• user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:87cb8ee1fdee25af880d039cadf5251d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><div>\n<p align=\"center\">\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ประวัติศาสตร์และ<span>อารย</span>ธรรมโรมัน</span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">โรมสมัยต้น</span></b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">โรมก่อตัวจากหมู่บ้านทางภาคกลางของอิตาลี</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"> <span lang=\"TH\"> อุปนิสัยของโรมันคือ ความเคร่งขรึมและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ความสามารถทางทหารของโรมันอยู่ที่ความอดทนมากกว่ายุทธวิธีที่ฉลาดปราดเปรื่อง</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ระยะแรกสำหรับประวัติศาสตร์โรมนั้นค่อนข้างมืดมน ราว </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">750 <span lang=\"TH\">ปีก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">มีผู้อพยพมาตั้ง ถิ่นฐานแถบภูเขาพาเลน<span>ไตน์</span>ใกล้แม่น้ำไทเบอร์</span><span> <span lang=\"TH\"> ต่อมาประมาณ</span></span><span lang=\"TH\"> </span>600 <span lang=\"TH\">ปี ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">บรรดาผู้อพยพต่างรวมตัวกันตั้งนครรัฐแห่งโรมขึ้น ทำเลของนครรัฐตั้งอยู่ในที่ซึ่งเหมาะสม เหมาะสำหรับความเจริญของโรมในอนาคตทางเหนือของโรมติด<span>ต่อกัย</span>ดินแกนที่เรียกว่า <span>อีทรูเรีย</span> คือ <span>ทัสคานี</span>ปัจจุบัน <span>อีทรูเนีย</span>เป็นที่อยู่อาศัยของพวกที่มี<span>อารย</span>ธรรมสูงเรียกว่า <span>อีทรัส</span>กัน ซึ่งเป็นพวกที่วางรูปวัฒนธรรมของชาวโรมันแต่เริ่มแรก</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ชาว<span>อีทรัส</span>กันเป็นพวกที่รับ<span>อารย</span>ธรรม<span>กรีก</span>มาผสมผสานกับ<span>อารย</span>ธรรมของตนและส่งต่อให้กับโรม การปกครองของโรมในระยะแรกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่มีพื้นเพ<span>เป็นอิทรัส</span>กัน ความเป็นผู้นำที่มีความสามารถและมุ่งต่อการรุกราน ทำให้ชาวโรมันเป็นชาติที่ทรงอำนาจเหนือชนชาติอื่น ๆ ในละติ<span>อุม</span>ชุมชนโรมันเจริญทั้งกำลังและความมั่งคั่ง และแล้วก็ได้มีการสร้างวิหารใหญ่โตตามแบบสถาปัตยกรรมของ<span>อีทรัส</span>คันขึ้นบนภูเขาแห่งหนึ่งสำหรับเทพเจ้าจูปี<span>เตอร์</span>ของชาวโรมัน</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในราว </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">509 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">ขุนนางโรมันประสบความสำเร็จในการล้มกษัตริย์<span>อีทรัส</span>กัน</span><span> <span lang=\"TH\"> และเปลี่ยนแปลงระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐปกครองโดยชนชั้นขุนนาง</span></span><span lang=\"TH\"> มีประมุข </span>2 <span lang=\"TH\">คน แทนที่กษัตริย์เรียกว่ากงสุลสภาขุนนาง </span>(<span lang=\"TH\">สภา<span>เชเนท</span></span>) <span lang=\"TH\">เลือกตั้งกงสุลเป็นประจำทุกปี กงสุลปกครองโดยมีสภาขุนนางเป็นที่ปรึกษาการปกครองนั้น แม้จะปกครองในนามชาวโรมันแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชนชั้นสูง คือ <span>แพทริเชียน</span> ส่วนชนชั้นต่ำหรือเพลเบียนนั้น เกือบไม่มีสิทธิทางการเมืองเลย การแต่งงานระหว่าง</span>    <span lang=\"TH\"> เพลเบียนกับ<span>แพทริเชียน</span>ยังเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในระยะแรก ๆ </span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">พวกเพลเบียนค่อย ๆ ยกฐานะของตน เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง