กีฬาแบดมินตัน
สวัสดีครับ~~~~
วันนี้ผมจะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกีฬาแบดมินตันกันนะครับ
กีฬาแบดมินตัน เป็นกีฬาที่เหมาะสำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย
เล่นง่าย เล่นได้ทุกสถานที่ ใช้พื้นที่ในการเล่นไม่มาก
งั้น เรามารู้จักกีฬาที่เรียกว่า "แบดมินตัน" กันเลยดีกว่า
แบดมินตัน เป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ที่ใช้ไม้ตีลูก ลูกสำหรับใช้ตีนั้น เรียกกันมาช้านานว่า "ลูกขนไก่" เพราะสมัยก่อนกีฬานี้ใช้ขนของไก่มาติดกับลูกบอลทรงกลมขนาดเล็ก ปัจจุบันลูกขนไก่ผลิดจากขนเป็ดที่คัดแล้ว ลูกบอลทรงกลมขนาดเล็กที่ทำเป็นหัวลูกขนไก่ทำด้วยไม้คอร์ก ราคาลูกขนไก่ที่ใช้ในการแข่งขันจะอยู่ที่ประมาณลูกละ40-50บาท
กีฬาแบดมินตันจะแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย และแบ่งการแล่นออกเป็น 2 ประเภท คือ "ประเภทเดี่ยว" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 1 คน และ "ประเภทคู่" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 2 คน การเล่นรอบหนึ่งเรียกว่า 1 แมทช์ แมทช์ละ 3 เกม(บางคนเรียกเซ็ท) ตัดสินแพ้ชนะ2ใน3เกม มีกำหนดคะแนนสูงสุด 21 คะแนน ฝ่ายใดทำคะแนนได้ถึง 21 คะแนนก่อนจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น
ประวัติกีฬาแบดมินตัน
กีฬาแบดมินตันมีความเป็นมาไม่ชัดเจนนัก ซึ่งจากหลักฐานต่างๆ จะสามารถบ่งบอกที่มาของกีฬาประเภทนี้ไว้ที่หลายยุค เช่น
- ในจีนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 มีภาพวาดเก่าๆ ซึ่งบ่งบอกว่ามีการใช้ขนไก่มาทำเป็นลูกขนไก่ใช้ในการเล่น ซึ่งตอนนั้นจะใช้เท้าเตะกัน 2 คนหรือจะตั้งวงกัน 3-4 คน
- คริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาวอินเดียแดงในอเมริกาตอนใต้ ใช้ขนนกหรือขนไก่พูกติดกับลูกกลมโดยลูกบอลกลมนั้นใช้หญ้าฟางพันขมวดเข้าด้วยกัน และให้ขนไก่ชี้ไปทางเดียวกันและเวลาเล่นใช้มือจับลูกขนไก่นั้นปาใส่ผู้เล่นคนอื่น
- คริสต์ศตวรรษที่ 14 ชาวญี่ปุ่นได้มีการใช้ขนไก่ หรือขนนกเสียบผูกติดกับหัวไม้ และใช้ไม้ตีลูกขนไก่นั้น โดยไม้ที่ใช้ตีทำมาจากไม้กระดาน ตีลูกขนไก่ไปมา
- ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในแถบยุโรปมีการเขียนภาพสีน้ำมันถึงการเล่นกีฬาแบดมินตันในราชสำนักต่าง ๆ
- คริสต์ศตวรรษที่ 18 ในเยอรมนีกษัตริย์ของปรัสเซียเฟรดเดอริคมหาราช และพระเจ้าหลานเธอเฟรดเดอริค วิลเลียมที่สอง ทรงแบดมินตันในลักษณะเดียวกัน และในประเทศอังกฤษมีเรื่องเล่าว่าในปี ค.ศ. 1870 นายทหารคนหนึ่งที่ไปประจำการอยู่ในเมืองปูนา ประเทศอินเดียได้เห็นกีฬาตีลูกขนไก่จึงนำกลับไปเล่นในอังกฤษ และในอังกฤษ ณ คฤหาสน์ “แบดมินตัน” ของดยุคแห่งบิวฟอร์ด ที่ตำบลกล๊อสเตอร์เชอร์ ในปี ค.ศ. 1873 เกมกีฬาตีลูกขนไก่จึงถูกเรียกว่า “แบดมินตัน” ตามชื่อของสถานที่นับตั้งแต่นั้นมา
กติกาการเล่นแบดมินตันเบื้องต้น
-
- 1.การออกนอกเส้น มีการกำหนดเส้นออกแต่งต่างกันในกรณีเล่นเดี่ยวและเล่นคู่
- 2.การเสิร์ฟลูก ตามกติกา ที่ถูกต้อง คือ
- 1)หัวไม้ขณะสัมผัสลูกต้องต่ำกว่าข้อมืออย่างเห็นได้ชัด
- 2)หัวไม้ขณะสัมผัสลูกต้องต่ำกว่าเอวอย่างเห็นได้ชัด
- 3)ผู้เล่นต้องไม่ถ่วงเวลา หรือเสริฟช้า หรือเสริฟ 2 จังหวะ การเสริฟ ต้องเสริฟไปด้วยจังหวะเดียว
- 4)ขณะเสิร์ฟ ส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าทั้ง 2 ข้างต้องสัมผัสพื้นตลอดเวลา
- 5)การเสิร์ฟลูกที่ถูกต้อง ต้องให้แร็กเก็ตสัมผัสกับหัวลูกก่อน หากโดนขนก่อนถือว่าผิดกติกา
- 3.ขณะตีลูกโต้กัน ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายหรือไม้แบดไปสัมผัสกับเน็ท
- 4.ห้ามตีลูกที่ฝั่งตรงข้ามโต้กลับมาในขณะที่ลูกยังไม่ข้ามเน็ทมายังแดนเรา(Over net)
- การดิวส์
-
หากผู้เล่นทั้งสองฝ่ายทำคะแนนได้เท่ากันในคะแนนที่ 20 จะมีการเล่นต่อ จนกว่าว่าจะมีคะแนนมากกว่าฝ่ายตรงข้าม 2 คะแนน แต่ถ้ายังไม่สามารถทำคะแนนห่างกัน 2 แต้มได้ จะเล่นต่อไปเรื่อยๆ แต่ เมื่อแต้มได้ 29 เท่ากัน ใครที่ทำได้แต้ม 30 ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ
-
เทคนิคการเล่นแบดมินตัน
-
คำแนะนำง่าย ๆ สำหรับนักเล่นหัดใหม่
ไม่ต้องคิดมาก ถ้ารักชอบกีฬาแบดมินตัน ก็หาไม้แร็กเก็ตกับลูกขนไก่ หาเพื่อนมาอีกคน แล้วหวดกันเข้าไป ตีลูกโด่งไปมาอย่าให้ลูกตก ตีให้นานเท่าที่จะทำได้
