกรุงเทพมหานคร
เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมพลอดุลยเดช ทรงมีพระชนมายุได้ ๕ พรรษา ได้เสด็จเข้ารับการศึกษาเบื้องต้น ณ โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานคร ต่อมาหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง หม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา พระราชมารดาจึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทรา พระบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พาพระราชโอรสและพระธิดาไปประทับยังนครโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อการศึกษาและเพื่อพระพลานามัยของพระโอรส ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จเข้าทรงศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเมียร์มองค์ จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อในชั้นมัธยมศึกษา ณ โรงเรียนเอกอล นูแวล เดอลา ซืออิส โรมองต์ เมืองโลซานน์ ทรงได้รับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์จากยิมนาส กลาซีค กังโตนาล แล้วจึงทรงเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยโลซานน์ โดยทรงเลือกศึกษาในแขนงวิชาวิศวกรรมศาสตร์
หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ รัฐบาลไทยได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระเชษฐาเสด็จขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพะรเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดช เมื่อเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘ ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๘๑ ได้โดยเสด็จฯสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จฯนิวัติประเทศไทย โดยประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิตเป็นการชั่วคราว จากนั้นได้เสด็จฯกลับไปทรงศึกาาต่อที่สวิสเซอร์แลนด์ จนในปีพุทธศักราช ๒๔๘๘ หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบแล้ว จึงได้โดยเสด็จฯสมเด็จพระเชษฐานิวัติประเทศไทยพร้อมพระราชชนนีและสมเด็จพระเชษฐภคินีอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ทรงประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวัง
ในการเสด็จฯนิวัติประเทศไทยครั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าชายภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงพระยศเป็นที่ร้อยโทสมเด็จพระน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช นายทหารพิเศษประจำกรมทหารราบที่ ๑ กองพันที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙
ครั้นเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตโดยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน รัฐบาลจึงได้กราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทรสยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย
(หมายเหตุ:* ภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ได้จัดขึ้นหลังจากที่ทรงบรรลุพระราชนิติภาวะเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ แล้วไม่ปรากฏสร้อยพระนาม 'พระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทย' ในพระสุพรรณบัฏ)
อย่างไรก็ตามขณะเสด็จขึ้นครองราชสมบัตินั้น ทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๙ พรรษา ยังไม่ทรงสามารถบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองได้ รัฐสภาจึงทำการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการขึ้นประกอบไปด้วย พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนชัยนาทนเรนทร (หรือพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ต่อมาได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯให้เป็นสมเด็จกรมพระชัยนาทนเรนทร) และพระยามานวรราชเสวี เพื่อทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินแทนจนกว่าจะทรงบรรลุพระราชนิติภาวะแล้ว และเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชภาระกิจในด้านการศึกษา จึงต้องทรงเสด็จฯกลับไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่งในเดือนสิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙ เพื่อทรงศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่ในครั้งนี้ทรงเลือกศึกษาวิชากฏหมายและวิชารัฐศาสตร์แทนวิชาวิศวกรรมศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่เดิม
ระหว่างที่ประทับอยู่ต่างประเทศนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพบและต้องพระราชอัธยาศัยกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาในพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ (พระนามเดิมหม่อมเจ้านักขัตรมงคล กิติยากร) และหม่อมหลวงบัว กิติยากร แต่แล้วในเดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๑ ประชาชนคนไทยก็ต้องตกใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ทราบข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่นอกเมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และต้องเสด็จฯ เข้ารับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาล ต่อมาเมื่อพระอาการหายเป็นปกติแล้วได้ทรงหมั้นกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๙๒ ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯนิวัติประเทศไทยครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม เพื่อทรงเข้าร่วมในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๘ ต่อมาในวันที่ ๒๘ เมษายนปีเดียวกันได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร และโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี
ถัดมาวันที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณในพระบรมมหาราชวัง ในการนี้ทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกพร้อมตั้งพระราชสัตยาธิษฐานว่า "เราครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม" ภายหลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้วได้เสด็จไปรักษาพระสุขภาพ ซึ่งขณะนั้นยังไม่ค่อยทรงสมบูรณ์นัก อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ทรงประสบเมื่อครั้งประทับอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ ณ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตามคำแนะนำของคณะแพทย์ขาวสวิส และได้เสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับเป็นการถาวรในประเทศไทยเมื่อเดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๔
และด้วยเหตุที่ทรงเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงผนวชเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ ณ พระอุโบสถวัพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงได้รับการถวายสมณนามว่า ภูมิพโล แล้วเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร จนถึงวันที่ ๕ พฤษจิกายนศกเดียวกันจึงได้ทรงลาผนวช
ในปีรุ่งขึ้น(พุทธศักราช ๒๕๐๐) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ได้ทรงย้ายที่ประทับจากพระที่นั่งอัมพรสถาน กลับไปประทับยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ที่ได้รับการซ่อมแซมแล้ว และทรงประทับอยู่เรื่อยมาตราบจนทุกวันนี้
เขียนเก่งจังเยย