ในชั้นแรกพวกนี้รวมกลุ่มกันจัดตั้งสภาที่ปรึกษา ซึ่งต่อมากลายเป็นองค์กรสำคัญทางการเมืองที่เรียกว่าสภาของเผ่า พวกเพลเบียนเลือกตัวแทนของตนเรียกว่า <span>ทรีบูน</span> ให้เป็นปากเสียงและเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตนในรัฐบาลซึ่งคุมโดย<span>แพทริเชียน</span> <span>ทรีบูนเป็น</span>พวกที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">เมื่อประมาณ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">450 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">ได้มีการนำกฎหมายที่สืบทอดกันมาตามประเพณีมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายสิบสองโต๊ะ กฎหมายนี้ช่วยพิทักษ์บรรดาเพลเบียนให้พ้นจากอำนาจตามอำเภอใจของกงสุลที่มาจากชนชั้น<span>แพทริเชียน</span> กฎหมายสิบสองโต๊ะนี้นับว่ามีความสำคัญมากต่อพัฒนาการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญของโรมัน</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">การพิทักษ์ทางกฎหมาย ทำให้เพลเบียนสามารถจัดการกับเรื่องการจัดสรรที่ดินให้พวกตนได้รับการแบ่งปันบ้าง สภาของเป่าของพวกเพลเบียนได้รับอำนาจในการริเริ่มร่างกฎหมายและมีบทบาทในการปกครองโรมัน ช่วงนี้การแต่งงานกลายเป็นสิ่งไม่ต้องห้าม ต่อมามีกฎหมายที่รองรับให้เพลเบียนมีบทบาทในการปกครองมากขึ้น มาตรการเหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโรมไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสำเร็จบริบูรณ์ในปี </span><span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">287 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>.</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">การแผ่อำนาจของโรมนั้น มีทั้งการเป็นพันธมิตรและการทำสงครามกับพวกที่เป็นศัตรู อาณาจักรของโรมขยายตัวไปเรื่อย ๆ แต่ชาวโรมันมักจะใจกว้างต่อบรรดาชาติอิตาลีที่ตนเข้าปกครอง โดยยอมให้มีการปกครองตนเองมากพอสมควร จึงมักประสบความสำเร็จในการรักษาความสวามิภักดิ์ไว้ได้ ในเวลาต่อมาเมื่อพิสูจน์ว่าคนในปกครองจงรักภักดีก็จะยอมให้เป็นพลเมืองโรมัน ด้วยวิธีการนี้โรมจึงสามารถสร้างจักรวรรดิที่มีอายุยืนยาวกว่าจักรวรรดิเอเธนส์ของเพริ<span>เคลส</span> เมื่อประมาณ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">265 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">โรมอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกับ<span>คาร์เธจ</span>และนครรัฐทายาทของ<span>กรีก</span> คือ เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของทะเล <span>เมดิเตอเร</span>เนียน</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">สงคราม<span>พิวนิค</span> </span></b><span><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">(264 – 146 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>.)</span></b></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">เมื่อโรมกับ<span>คาร์เธจ</span>เผชิญหน้ากัน ได้เกิดสงคราม </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">3 <span lang=\"TH\">ครั้ง เรียกว่า สงคราม<span>พิวนิค</span> </span>(The Punic War, <span><span lang=\"TH\">พิวนิค</span></span><span lang=\"TH\">มาจากคำว่า โพเอ<span>นุส</span> ในภาษาละ<span>ติน</span> ซึ่งเป็นคำเรียกพวก<span>ฟิ</span>นิเชียหรือ<span>คาร์เธจ</span></span>) <span lang=\"TH\">สงคราม<span>พิวนิคค</span>รั้งแรกเกิดเมื่อ </span>246 – 241 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ </span>218 – 201<span>  <span lang=\"TH\">ก่อน</span></span><span lang=\"TH\"> ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">สงครามสองครั้งแรกนี้กินเวลานานและรุนแรงมาก โรมพ่ายแพ้ในการรบหลายครั้ง