เริ่มต้นควรจับแร็กเก็ตให้ถูก จับเป็นรูป V Shape ถ้าไม่เข้าใจ หาผู้รู้สอนให้ จับไม้ให้ถูก เป็นเบสิคสำคัญ เพราะจะทำให้ตีลูกได้รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นหน้ามือโฟร์แฮนด์ หลังมือแบ๊คแฮนด์ ลูกงัด ลูกตบ ลูกดาด ฯลฯ ตีได้ทั้งนั้น ยิ่งถ้าเล่นเป็น เล่นเก่งถึงขั้นบังคับลูกได้ สนุกเชียว อย่าบอกใคร วันไหนไม่ได้เล่นแบดฯ หงุดหงิดเอาเชียวแหละ! เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอกเอ้า! แนะวิธีจับไม้ให้ก็ได้ วิธีจับแบบ รูปตัว V คือ ใช้มือซ้ายจับแร็กเก็ต แล้วหันบิดสันไม้ให้ตรงกับแสกหน้า
(ดูภาพ) แล้วยื่นมือขวาไปข้างหน้า ในแบบวิธีเช็คแฮนด์แบบฝรั่ง แล้วใช้ฝ่ามือสวมจับด้ามไม้ ง่ามมือระหว่างหัวแม่มือกับนิ้วชี้ จะเป็นรูปตัว V นั่นแหละ คือการจับไม้แร็กเก็ตที่ถูกวิธี เห็นม๊ะ! ง่ายกว่าปลอกกล้วยซะอีกจับแรกเก็ตแบบถูกวิธีผิด เพราะจับแบบกำฆ้อน
จับแร็กเก็ตถูกวิธี เหวี่ยงไม้ไปมาซ้ายขวาหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ชินกับการจับแร็กเก็ต V-Shape สังเกตนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย รวมทั้งหัวแม่มือที่จับแร็กเก็ต ควรเรียงเป็นแนวมุม 45 องศา (ดูภาพ) ไม่ใช่กำแน่นเหมือนจับฆ้อนตอกตะปู การจับแร็กเก็ตถูกวิธี ไม่เพียงจะทำให้ตีลูกได้รอบตัวเท่านั้น แต่ยังทำให้ไม่เกิดอาการ Badminton Elbow หรือ Shoulder คือไม่ปวดข้อศอก หรือหัวไหล่ แรงของการตีลูกจากแหล่งต่าง ๆ สามารถถูกส่งไปเหวี่ยงตีลูกได้อย่างเต็มที่
การจับแร็กเก็ตแบบ V-Shape สันของหน้าไม้จะตรงกับแสกหน้า การตีลูกแต่ละครั้ง จะต้องยึดหลักใหญ่ ๆ 2 ข้อ คือ 1) เอียงตัวหันข้างให้กับตาข่ายเล็กน้อย และ 2) บิดแขนเพื่อตั้งหน้าไม้ให้ตรง เพื่อให้หน้าแร็กเก็ตหันตรงไปยังเป้าหมายที่ต้องการจะตี หน้าไม้ตรงจะทำให้แรงเหวี่ยงสปริงของแร็กเก็ตที่ส่งตรงไปยังเอ็น ดีดตีลูกได้อย่างเต็มเหนี่ยว ไม่เกิดการฝานลูกหรือตีแฉลบหัดตีบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมว่า แบดมินตันจะตีได้ดี และเป็นเร็ว อยู่ที่การตีเล่นบ่อย ๆ และจับเคล็ดจังหวะของการเหวี่ยงตีลูก คุณไม่สามารถจะเล่นแบดมินตันได้ดีด้วยการนั่งจ้องดูคนอื่นเขาเล่น หรือนั่งคลำจ้องมองแร็กเก็ตกับลูกขนไก่ คุณจะเล่นแบดมินตันได้ดีและเป็นเร็ว ก็ต่อเมื่อคุณลงไปฟาดเจ้าลูกขนไก่ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ุ
ข้อควรจำ “3 อย่า” สำหรับการจับแร็กเก็ต คือ 1. อย่าจับแร็กเก็ตหน้าเดียว 2. อย่าจับแร็กเก็ตจนแน่นเกร็ง 3. อย่าจับแร็กเก็ตรวมนิ้วทีบแบบกำฆ้อน
-
-
รู้จักแหล่งที่มาของแรงตีลูก
นักเล่นหัดใหม่ตีลูกไปสักพักหนึ่ง ก็เริ่มจะฉุกคิดขึ้นมาว่า ทำไมการตีลูกของตนถึงไม่มีแรงส่งอย่างใจนึก เหวี่ยงแร็กเก็ตหวดตีลูกเต็มแรงแล้วลูกยังไปไม่ถึงหลัง ให้เรามาช่วยกันคิดค้นดูว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
คำตอบก็คือ การตีลูกในกีฬาแบดมินตัน ไม่เหมือนกับการตีลูกเทนนิส หรือสคว๊อช เพราะเจ้าลูกขนไก่มีน้ำหนักเบา การตีลูกขนไก่ให้พุ่งไปข้างหน้าอย่างแรง จึงต้องอาศัยจังหวะที่สมบูรณ์ผสมผสานกันของแรงเหวี่ยงที่มาจากแหล่งต่าง ๆ ของแรงตีลูกแหล่งที่มาของแรงตีลูกจำแนกออกได้จาก 3 แหล่งใหญ่ คือ.-
1. แรงที่เกิดจากการถ่ายเปลี่ยนน้ำหนักตัวจากเท้าหลังไปสู่เท้าหน้า
2. แรงที่เกิดจากการเหวี่ยงของลำแขน
3. แรงที่เกิดจากการตวัดและการสะบัดอย่างแรงของข้อมือจังหวะการประสานของแรงตีลูกที่มาจากแหล่งต่าง ๆ สังเกตุแขนที่เหยียดตรง
และจังหวะการตวัดของข้อมือ
การตีลูกให้แรงในกีฬาแบดมินตัน จะต้องเกิดจากจังหวะการประสานงานระหว่างแรงเหวี่ยงตีลูกของแขน เสริมด้วยแรงตวัดและแรงสะบัดของข้อมือ หนุนด้วยแรงที่เกิดจากกการเปลี่ยนน้ำหนักตัวของฟุตเวิร์ค จากเท้าหลังไปสู่เท้าหน้า ที่ผสมผสานกลมกลืนกัน ถ้าการประสานงานขององค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เกิดผิดจังหวะในช่วงใดช่วงหนึ่ง การตีลูกจะมีผลที่ไม่สมบูรณ์ ลูกที่พุ่งจากหน้าแร็กเก็ตจะไม่แรงตามต้องการ
แรงดีดสะบัดของข้อมือ มีช่วงเวลาของการดีดตวัดสั้นกว่าการเหวี่ยงตีลูกด้วยลำแขน แรงที่เกิดการดีด ตวัดและสะบัดของข้อมือนี้ จึงมีช่วงเวลาจำกัด แรงตีลูกที่ว่านี้จึงต้องนำออกใช้ในเสี้ยววินาทีที่ถูกต้อง ไม่ก่อนหรือหลังเกินไปในจังหวะที่แร็กเก็ตกระทบตีถูกลูกขนไก่แรงดีด ตวัด และสะบัดของข้อมือ นอกจากใช้เสริมแรงตีลูกในวินาทีที่ถูกต้องแล้ว ยังมีบทบาทในการบังคับทิศทางวิ่งของลูกขนไก่ไปสู่เป้าหมายต่าง ๆ ได้หลากหลาย ความเร็วที่เกิดจากการดีด ตวัด สะบัด และพลิกข้อมือ สามารถทำให้คู่แข่งไม่อาจจะจับทางของลูกที่พุ่งข้ามตาข่ายไปได้ ยากแก่ฝ่ายตรงข้ามในการเดาเป้าหมายของลูก
