บุคคลต้นแบบ
เนลสัน แมนเดลลา
เนลสันเป็นคนที่มีความสามารถและความรู้มากเป็นบุคคลสำคัญของประเทศแอฟริกาใต้ โดยเป็นผู้ที่เรียกร้องสิทธิมนุษย์ชนให้คนผิวสีภายในประเทศและเป็นคนที่ช่วยปลดปล่อยคนผิวสีทั่วโลก
เนลสัน โรลีลาลา แมนเดลา (คอซา: Nelson Rolihlahla Mandela, [xoˈliɬaɬa manˈdeːla]) เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ที่ดินแดนปกครองตนเองทรานสไก ประเทศแอฟริกาใต้[1] ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2537-2542 และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งตามกระบวนการทางประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ก่อนหน้าการดำรงตำแหน่งนี้นี้ เขาได้เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยงเพื่อต่อต้านการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา และได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านใต้ดินโดยใช้อาวุธ เช่น การก่อวินาศกรรม ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำต่างชาติที่นิยมการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ เช่น มาร์กาเรต แทตเชอร์ และโรนัลด์ เรแกน ได้ประณามกิจกรรมเหล่านี้ว่าเป็นการก่อการร้าย
เขาถูกจำคุกเป็นเวลาทั้งสิ้น 27 ปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการถูกคุมขังในห้องขังเล็ก ๆ บนเกาะโรบเบิน การถูกคุมขังนี้ได้กลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความอยุติธรรมของนโยบายการถือผิวที่ถูกกล่าวถึงไปทั่ว เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2533 นโยบายประสานไมตรีที่เนลสันได้นำมาใช้ทำให้แอฟริกาใต้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งประชาธิปไตย เป็นที่ยกย่องอย่างสูงภายในประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ชาวแอฟริกันขนานนามสมาชิกชายอาวุโสของตระกูลแมนเดลาอย่างให้เกียรติว่า มาดิบา แต่มักเจาะจงหมายถึงเนลสัน แมนเดลาเท่านั้น เนลสัน แมนเดลา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ที่บ้านของเขาในโจฮันเนสเบิร์ก หลังจากเจ็บป่วยมาเป็นเวลานาน
เขาได้รับรางวัลต่าง ๆ มากกว่า 250 รางวัลตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษ รางวัลที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2536
ในปี พ.ศ. 2504 แมนเดลาได้ร่วมริเริ่มและเป็นผู้นำกองกำลังติดอาวุธของเอเอ็นซี เรียกชื่อว่า Umkhonto we Sizwe (หมายถึง หอกแห่งชาติ บ้างเรียกย่อว่า MK)[27] เขาจัดการให้มีการลอบวางระเบิดสถานที่สำคัญทางราชการและทางทหารหลายแห่ง และใช้แผนการรบแบบกองโจรถ้าการลอบวางระเบิดล้มเหลว เพื่อให้ยุติการแบ่งแยกสีผิว[28] แมนเดลายังจัดการระดมทุนให้กองกำลัง MK และทำการฝึกฝนทางทหารให้กลุ่มควบคู่กันไป[28]
สมาชิกเอเอ็นซีคนหนึ่งคือ โวลฟี คาเดช เล่าถึงโครงการรณรงค์วางระเบิดที่นำโดยแมนเดลาว่า : "ตอนที่รู้ว่าเราจะเริ่มลงมือในวันที่ 16 ธันวาคม 2504 โดยจะระเบิดสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งแยกผิว เช่น สถานีโดยสาร ศาลปกครองท้องถิ่น และอะไรจำพวกนั้น... ที่ทำการไปรษณีย์ และ.. ที่ทำการรัฐบาล แต่เราต้องทำอย่างระวังเพื่อไม่ให้มีใครได้รับบาดเจ็บ ต้องไม่มีใครเสียชีวิต"[29] แมนเดลาพูดถึงโวลฟีว่า "ความรู้เรื่องการสู้รบและประสบการณ์ต่อสู้มือเปล่าของเขาจะช่วยฉันได้อย่างมาก"[7]
แมนเดลาพูดถึงการยกระดับการต่อต้านไปสู่การใช้กำลังอาวุธนี้เป็นมาตรการสุดท้าย เนื่องจากรัฐบาลได้เพิ่มความรุนแรงในการปราบปรามมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เขาคิดว่าการประท้วงคัดค้านการเหยียดผิวแบบสันติไม่สามารถและไม่มีวันประสบความสำเร็จได้[7][30]
ช่วงต่อมาราวปี พ.ศ. 2523-2532 หน่วย MK ทำสงครามกองโจรกับนโยบายแบ่งแยกสีผิวอย่างรุนแรงจนมีพลเรือนเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก[28] แมนเดลายอมรับกับเอเอ็นซีในภายหลังว่า ในการทำสงครามต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวกลับกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน เขาวิพากษ์วิจารณ์อย่างเผ็ดร้อนในการที่คนในพรรคบางคนพยายามเอาเนื้อความที่ยืนยันความจริงข้อนี้ออกไปเสียจากรายงานของกรรมาธิการสืบสวนข้อเท็จจริงและไกล่เกลี่ยข้อพิพาท (Truth and Reconciliation Commission)[31]
ตราบถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 แมนเดลาและสมาชิกพรรคเอเอ็นซีเป็นบุคคลต้องห้ามในการเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา - เว้นแต่เพียงสำนักงานใหญ่ของสหประชาชาติที่แมนฮัตตัน - เนื่องมาจากการเป็นผู้ก่อการร้ายในการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้
พฤติกรรมต้นแบบ
1.เป็นคนอุทิตตนเป็นประโยชน์เพื่อส่วนรวม
2.เป็นนักการเมืองที่มุ่งเน้นพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง
3.ใส่ใจการเหยีดสีผิว
4.มีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญและพร้อมเผชิญต่อทุกสถานการณ์
5.เป็นคนที่น่ายกย่อง
การนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ทุกวันนี้ในสังคมคนไทยยังมีการเหยีดสีผิวอย่างมากโดยเฉพาะสังคมในโรงเรียนมักจะนำนักเรียนที่มีสีผิวขาวสว่างใสไปทำกิจกรรมต่างๆในโรงเรียนและคนผิวสีจะมีโอกาศน้อยมากที่จะได้ทพกิจกรรมต่างๆหากไม่มีความสามารถที่แท้จริงแต่เนื่องจากเป็นหัวหน้าหเองเราจึงผลักดันคนที่ผิวสีได้ทำกิจกรรมโดยได้ผลักดันเพื่อนในห้องเรียนคนหนึ่งที่มีสีผิวค่อนข้างคล้ำได้เป็นตัวแทนห้องถือพานไหว้ครูและทำให้เธอได้เป็นที่รู้จักและมีความภาคภูมิใจในสีผิวของตนถึงแม้เธอจะโดนตำหนิจากท่านผู้อำนวยการ แต่เธอก็ยังมีความมุ่งมานะที่จะเป็นคัวแทนของห้องไปถือพานที่ได้รับการสนับสนุนจากที่ปรึกษาและเพื่อนๆภายในห้องนี่ก็เป็นการนพไปใช้ในชีวิตประจำวันของผม