แต่ก็อดทนจนได้ชัยชนะในการรบครั้งสุดท้ายเมื่อ </span>149 – 146 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span><span lang=\"TH\">คาร์เธจ</span></span><span lang=\"TH\">เหลือแต่ซาก โรมได้ครองดินแดนอันกว้างใหญ่ของ<span>คาร์เธจ</span>ใน<span>อาฟ</span>ริกา ซิซิลี และ สเปน</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ชัยชนะของโรมเหนือ<span>คาร์เธจ</span> ยังผลให้โรมมีอำนาจเหนือรัฐอื่นในทะเล<span>เมดิเตอเร</span>เนียน บรรดาอาณาจักร<span>กรีกเฮลเล</span>นิ<span>สติค</span>ที่แก่งแย่งชิงดีกัน มักของความช่วยเหลือจากโรมให้ช่วยต่อต้านศัตรูของตน โรมให้ความสนับสนุนเพื่อรักษา<span>ดุลย์</span>แห่งอำนาจ แต่ต่อมาโรมเข้าปกครองเสียเอง ระหว่างศตวรรษที่ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">2 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">โลก<span>เฮลเล</span>นิ<span>สติค</span>ส่วนมากอยู่ภายใต้อำนาจโรมันทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อมา </span>189 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">โรมได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือพวก<span>ซีลู</span>ซีด และปราบปรามแมกซิโด<span>เนีย</span>ได้ในปี </span>148 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">และทำลายเมืองคอ<span>รินธ์</span> ในปี </span>146 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">โรมค่อย ๆ เปลี่ยนกรีซให้กลายเป็นมณฑลโรมันภายใต้การปกครองของข้าหลวงแห่งรัฐ อาณาจักร<span>เฮลเล</span>นิ<span>สติค</span>ที่เหลือไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะยอมรับความเป็น</span>  <span lang=\"TH\"> ผู้นำของโรมและค่อย ๆ กลายเป็นมณฑลของโรมไปในที่สุด</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในส่วนของโรมนั้น เมื่อเป็นใหญ่เหนือโลกทะเล<span>เมดิเตอเร</span>เนียน ได้เกิดปัญหาในการปรับตัวของรัฐบาลให้เหมาะสมกับการปกครองจักรวรรดิ</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองระหว่างปี </span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">246 – 146 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>.</span></b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ช่วงระยะเวลาระหว่างสงคราม<span>พิวนิค</span>ทั้ง </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">3 <span lang=\"TH\">ครั้ง ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโรม ส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงมาจากความเป็นมาในความมั่งคั่งร่ำรวย และความสำเร็จทางด้านการทหาร ซึ่งค่อย ๆ บ่อนทำลายคุณความดีดั้งเดิมของพลเมือง อีกนัยหนึ่งเมื่อโรมพิชิต<span>กรีก</span>นั้น โรมค่อย ๆ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลก<span>เฮลเล</span>นิ<span>สติค</span> ทั้งความฟุ่มเฟือยและความเป็นปัจเจกชนนิยมอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้ได้กัดกร่อนความเป็นอนุรักษ์นิยม และการอุทิศตนเพื่อส่วนรวมของคนโรมัน แต่การสูญเสียของโรมก็ได้รับการทดแทนในเรื่องของวัฒนธรรมและภูมิปัญญา โรมได้รับ<span>หลักสโตอิค</span>เกี่ยวกับเรื่องภราดรภาพสากลเป็นหลักปรัชญาที่เหมาะสมสำหรับจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษโรมันหลายคนได้กลายเป็น<span>พวกสโตอิค</span> ส่วนทางด้านการเกษตรโรมได้รับเอาเทคนิคการเกษตรแบบ<span>เฮลเล</span>นิ<span>สติค</span>เข้ามาด้วย คือ การทำกสิกรรมขนาดใหญ่</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">การทำกสิกรรมขนาดใหญ่ หรือ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">“<span lang=\"TH\">ลาติฟุน<span>เดีย</span></span>” <span lang=\"TH\">เกิดขึ้นเนื่องจากการทำสงครามได้นำความมั่งคั่งและทาสจำนวนมากมาสู่ชาวโรมัน