เพื่อการตีลูกที่เกิดจากแรงเหวี่ยงสมบูรณ์แบบ ผู้เล่นควรเริ่มต้นที่ฟุตเวิร์คก่อน สำหรับคนถนัดขวา ก่อนการตีลูกน้ำหนักตัวจะหนักอยู่ที่เท้าขวาหลัง ในช่วงที่กำลังจะตีลูก น้ำหนักตัวจะเริ่มถ่ายไปสู่เท้าซ้ายหน้า การถ่ายเปลี่ยนน้ำหนักตัวนี้จะดำเนินไปพร้อมกับแรงตีลูกที่มาจากอีก 2 แหล่ง คือ การเหวี่ยงของแขน และการดีดตวัดสะบัดข้อมือให้กลมกลืนเป็นจังหวะเดียวกัน เมื่อเหวี่ยงตีลูกไปแล้ว แรงตีลูกได้ถูกนำออกใช้ทั้งหมดเป็นแรงตีลูกในครั้งเดียว จะเกิดวงสะวิงของแร็กเก็ตหรือที่ฝรั่งเรียกว่า Follow Through ให้เป็นไปตามธรรมชาติ การพยายามฝืนวงสะวิงด้วยการกระชากแร็กเก็ตกลับเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่แขนหรือที่หัวไหล่ได้
การฝึกหัดตีลูกในขั้นต้น ควรเริ่มฝึกตีเฉพาะลูกโด่งเหนือศีรษะ (Overhead) เพราะเป็นลูกเบสิคที่ตีได้ง่าย เหวี่ยงตีตามถนัด ฝึกฝนให้มาก ๆ จนเกิดความแม่นยำ จับจังหวะการเหวี่ยงตีและการใช้แรงจากแหล่งของการตีลูกต่าง ๆ ให้ผสมผสานเป็นจังหวะเดียว
-
ฟุตเวิร์คกับจังหวะของการตีลูก
กีฬาแบดมินตัน เป็นเกมเล่นที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายต้องมีการเคลื่อนย้ายตัววิ่งไล่ตีลูกตลอดเวลา ผู้เล่นจึงต้องรู้จักการวิ่งเข้าออก การประชิดลูกในจังหวะที่ถูกต้อง เคลื่อนย้ายตัวเองไปอยู่ในจุดที่ถูกต้อง ตีลูกได้ถนัด ตีด้วยความสะดวก ตีลูกด้วยความง่ายดาย และสิ้นเปลืองพลังงานของตัวเองให้น้อยที่สุด
ฟุตเวิร์ค หรือจังหวะเท้าสำหรับการเล่นแบดมินตันมีความสำคัญมากที่สุด
ฟุตเวิร์คที่ดีจะทำให้การออกตัวสืบเท้า พาตัวพุ่งไปสู่ทิศทางต่าง ๆ รอบสนามกระทำได้ด้วยความคล่องแคล่วและฉับไว เพราะหลักการสำคัญที่สุดในกีฬาแบดมินตันสำหรับผู้เล่นทุกคนที่เล่นเพื่อความเป็นเลิศในระดับแข่งขัน จะต้องจำไว้ให้แม่นก็คือ
- จะต้องวิ่งเข้าไปหาลูกเสมอ อย่าทิ้งช่วงปล่อยให้ลูกวิ่งมาหา
- จะต้องพุ่งตัวเข้าตีลูกให้เร็วที่สุด และตีลูกขณะที่อยู่ในระดับสูงที่สุดเพราะฉะนั้น ในเกมเล่นแบดมินตัน การคาดคะเน (Anticipation)เป้าหมายการตี กับวิถีทางตีลูกของฝ่ายตรงข้าม จึงจำเป็นต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ บางครั้งยังต้องใช้เทคนิคการ “ดักลูก” หรือ Interception เข้ามาช่วยอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นประเภทคู่ จะต้องอาศัยการจับทางของคู่ต่อสู้ให้มากที่สุด เพื่อการพุ่งเข้าประชิดตีลูกในระดับบนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
การตีลูกในระดับสูง จะทำให้ผู้เล่นมีโอกาส “กดลูก” บีบเกมเล่นให้ฝ่ายตรงข้ามต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับ อีกทั้งยังมี “มุมลึก” กับ “เป้าหมาย” สำหรับการตีลูกได้มากขึ้น ยิ่งตีลูกจากระดับสูงได้มากเท่าใด ย่อมจะมี “มุมลึก” หรือ Steepness ของเป้าหมายได้มากเท่านั้น เช่น การกระโดดตบพร้อมทั้งใช้ข้อมือตวัดตีลูกจิก จะทำให้ลูกสามารถข้ามไปในมุมที่ลึกกว่าการตบลูกจากระดับธรรมดา ถ้าทำอย่างนี้ได้ จะทำให้ลูกที่ตีข้ามไปนั้น เกิดวิถีลูกที่ข้ามไปหลากหลาย(Varieties of Strokes) ทำให้คู่ต่อสู้เดาการเล่นของเราไม่ถูก หรือคาดการณ์ไม่ออกว่าเราจะส่งลูกไปในลักษณะใด
ฟุตเวิร์ค จังหวะเท้าที่ดี เริ่มต้นที่ผู้เล่นทิ้งน้ำหนักตัวบนปลายเท้าทั้งสอง หรืออีกนัยหนึ่งคือ ไม่ควรยืนด้วยการทิ้งน้ำหนักตัวบนแผ่นเท้าทั้งสอง ในขณะที่ยืนปลายเท้า ควรวางเท้าทั้งสองแยกและอยู่เหลื่อมกันเล็กน้อยตามถนัด การยืนในลักษณะนี้ทำให้ผู้เล่นพร้อมที่จะพาตัวพุ่งออกจากจุดศูนย์กลางได้อย่างฉับไว การพุ่งออกไปไม่ว่าจะไปทางด้านหน้า ด้านหน้าซ้ายขวา ด้านข้างซ้ายขวา หรือด้านหลัง หรือหลังซ้ายขวา ผู้เล่นสามารถเคลื่อนย้ายตัวไปครอบคลุมพื้นที่สนามได้ทั้งหมด
จังหวะเท้าอาจจะซอยถี่ เป็นช่วงสั้น หรือยาวตามแต่สถานการณ์ ในกรณีที่ต้องวิ่งในระยะทางไกล ควรสาวก้าวยาว เมื่อถึงจังหวะที่จะเข้าประชิดลูกก็อาจจะซอยฟุตเวิร์คสั้นลง เพื่อเสาะหาจังหวัดการตีลูกให้กับตัวตามถนัด
การสืบเท้าเข้าประชิดลูก ไม่ว่าเป็นก้าวสั้นหรือก้าวยาว ออกซ้ายหรือขวา จะทำได้ง่ายหรือยากขึ้นอยู่กับ “เวลา” ที่มีอยู่สำหรับการตีแต่ละลูก (Execution of Stroke) เช่น ลูกโยนโด่งที่ข้ามตาข่ายมา ย่อมเอื้อเวลาให้แก่ผู้ตีมากกว่าลูกตัดหยอดที่พุ่งลงหน้าตาข่าย ระยะทางวิ่งของลูก กับวิถีทางวิ่งของลูก ทำให้เวลาเกิดความแตกต่าง
การสืบเท้าเข้าประชิดลูก ไม่สามารถกำหนดตายตัวได้ว่า ควรจะพาตัวเข้าใกล้ลูกในระยะใด ผู้เล่นควรคำนึงถึงความจริงว่า ถ้าลูกห่างไกลจากตัวมาก ผู้เล่นจะเอื้อมตีลูกด้วยความลำบาก แรงที่ส่งมาจากแหล่งต่าง ๆ ของการตีลูกไม่มีโอกาสได้รวมพลังใช้อย่างเต็มที่ ในทำนองเดียวกัน ถ้าประชิดลูกในระยะใกล้เกินไป วงสะวิงของการเหวี่ยงตีลูกแคบ แขนติดที่ช่วงไหล่ ก็จะทำให้แรงตีลูกไม่สามารถนำออกใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน ระยะห่างจากตัวผู้เล่นในขณะประชิดตีลูกควรจะอยู่ในระหว่าง 2-3 ฟุตจากลำตัว เป็นระยะที่กว้างพอสำหรับการเหวี่ยงตีลูกได้อย่างถนัดและเต็มเหนี่ยว
ฟุตเวิร์ค หรือจังหวะเท้า จะวางอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องไม่ลืมเบสิคการตีลูกพื้นฐาน ลูกหน้ามือ เท้าซ้ายอยู่หน้า เท้าขวาอยู่หลัง และลูกหลังมือ เท้าขวาจะอยู่หน้า เท้าซ้ายจะอยู่หลัง (สำหรับผู้เล่นถนัดขวา ถ้าถนัดซ้ายให้สลับกัน) ฝึกฟุตเวิร์คจังหวะเท้าไปสักพักใหญ่ ๆ ทุกอย่างจะดำเนินไปโดยธรรมชาติ ผู้เล่นจะไม่คำนึงหรือกังวลเรื่องของฟุตเวิร์คอีกเลย
การตีลูกหลังมือ แบ๊คแฮนด์
นักเล่นหัดใหม่ หรือแม้แต่คนที่เล่นแบดมินตันมานาน มักจะบ่นกันเสมอว่า การตีลูกหลังมือ หรือแบ๊คแฮนด์ ทำไมถึงตียากตีเย็น เหวี่ยงตีเต็มที่แต่ลูกไม่วิ่งไกล ตีลูกไม่ถึงหลังสนามฝ่ายตรงข้าม หรือตีได้แรงเหมือนกับการตีลูกหน้ามือโฟร์แฮนด์ ลองมาค้นหาสาเหตุแก้ไขปัญหาของการตีลูกหลังมือ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทก่อน แรงของการตีลูกมาจาก 3 แหล่งใหญ่ ๆ คือ
1. แรงเหวี่ยงของแขน
2. แรงตวัดบวกกับการสะบัดของข้อมือ และ
3. แรงโถมจากการเปลี่ยนน้ำหนักตัวจากเท้าหลังไปสู่เท้าหน้า
แต่การตีลูกหลังมือ จะมีแรงตีลูกที่มาจาก 2 แหล่งแรกเท่านั้น โดยไม่มีแรงโถมจากตัวที่เกิดจากการเปลี่ยนน้ำหนักตัวที่ถ่วงจากเท้าหลังไปสู่เท้าหน้าเป็นแรงเสริม เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เล่นจะต้องใช้แรงตีลูกทั้ง 2 ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้
ในการตีลูกหน้ามือ โฟร์แฮนด์ ในขณะที่แร็กเก็ตกระทบสัมผัสลูกขนไก่นั้น แขนของผู้เล่นจะต้องเหยียดอยู่ในแนวตรง เพื่อเปิดโอกาสให้แรงเหวี่ยงตีลูกจากทั้ง 3 แหล่งผ่องถ่ายไปสู่การปะทะตีลูกอย่างเต็มเหนี่ยว ตั้งหน้าแร็กเกตให้ตรง เพื่อให้เอ็นมีส่วนผลักดันลูกให้พุ่งออกจากแหล่งอย่างเต็มที่อีกแรงหนึ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ การตีลูกหลังมือ ผู้เล่นจะต้องไม่ลืมเทคนิคขั้นพื้นฐานดังกล่าว นำมาใช้กับการตีลูกหลังมืออย่างเต็มที่เช่นกัน กล่าวคือ ขณะที่เหวี่ยงตีลูกหลังมือนั้น ข้อศอกต้องงอพับเพื่อสร้างวงสะวิงในการเหวี่ยงตีลูก แต่ในขณะที่แร็กเก็ตกระทบสัมผัสตีลูกขนไก่นั้น แขนของผู้เล่นต้องเหยียดตรง (ดูภาพประกอบ) เพื่อให้แรงเหวี่ยงตีลูกที่มาจาก 2 แหล่ง ได้ผ่องถ่ายไปสู่การปะทะตีลูกหลังมืออย่างสุดกำลัง ตั้งหน้าแร็กเก็ตให้ตรง ในลักษณะเดียวกับการตีลูกหน้ามือ หรือโฟร์แฮนด์
|
|
|
|
|
พึงรำลึกไว้เสมอว่า การตีลูกหลังมือ เพื่อให้แรงเหวี่ยงตีลูกที่มีอยู่จำกัดได้ถูกใช้อย่างเต็มที่ ในขณะที่แร็กเก็ตสัมผัสกระทบตีลูกนั้น แขนของผู้เล่นจะต้องเหยียดอยู่ในแนวตรงเสมอ
ข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นแก่ผู้เล่นที่ตีลูกหลังมือไม่แรงบ่อย ๆ นั้น เป็นเพราะผู้เล่นไม่ได้เหยียดแขนในแนวตรงขณะที่แร็กเก็ตสัมผัสลูกขนไก่ หรือไม่ก็เป็นเพราะตั้งหน้าแร็กเก็ตไม่ตรง หน้าแร็กเก็ตเอียง
ไปเพียงนิดเดียว จะทำให้ผลกระทบ (Impact) ของการตีลูกลดน้อยลงไปอย่างมากมาย
ลูกหลังมือ หรือแบ๊คแฮนด์ เป็นลูกที่จัดอยู่ในประเภทของการรับ (Defensive) ผู้เล่นหลาย ๆ คนอาจจะเลือกใช้ลูกคร่อมเหนือศีรษะ หรือ โอเวอร์เฮ็ด(Overhead)แทน เป็นลูกที่จัดอยู่ในประเภทรุก(Offensive) แต่การตีลูกคร่อมศีรษะนั้นกินแรงมากกว่าตีลูกหลังมือ อีกประการหนึ่งถ้าลูกที่พุ่งมาทางด้านซ้ายของผู้เล่นมากเกินไป ก็ไม่อาจจะใช้ตีด้วยลูกโอเวอร์เฮ็ดได้ แต่ก็มีผู้เล่นมากรายที่สามารถพัฒนาฝึกซ้อมจนการตีลูกหลังมือกลายเป็นจุดแข็ง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเดาไม่ออกว่าลูกที่จะข้ามไปนั้น จะข้ามไปในลักษณะใด จะเป็นการโยนโด่งสองมุมหลัง หรือแตะหยอดสองมุมหน้า หรือแม้แต่การตบลูกหลังมือด้วยลูกหลังมือแบ๊คแฮนด์ ก็ยังสามารถกระทำได้ด้วยความรุนแรง เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพของฝ่ายรับให้เป็นฝ่ายรุกได้
การตีลูกหลังมือ แบ๊คแฮนด์ให้แรง ต้องขยันฝึกตีลูกให้มากเป็นพิเศษ เหวี่ยงตีจนผู้เล่นสามารถจับจังหวะการตีลูกได้แรงตามต้องการ ต้องรำลึกไว้เสมอว่า แรงตีลูกที่มีเพียงการเหวี่ยงของแขน กับการตวัดกระชากของข้อมือเพียงสองแรงเท่านั้น ให้นำมาใช้เหวี่ยงกระตุกตีลูกให้แรงอย่างเต็มที่ และกระแทกตีลูกให้ปลิวออกจากแร็กเก็ตพุ่งไปยังจุดหมายตามต้องการ
ลูกหลักในเกมแบดมินตัน
ลูกหลักในกีฬาแบดมินตัน แบ่งออกได้เป็น 4 จำพวกใหญ่ ๆ คือ
- ลูกโยน (Lob or Clear)
- ลูกตบ (Smash)
- ลูกดาด (Drive)
- ลูกหยอด (Drop)
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเล่นหัดใหม่ หรือเล่นถึงระดับแชมเปี้ยน คุณก็หนีการเล่นลูกจำพวกนี้ไม่พ้น เป็นลูกหลักอันเป็นแม่บทของการเล่นแบดมินตัน แต่ละจำพวกของการตีลูกที่กล่าวมานี้ จะมีวิธีการตี การวางเท้าหรือฟุตเวิร์ค กับจังหวะการตีลูกที่แตกต่างกัน
ผู้เล่นที่ชำนาญแล้ว จะสามารถตีและบังคับลูก 4 จำพวกนี้ ให้ข้ามตาข่ายไปด้วยความหลากหลาย อาจจะมีความแตกต่างกันในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ เช่น วิถี ความเร็ว ความยาว ความกว้าง ความสูง ความลึก การฉีกมุม ความหนัก แรง เบา ความเฉียบคม ถ้าทำอย่างนี้ได้ และสามารถนำเอาความหลากหลายไปใช้ในสถานการณ์ที่ถูกต้องนั่นคือศิลปสุดยอด ของการเล่นกีฬาแบดมินตันที่จะยังผลให้ผู้เล่นมีสไตล์หลากหลายของการตีลูก (Varieties of Strokes) ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งคิดไม่ถึง เดาไม่ออกว่าเราจะส่งลูกข้ามไปในลักษณะใด แต่ละลูกที่ตีข้ามไปนั้น ล้วนแต่แฝงไปด้วยอัตราส่วนแห่งการหลอกล่อ(Deception)แฝงอยู่ในตัวอย่างมีประสิทธิพล สร้างแบบฉบับเกมเล่นแบดมินตันของตนเองให้เข้มแข็ง มีสไตล์การเล่นในเชิงรุก ดุดัน ยากแก่การพ่ายแพ้
ลูกโยน (Lob or Clear)
คือ ลูกที่ตีพุ่งโด่งข้ามไปในระดับสูง และย้อยตกลงมาในมุม 90 องศาในแดนตรงข้าม เป็นลูกที่ตีจากเหนือศีรษะ หรือ Overhead หรือจะงัดจากล่าง หรือ Underhand ก็ได้ ตีได้ทั้งหน้ามือ โฟร์แฮนด์ และหลังมือ แบ็คแฮนด์
|
ลักษณะการตีลูกโยน หรือ ลูกโด่ง
|
ลูกโยน เป็นลูกเบสิคขั้นพื้นฐาน นักเล่นหัดใหม่จะเริ่มจากการหัดตีจากลูกโยน จึงเป็นลูกเบสิคที่สุดในกีฬาแบดมินตัน มองเผิน ๆ แล้วส่วนมากจะคิดว่า ลูกโยนเป็นลูกที่ใช้สำหรับแก้ไขสถานการณ์ โยนลูกข้ามไปสูงโด่งมากเท่าใด ก็จะมีเวลาสำหรับการกลับทรงตัวของผู้เล่นมากเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ลูกโยนอาจจะใช้สำหรับเป็นการเล่นในเชิงรุกก็ได้ เช่น การตีลูกโยนแบบพุ่งเร็วจี้ไปยังมุมหลังทั้งสองด้าน (Attacking Clear) จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกเป็นฝ่ายรับ ถ้าอยู่ในสถานการณ์เสียหลักจวนตัว จะทำให้การแก้ไขกลับการทรงตัวได้ยากยิ่งขึ้น
ลูกโยน มีจังหวะการตีคล้ายคลึงกับการตบลูก แต่ไม่ต้องใช้แรงกดมากเท่า แทนที่จะตีกดลูกลงต่ำ กลับเป็นการตีเสยลูกให้พุ่งโด่งขึ้นไปด้านบน สุดแท้แต่ว่าผู้เล่นจะบังคับให้ลูกพุ่งข้ามไปในระดับ วิถี ความเร็วตามต้องการลูกโยนที่ข้ามไปอย่างสมบูรณ์แบบ จะต้องมีแรงวิ่งไกลถึงสุดสนามตรงข้าม และต้องไม่ดาดจนคู่แข่งสามารถดักตะปบตีลูกได้ครึ่งทาง ลูกโยนที่ไม่ถึงหลัง หรือตีเข้าสู่มือคู่ต่อสู้ จะทำให้ฝ่ายเราเสียเปรียบ
การตีลูกโยน ให้กลับไปดูบทก่อน ๆ ที่ว่าด้วยการตีลูก แรงของการตีลูก และจังหวะฟุตเวิร์คของการตีลูก ฝึกฝนให้ดีจนสามารถจับจังหวะการเหวี่ยงตีลูกโยนไปถึงด้านหลังของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่าย ๆ และสบาย ๆ ในจังหวะ วิถี และระดับที่เราสามารถบังคับให้ลูกข้ามไปตามที่เราต้องการ
ซูซี่ ซูซานติ แชมเปี้ยนโลกเดี่ยวหญิง และแชมเปี้ยนเหรียญทองโอลิมปิคหญิงเดี่ยวคนแรกของโลกจากอินโดนีเซีย มีลูกโยนที่เล่นได้เยี่ยมสุดยอด ลูกโยนของเธอตีง่าย ๆ ตีเนิบ ๆ แต่หนักแน่นและลึกถึงหลัง เธอสามารถตีป้อนโยนเข้ามุมหลังทั้งสองข้างได้ลึก และแม่นยำ จึงทำให้เธอได้ครองความเป็นราชินีแห่งการเล่นเดี่ยวหญิงของโลกอย่างต่อเนื่องหลายปีด้วย
ลูกโยน อาจจะแบ่งออกมาได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
- ลูกโยนหน้ามือ (Forehand Clear)
- ลูกโยนหลังมือ (Backhand Clear)
- ลูกงัดโยน (Underhand Clear)
ลูกโยนหน้ามือ
แรงตีเกิดจากการประสานของแรงเหวี่ยง แรงตวัด การสะบัดของลำแขน ข้อมือ จังหวะฟุตเวิร์คที่ถูกต้อง บวกกับการเปลี่ยนน้ำหนักตัวจากเท้าหลังไปสู่เท้าหน้า โดยที่แรงตีที่ผ่านแร็กเก็ตไปสัมผัสลูกในช่วงวินาทีที่ถูกจังหวะจะโคน รวมแรงดีด ผลัก ดันให้ลูกพุ่งสูงโด่งไปยังสนามตรงข้าม ตามเป้าหมายที่ต้องการ (ดูภาพสาธิตประกอบ)
ลูกโยนหลังมือ
แรงตีเกิดจากการประสานงานเช่นเดียวกับการตีลูกหน้ามือ แต่การวางฟุตเวิร์คสลับกัน และไม่มีแรงโถมที่มาจากการเปลี่ยนน้ำหนักตัวจากเท้าหลังไปสู่เท้าหน้า แรงตีลูกหลังมือเกือบทั้งหมดจึงมาจากแรงเหวี่ยง แรงตวัด และการสะบัดของลำแขน กับข้อมือ เท่านั้น โดยเหตุที่การตีลูกหลังมือ แหล่งที่มาของแรงตีลูกมีจำกัด แรงเหวี่ยง แรงตวัดของลำแขนที่มาจากหัวไหล่ กับแรงที่เกิดจากการสะบัดข้อมือ จึงจำเป็นต้องประสานงานสอดคล้องกันอย่างกลมกลืนเป็นจังหวะเดียว
โดยทฤษฎีแล้ว ลูกหลังมือน่าจะเป็นลูกรับสำหรับแก้ไขสถานการณ์มากกว่าเป็นลูกบุก แต่ถ้าฝึกตีลูกให้แรง และมีความคล่องแคล่วชำนาญ จะกลายเป็นการตีลูกที่ผู้เล่นสามารถสร้างเขี้ยวเล็บให้แก่การตีลูกหลังมือ ของตนกลายเป็นการเล่นเชิงรุก(Offensive Play)ได้ จังหวะของการดีด สะบัดข้อที่กระทำได้ในเสี้ยววินาทีกับแรงเหวี่ยงของแร็กเก็ตอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้เล่นสามารถพลิกโฉมจากเกมรับเป็นเกมรุกได้ในบัดดล เพียงแต่บิดหน้าแร็กเก็ต เปลี่ยนจุดเป้าหมายการตี ลูกก็จะวิ่งไปอีกทางหนึ่ง ทำให้ผู้เล่นสามารถสร้างสัดส่วนของการเล่นลูกหลอก(Deceptive Play)ได้อย่างแพรวพราวด้วยลูกหลังมือ ไม่ว่าจะเป็นลูกโยนหลังมือกระแทกไปมุมหนึ่งมุมใดของสองมุมหลัง หรือแตะหยอดด้วยหลังมือ บังคับให้ลูกวิ่งเข้าสู่มุมซ้ายขวาด้วยความเร็ว หรือบางทีอาจจะใช้ข้อตวัดตบด้วยหลังมือขนานเส้น หรือทะแยงมุมก็สามารถจะทำได้
ลูกงัดโยน
ลูกงัด คือการตีลูกโดยช้อนตวัดตีลูกจากล่างสะบัดขึ้นด้านบน หรือ Underhand เป็นการช้อนตีลูกจากต่ำไปสู่สูง เป็นลูกที่ไม่ต้องใช้แรงเหวี่ยงตีมากเท่าไหร่ ใช้ข้อกระตุกหรือสะบัดลูกก็จะปลิวออกจากแร็กเก็ตอย่างง่ายดาย ส่วนมากจะเป็นลูกที่เข้าประชิดด้านหน้าของสนาม เช่น การเข้ารับลูกแตกหยอดหรือลูกหยอดที่ฝ่ายตรงข้ามส่งข้ามมา หรือการรับลูกตบ เป็นต้น
|
ลูกงัดใช้ตีได้ทั้งหน้ามือและหลังมือ เป็นลูกที่ได้แรงตีมาจากการตวัด กระตุกหรือสะบัดของข้อมือมากกว่าแรงตีจากแหล่งอื่น การตีลูกงัดผู้เล่นต้องยืดแขนและตีลูกสุดช่วงแขน
ลูกงัดบริเวณหน้าตาข่าย ถ้าเข้าประชิดลูกได้เร็ว มีโอกาสตีลูกในระดับสูง จะใช้เป็นลูกหลอกล่อคู่ต่อสู้ด้วยการเล่นลูกสองจังหวะ เหยียดแขนยื่นแร็กเก็ตออกไป จะทิ้งเป็นลูกหยอดก็ได้ หรือจะกระแทกลูกไปด้านหลังของสนามตรงข้ามก็ได้ จะเป็นการเล่นลูกหลอกสองจังหวะที่สำคัญอีกลูกหนึ่งในเกมเล่นแบดมินตันที่ผู้เล่นทุกคนจะมองข้ามไม่ได้
|
|
"ลักษณะของการเข้าประชิดตีลูกงัดโฟร์แฮนด์ และแบ๊คแฮนด์ หน้าแร็กเก็ตจะวางเหมือนกับการหยอดลูก ที่สามารถใช้เป็นลูกหลอกสองจังหวะด้วยการผลักลูกไปด้านหลังสนามแบบงัดดาดได้"
|
การงัดลูกแบ่งเป็นสองวิถีใหญ่ ๆ คือ การงัดลูกให้พุ่งข้ามไปโดยไม่โด่งนัก ใช้เป็นการงัดลูกแบบรุก อีกวิถีหนึ่งคือการงัดลูกโด่ง ดึงให้คู่ต่อสู้ไปด้านหลังสนาม เพื่อให้เวลาสำหรับการกลับทรงตัวสู่จุดศูนย์กลางได้มากขึ้น
ฝึกหัดตีลูกโยนตามหลักวิธีที่แนะนำมาถึงขั้นตอนนี้ โปรดอย่าลืมหลักขั้นพื้นฐานที่ได้อธิบายไว้แล้วในบทก่อน ๆ ทุกครั้งที่ตีลูก จะต้องไม่ลืมหลักการตีลูกใหญ่ ๆ ดังนี้ คือ
หน้าแร็กเก็ตต้องตั้งให้ตรงขณะตีลูก
ขณะที่แร็กเก็ตสัมผัสกระทบตีลูกนั้น แขนของผู้เล่นจะต้องเหยียดอยู่ในแนวตรงเสมอ
วิ่งเข้าไปหาลูก อย่ารอให้ลูกวิ่งเข้ามาหาเรา
เข้าประชิดตีลูกในระดับสูงที่สุดเท่าที่เราสามารถจะทำได้ และ
ต้องรู้จักดักลูก และเข้าปะทะ (Intercept) ลูกให้เร็วขึ้นเสมอ
วิธีตีลูกหลัก
ในเกมแบดมินตัน - การตบลูก
ได้อธิบายวิธีการตี ลูกโยน ลูกงัด ซึ่งเป็นลูกหลักในเกมแบดมินตันไว้ในบทก่อน คราวนี้จะได้กล่าวถึงวิธีการตีลูกหลักอีกลูกหนึ่ง คือ ลูกตบ (Smash)
ลักษณะของการตบลูก และการเหวี่ยงตามของแขน (ฟอลโลว์ทรู)
|
ลูกตบ (Smash)
ในเกมแบดมินตัน ลูกตบ เป็นลูกเด็ดขาดที่ตีจากเบื้องสูง กดลูกลงสู่เป้าหมายให้พุ่งลงสู่พื้นในวิถีตรงที่รุนแรง และรวดเร็ว (ดูภาพ ) เป็นลูกที่พุ่งไปสู่เป้าหมายด้วยความเร็วที่สูงกว่าเกมเล่นอื่น ๆ ที่ใช้แร็กเก็ต เป็นลูกที่ใช้บีบบังคับให้คู่ต่อสู้ต้องตกเป็นฝ่ายรับ มีเวลาจำกัดสำหรับการเตรียมตัวตอบโต้ ลูกตบเป็นลูกฆ่า เป็นลูกทำแต้มที่ได้ผล ถ้ารู้จักใช้อย่างถูกต้อง
ลูกตบใช้ในโอกาสต่าง ๆ คือ
1. เมื่อคู่ต่อสู้โยนลูกข้ามตาข่ายมาเพียงรึ่งสนาม หรือส่งลูกข้ามมาไม่ถึงหลัง
2. เมื่อต้องการบีบให้คู่ต่อสู้เสียหลัก ผละออกจากจุดศูนย์กลาง
3. เมื่อต้องการให้คู่ต่อสู้กังวลใจ พะวงอยู่กับการตั้งรับ
4. เพื่อผลของการหลอกล่อ เมื่อคู่ต่อสู้เกิดความกังวลใจ ทำให้ประสิทธิผลของการใช้ลูกหลักอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น
5. เมื่อต้องการเผด็จศึก ยุติการตอบโต้ หรือใช้เมื่อคู่ต่อสู้เผลอตัว หรือเสียหลักการทรงตัว บุกทำคะแนนด้วยลูกเด็ดขาด
ที่จะตบลูกพุ่งเข้ามาหาตัวก็ได้
วิถีของลูกตบ
|
วิถีของลูกตบ
|
การตบลูกไม่ควรตบข้ามไปในวิถีเดียว ควรบังคับให้ลูกตบข้ามไปในลักษณะต่างกัน สั้นบ้าง ยาวบ้างสลับกันไป การตบลูกให้ข้ามไปในลักษณะช่วงสั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งโยนข้ามมาครึ่งสนาม หรือบางครั้งผู้เล่นที่มีรูปร่างสูงยาว อาจจะใช้การกระโดดตัวลอยจากพื้น เพื่อสร้างมุมตบลูกได้ในระดับสูง เพื่อปักหัวลูกให้ลึกไปยังแดนตรงข้ามได้มากตามระดับที่ตัวเองสามารถกระโดดลอยตัวขึ้นตบลูกได้ (ดูภาพที่ ) ซึ่งบางครั้งผู้ตบยังสามารถใช้ลูกท้อปสะปิน หรือครึ่งตบครึ่งตัด สร้างลูกตบข้ามไปในวิถีประหลาด ๆ ยากแก่การเดาของคู่ต่อสู้ได้
การกระโดดถีบตัวขึ้นตบลูก นอกจากทำให้ผู้ตบตีลูกในระดับสูงได้ และทำให้มีมุมลึกในการตบลูกแล้ว บางครั้งยังใช้เป็นการหลอกล่อ (Deception) คู่ต่อสู้ได้ แทนที่จะตบลูกด้วยความรุนแรงเพียงอย่างเดียว อาจจะแตะหยอดสลับก็ได้ ทำให้เกิดความหลากลายในการตีลูก เกิด Varieties of Strokes
|
วิถีหลากหลายของลูกตบ
|
ลูกตบคร่อมศีรษะ (Overhead Smash)
ลูกตบคร่อมศีรษะ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ลูกตบโอเวอร์เฮ็ด บางทีก็เรียกกันว่าลูกตบอ้อมศีรษะ เป็นลูกที่ใช้เล่นแทนลูกหลังมือ หรือแบ็คแฮนด์กันบ่อยที่สุด ผู้เล่นที่ใช้สไตล์การเล่นแบบรุก จะนิยมใช้ลูกโยนหรือลูกตบคร่อมศีรษะกันมาก เพราะจู่โจมคู่ต่อสู้ได้ดีกว่า มีประสิทธิผลมากกว่า แทนการใช้ตีด้วยลูกหลังมือที่ต้องหันข้าง หรือหันหลังให้ตาข่ายกับคู่ต่อสู้
ลูกคร่อมศีรษะ เป็นการตีลูกจากระดับสูง ผู้เล่นจึงมีโอกาสเลือกมุมกับเป้าหมายการตีได้กว้างลึกกว่า เล็งกำหนดเป้าหมายให้เป็นลูกตบยาว หรือสั้นก็ได้ เป็นการตีลูกที่ผู้เล่นหันหน้าเข้าหาสนามคู่แข่ง การเคลื่อนไหวหรือตำแหน่งที่ยืนของคู่แข่งย่อมอยู่ในสายตา การกำหนดวางเป้าหมายย่อมกระทำได้ง่ายขึ้น
เป้าหมายการตบลูกคร่อมศีรษะที่ใช้กันมาก และใช้ได้ผลมากที่สุด ได้แก่การตบขนานเส้นข้าง (Pararel Smash) และการตบทแยงสนาม (Cross Court Smash) (ดูภาพที่ หมายเลข 1 และ 2) เพราะเป็นการตบลูกที่ทำให้คู่ต่อสู้เดาหรือคาดคะเนได้ยาก ดูไม่ออกว่าเป้าหมายการตบนั้นจะพุ่งไปสู่ด้านซ้ายหรือด้านขวาของสนาม เป็นการตบตวัดลูกที่มีความเร็วในการเปลี่ยนทิศทางของเป้าหมาย ถ้าทำได้อย่างแนบเนียน จะสร้างความปั่นป่วนระส่ำระสายแก่ฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก
การตบลูกขนานเส้นข้าง (หมายเลข 1) มีแนวโน้มที่จะตบออกนอกเส้นได้ง่าย เพราะการจับแร็กเก็ตแบบตัว วี. หน้าแร็กเก็ตจะหันออกด้านซ้าย ลูกที่ตบข้ามไปมักจะเฉออกทางด้านซ้ายของสนาม การเล็งเป้าหมายตบลูกจึงต้องเล็งเผื่อเข้ามาในสนามเล็กน้อย ในทำนองเดียวกัน การตบลูกขนานเส้นด้านขวา (หมายเลข 4) ลูกที่ตบข้ามไปจะมีความแน่นอนกว่า เพราะวิถีของลูกจะมีแนวโน้มเฉเอียงเข้ามาในสนาม
การตบลูกทแยงสนาม ต้องตวัดลูกข้ามไปด้วยการพุ่งเร็ว และพึงระวังการดักลูก (Intercept) ของคู่ต่อสู้ ณ จุดหมายเลข 3 การตบลูกทแยงสนามสามารถทำได้ทั้งสองด้าน ทั้งคร่อมศีรษะและด้านโฟร์แฮนด์ (ดูภาพที่ ) จะเป็นลูกตบที่สร้างความลำบากใจแก่ฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างมาก เพราะวิถีกับมุมของลูกตบที่ข้ามไปมีหลากหลาย ยากแก่การเดาและคาดคะเนของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ก็เป็นลูกที่ข้ามตาข่ายอย่างเฉียดฉิว ง่ายแก่การตีติดตาข่ายถ้าการตบมีการกดลูกมากเกินไป
เป้าหมายของการตบลูก
เป้าหมายของลูกตบ แบ่งออกได้เป็น
1. ตบลูกให้ห่างตัวผู้รับ
2. ตบลูกพุ่งเข้าหาตัวผู้รับ
ตบลูกห่างตัวผู้รับ – เป็นการตบลูกแบบเบสิคพื้นฐาน บีบบังคับให้คู่ต่อสู้ผละออกจากศูนย์กลางสนาม ละจากจุดศูนย์กลางเพื่อไปรับลูก ณ อีกจุดหนึ่ง ระหว่างที่ต้องเคลื่อนย้ายผละจากที่มั่นเดิม คู่แข่งอาจจะกระทำการผิดพลาดในจังหวะใดจังหวะหนึ่ง ยังผลให้ตีหรือรับลูกกลับมาผิดพลาด สั้นไปหรือยาวเกินไป ทำให้เปิดโอกาสให้เราซ้ำเติมในลักษณะการรุกโจมตีซ้ำดาบสองได้
ในทำนองเดียวกัน การฉีกแยกคู่แข่งออกจากจุดศูนย์กลาง ย่อมทำให้อีกด้านหนึ่งของสนามเกิดช่องว่างมากขึ้น ทำให้เราสามารถตีโยกบีบให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดการเพลี่ยงพล้ำขึ้นโดยง่าย หรือบางครั้งอาจจะบีบให้ตีลูกเสียเอง หรือเกิด Unforced Error อย่างคาดไม่ถึงก็ได้
ตบลูกพุ่งเข้าหาตัวผู้รับ – เป็นการตบลูกสวนทางกับหลักการเลือกเป้าหมายการตีลูกในเกมแบดมินตัน แต่อาศัยที่ลูกตบเป็นลูกที่พุ่งเร็วและแรง การตบลูกพุ่งเข้าหาตัวคู่ต่อสู้อาจจะทำให้เกิดความเพลี่ยงพล้ำอย่างง่ายๆ ก็ได้ เพราะความเร็วกับความแรงของลูกทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีเวลาสำหรับเตรียมการตอบโต้ ยิ่งผู้เล่นที่อ่อนฟุตเวิร์คจัดจังหวะเท้าไม่ถูก จัดจังหวะเท้าไม่คล่องตัว ก็อาจจะเอี้ยวตัวหลบไม่ทัน เพื่อเปิดมุมสะวิงสำหรับเหวี่ยงตีลูกได้ถนัด หรือบางครั้งคาดไม่ถึง
คิดว่าผู้ตบมีแนวโน้มที่จะกำหนดเป้าหมายการตบลูกไปอย่าง ส่วนว่างของสนามมากกว่าที่จะตบลูกพุ่งเข้ามาหาตัวก็ได้
การตีลูกหลักในเกมแบดมินตัน - ลูกดาด
ลูกดาด (Drive) คือ ลูกดาดที่พุ่งเฉียดข้ามตาข่าย มีวิถีพุ่งข้ามขนานไปกับพื้นสนาม ผู้เล่นตีลูกดาดสูงในระดับอก ตีได้ทั้งหน้ามือโฟร์แฮนด์ และหลังมือแบ็คแฮนด์ทั้งจากด้านซ้ายและขวาของลำตัว (ดูภาพที่ 1)
|
(ภาพที่ 1) วิถีของลูกดาด
|
ลูกดาดที่ตีจากระดับต่ำ ลูกที่ข้ามไปจะเป็นลอยสูงไม่ขนานกับพื้นสนาม มีแนวโน้มที่จะข้ามตาข่ายไปในลักษณะของลูกงัดโด่ง
ลูกดาดใช้สำหรับสร้างสถานการณ์เป็นฝ่ายรุกโจมตี ไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งตอบโต้กลับมาด้วยลูกตบ เป็นลูกที่พุ่งข้ามตาข่ายด้วยความเร็วในวิถีตรง โดยที่ผู้เล่นสามารถวางเป้าหมายให้ลูกพุ่งไปสู่ทุกจุดของสนามตรงจ้าม อาจจะเป็นลูกดาดสุดสนาม (ดูภาพที่ หมายเลข 1) ดาดครึ่งสนาม (หมายเลข 3) หรือตีเบา ๆ ให้กลายเป็นลูกแตะหยอด (หมายที่ 2)
|
(ภาพที่ 2) ลูกดาดวิถีต่าง ๆ
|
ลูกดาดใช้กันมากในประเภทคู่ เพราะลูกดาดรักษาความเป็นฝ่ายรุก หลีกเลี่ยงการส่งลูกโด่งเปิดโอกาสให้คู่แข่งใช้ลูกตบได้ อีกทั้งยังบีบบังคับให้คู่แข่งมีเวลาสำหรับการตีโต้กลับมาด้วยช่วงเวลาสั้น ยิ่งถ้าคู่แข่งเสียหลักถลำไปอีกซีกหนึ่งของสนาม ลูกดาดที่พุ่งไปอีกด้านหนึ่งของสนาม จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่สามารถจะกลับตัวมาตีลูกได้
ในการเล่นประเภทคู่ ลูกดาดแทงครึ่งสนามยังใช้สำหรับหลบผ่านผู้เล่นที่อยู่ด้านหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง ในขณะเดียวกันวิถีดาดของลูกที่ข้ามไป ผู้เล่นมือหลังก็ไม่อาจจะตอบโต้กลับมาด้วยลูกตบได้ ถ้าใช้ลูกดาดพุ่งไปยังมุมที่สามของฝ่ายตรงข้าม ในหลาย ๆ ครั้งจะพลิกสถานการณ์จากการเป็นฝ่ายรับให้กลายเป็นฝ่ายรุกได้ทันที
ลูกดาด เป็นแรงตีที่มาจากแรงเหวี่ยงของแขน ผสมผสานกับแรงตวัดของข้อมือ อาจจะมีแรงโถมของน้ำหนักตัว หรือไม่มีเลยก็ได้
การกำหนดแรงตี จะทำให้ลูกดาดข้ามไปยังเป้าหมายที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นลูกดาดสุดสนาม แรงเหวี่ยงตีกับการตวัดของข้อมือก็ต้องออกแรงเต็มที่ ถ้าเป็นลูกดาดครึ่งสนามก็ต้องลดความแรงลงบางส่วน แต่ก็ยังต้องใช้การดีดตวัดของข้อมือช่วยส่งลูก เพื่อให้ลูกดาดที่ข้ามตาข่ายไปนั้น มีวิถีวิ่งที่ฉวัดเฉวียนรวดเร็ว คู่ต่อสู้ไม่อาจจะมาดักตะปบลูกได้
หรือบางครั้งจะใช้เป็นลูกหลอก แทนที่จะเป็นลูกดาดพุ่งเร็ว อาจจะตีเป็นลูกแตะหยอดทิ้งไว้หน้าตาข่ายของอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ แต่ต้องเป็นวิถีการตีลูกที่เร็ว ไม่อ้อยอิ่งจนอีกฝ่ายหนึ่งพุ่งเข้ามาแย๊ปได้
ลูกดาดที่สมบูรณ์ ต้องข้ามตาข่ายไปในวิถีตรง ลูกพุ่งข้ามไปด้วยความเร็ว ในขณะเดียวกันต้องข้ามไปในวิถีวิ่งเลียดตาข่าย ลูกดาดที่พุ่งสู่เป้าหมายห่างตัวคู่ต่อสู้มากเท่าใด จะเป็นการวางลูกที่สร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้ตี และบีบให้อีกฝ่ายหนึ่งตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเป็นฝ่ายรับ ในหลาย ๆ กรณีต้องตอบโต้กลับมาเป็นลูกงัด หรือลูกโยนโด่ง เปิดโอกาสให้เราเป็นฝ่ายทำ เป็นฝ่ายรุกโจมตีได้
ลูกดาดที่ตีง่าย และถนัด ได้แก่ลูกที่พุ่งมาสองด้านของลำตัว เพราะมีมุมสำหรับเหวี่ยงตีลูก แต่ในบางกรณี ลูกที่พุ่งตรงเข้ามาหาลำตัว ผู้เล่นจำเป็นที่จะต้องใช้จังหวะเท้าฟุตเวิร์คดันตัวเองให้พ้นวิถีลูก เพื่อเปิดมุมสำหรับเหวี่ยงตีลูกได้ ควรกำหนดระยะการประชิดให้พอที่จะตีลูกได้อย่างสบาย ปล่อยลำแขนเหวี่ยงตีลูกและตวัดข้อมือได้อย่างเสรี ควรตีลูกในระดับสูง และเป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาลูกเสมอ
ลูกดาด - ด้วยการนั่งย่อตี
การตีลูกดาดด้วยการนั่งย่อตี กล่าวได้ว่าเป็นวิธีการตีแบดมินตันที่คนไทยริเริ่มขึ้น มาจากการเล่นประเภทสาม หรือเกมเล่นที่มีผู้เล่นฝ่ายละสามคน
การนั่งย่อตัวตีสวนลูกใช้ได้ผลดีในประเภทคู่ ถึงกระนั้นก็ไม่ควรใช้บ่อย เพราะการนั่งย่อตัวตีลูก ทำให้การกลับลำทรงตัวช้า บางครั้งอาจจะทำให้พลาดพลั้งหรือเสียการทรงตัว แต่การนั่งย่อตีสวนลูกดาดในจังหวะที่เหมาะสม กลายเป็นวิธีการเล่นที่ส่งลูกข้ามตาข่ายไปในวิถีที่ฝ่ายตรงข้ามคาดไม่ถึง อาจใช้ในกรณีที่จวนตัว หรือลูกที่พุ่งตรงเข้าหาลำตัว เป็นการแก้ไขพลิกสถานการณ์จากฝ่ายรับให้เป็นฝ่ายรุกได้
การฝึกตีลูกดาด ให้ผู้เล่นสองคนอยู่คนละฝ่ายของสนาม ตีลูกดาดด้วยการยืนอยู่ประมาณครึ่งสนาม ตีซ้ายขวาข้ามไปมาช้า ๆ พยายามบังคับให้ลูกวิ่งเลียดข้ามโดยไม่ติดตาข่าย ในระยะแรก ๆ ให้เผื่อข้ามเลยตาข่ายไว้ก่อน เมื่อเกิดความชำนาญ เกิดทักษะ จึงค่อยทวีความแรง กับความเร็วมากขึ้น
หวังว่าคงได้เทคนิคดีๆที่จะนำไปเล่นนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ
โอ้โห~!!! ว่าที่นักกีฬาเเบดมินตัน...ขอให้สมปราถนานะเพื่อน(ก่อนอื่นไปฝึกให้ได้เหมือนในรูปเเละมาชนะเราก่อนนะจ๊ะ)
เยี่ยมมาก
เก็บไว้ดูก่อนสอบได้ มีประโยชน์ต่อคนอื่นด้วย
ทำได้เลย กี่เรื่องก็ได้ อย่าลืมส่งชื่อมาบอกกันด้วยจะได้ up เป็นผลงานไว้ให้