อิตาลีทางภาคกลาง และภาคใต้จึงเต็มไปด้วยผืนนาขนาดใหญ่เข้าแทนที่นาอิสระเล็ก ๆ นาอิสระเล็ก ๆ จะผลิตข้าวชนิดต่าง ๆ ส่วนลาติฟุน<span>เดีย</span>มุ่งผลิตพืชผลที่ค้ากำไร เช่น องุ่น เพื่อทำเหล้า มะกอกเพื่อทำน้ำมันมะกอก รวมทั้งเลี้ยงแกะ ชาวนาเล็ก ๆ นั้น เมื่อถูกเกณฑ์ทหารบ่อยเข้า ได้ขายที่นาแก่เจ้าของลาติฟุน<span>เดีย</span> และในที่สุดต้องอพยพเข้าเมืองไปอยู่ตามเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงโรม ต่อมาคนอพยพที่ว่างงานเหล่านี้จะก่อความไม่สงบหลายครั้ง จนทำให้รัฐบาลหวาดเกรงและใช้นโยบายให้อาหารตลอดจนการบันเทิงโดยไม่คิดมูลค่า จนเป็นการเพาะนิสัยว่าจะต้องได้ </span>“<span lang=\"TH\">ขนมปังและละครสัตว์</span>”</span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในขณะที่โรมต่อสู่กับ<span>คาร์เธจ</span>นั้น การค้าที่เติบโตขึ้นทำให้เกิดชนชั้นใหม่คือนักธุรกิจและผู้รับเหมางานสาธารณประโยชน์ เมื่อพวกนี้มั่งคั่งขึ้นจะกลายเป็นคู่แข่งของขุนนางสมาชิกสภา<span>เซเนท</span>เจ้าของที่ดิน ชนชั้นใหม่นี้เรียกว่า อัศวิน หรือ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">“<span lang=\"TH\">ผู้ขี่ม้า</span>” <span lang=\"TH\">เพราะพวกนี้สามารถรับราชการในกองทัพโดยเป็นทหารม้ามากกว่าทหารราบ ชนชั้นขี่ม้านี้ปกติจะไม่สนใจการเมืองนอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของตน ชัยชนะทางทหารและการติดต่อกับโลก<span>เฮลเล</span>นิ<span>สติค</span> ทำให้พวกขุนนางเจ้าที่ดินและชนชั้นขี่ม้ามีความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยฟุ่มเฟือย ช่วงระหว่างคนรวยกับคนจนก็ขยายกว้างไปเรื่อย ๆ แรงกดดันความไม่สงบในสังคมเริ่มคุกคามเสถียรภาพของสังคมโรมัน</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ข้าหลวงและขุนนางโรมันในสมัยนี้ปกครองแบบไม่ยุติธรรมซึ่งต่างจากในสมัยแรก มีการขูดรีดประชาชนประชาชนเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งเป็นส่วนตัว การฉ้อราษฎร์บังหลวงนี้ได้รับการลงโทษสถานเบาเพราะผู้พิพากษาบางคนลังเลใจที่จะลงโทษขุนนางชั้นเดียวกับตน และบางคนก็รับสินบน</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ความรุนแรงและการปฏิวัติในศตวรรษสุดท้ายของสาธารณรัฐ </span></b><span><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">(133 – 30 <span lang=\"TH\">ปี ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>.)</span></b></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ท่ามกลางปัญหานั้นได้มีความพยายามที่จะปฏิรูปไทบี<span>เรียส</span> และไก<span>อุส</span> สองพี่น้อง สกุล<span>ราสชุส</span> พยายามดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อประชาชน ทั้งสองเคยรับราชการใน<span>ตำแหน่งทรีบูน</span> แต่ความพยายามของเขาล้มเหลว ตัวของทั้งคู่ถูกฆาตกรรม ไทบี<span>เรียส</span>ในปี </span><span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">133 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">และไก<span>อุส</span> ในปี </span>121 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>.</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">หลังจากนั้นได้มีความพยายามของมวลชนและชนชั้นขี่ม้าที่จะสู้กับพวกสภา<span>เซเนท</span> บรรดาบุคคลทั้งหลายต่างพยายามแสวงหาทางใช้อาชีพทหารในการไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง ผู้บัญชาการทหารมักจะสู้กันเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ทางการเมือง เช่น <span>ซุลลา</span>กับมาริ<span>คุส</span> กองทหารโรมันเวลานี้กลายเป็นหนทางสู่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กองทัพมีท่าทีว่าจะเป็นทหารอาชีพและทหารเริ่มอยู่ใต้ผู้บังคับบัญชามากกว่าอยู่ใต้รัฐ ในปี </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">83 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span><span lang=\"TH\">ซุลลา</span></span><span lang=\"TH\">ได้ยึดอำนาจและตั้งตนเป็นผู้เผด็จการ หลังจากได้ออกกฎหมายเพื่อเสริมอำนาจให้กับสภา<span>เซเนท</span>แล้วเขาก็ปลดเกษียณ ใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสบบายในคฤหาสน์นอกเมือง<span>ที่คัม</span>ปา<span>เนีย</span></span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในช่วงทศวรรษที่ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">60 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">ซิเซโร นักปรัชญาการเมืองและนักวาทศิลป์ พยายามรวมสภา<span>เซเนท</span>และชนชั้นขี่ม้าเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านการคุกคามที่รุนแรงขึ้นทั้งของพวกนายพลและมวลชน แต่ซิเซโรไม่ประสบผลสำเร็จด้วยความด้อยสมรรถภาพของสภา<span>เซเนท</span>เอง ผู้นำทางการทหารเด่น ๆ เช่น ปอม<span>เป</span>อี จู<span>เลียส</span> ซี<span>ซาร์</span> ต่างพยายามหาความสนับสนุนจากชนชั้นต่ำ สาธารณรัฐใกล้จะเสื่อมสลายลงไป แต่ก็มีระบอบใหม่ที่ช่วยให้โรมดำรงความยิ่งใหญ่ต่อไปได้ คือ ระบอบ<span>ปรินซ์</span>ซิ<span>เปต</span></span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ระบอบ<span>ปรินช์</span>ซิ<span>เปต</span></span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">เมื่อซี<span>ซาร์</span>ประสบการต่อต้านจากซิเซโร ได้หันไปเป็นพันธมิตรกับปอม<span>เป</span>อี <span>และกราซุส</span> เศรษฐีผู้ทะเยอทะยาน บุคคลทั้งสามรวมตัวกันเป็นกลุ่มเหนือกฎหมายที่เรียกว่า </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">“<span lang=\"TH\">คณะสามผู้นำชุดแรก</span>”</span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ขณะที่ซี<span>ซาร์</span>เดินทางไปรบที่<span>กอล</span> ปอม<span>เป</span>อีและสภา<span>เซเนท</span>ร่วมมือกันต่อต้านซี<span>ซาร์</span>และกล่าวหาว่าเขาเป็นศัตรูของประชาชน ซี<span>ซาร์</span>ยกทัพกลับมาเอาชนะได้ ปอม<span>เป</span>อีหนีไปอียิปต์และถูกมา<span>ตกร</span>รมที่นั่น ซี<span>ซาร์</span>กลายเป็นผู้เผด็จการ ซึ่งในที่สุดบังคับให้สภา<span>เซเน</span>ทมอบอำนาจผู้เผด็จการตลอดชีพให้เขา นอกจากนี้ ยังได้รับตำแหน่งผู้<span>พิทักษ์ทรีบูน</span> รวมทั้งตำแหน่งอื่น ๆ เช่น ตำแหน่ง <span>ปอนนีเฟ็กซ์</span> <span>แม็ก</span>ซิ<span>มุส</span> </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">(<span lang=\"TH\">อัครสังฆราช</span>) <span lang=\"TH\">ในปี </span>44 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">เขาได้รับการบูชาเยี่ยงเทพเจ้า</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ซี<span>ซาร์</span>ใช้อำนาจเผด็จการปฏิรูปสาธารณรัฐทั้งรัฐบาลส่วนกลางและภูมิภาค เขาจัดตั้งอาณานิคมเป็นจำนวนมากเพื่อลดจำนวนคนว่างงาน การปฏิรูปของซี<span>ซาร์</span>ทำให้เกิดผลดีต่อประชาชนจักรวรรดิโรมัน แต่เขาดำเนินการกว้างขวางและรวดเร็วเกินไปทำให้เกิดความหวั่นเกรงในสภา<span>เซเนท</span> จนทำให้เขาถูกฆาตกรรม โดยพวกสภา<span>เซเนทหัว</span>อนุรักษ์นิยม เมื่อ </span><span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">44 <span lang=\"TH\">ปี ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>.</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">เมื่อซี<span>ซาร์</span>ถูกฆาตกรรมได้เกิดการแย่งชิงอำนาจต่อมาอีก </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">14 <span lang=\"TH\">ปี ในท้ายที่สุด <span>อ๊อค</span>เตเวียน ผู้เป็นหลานและบุตรบุญธรรมของซี<span>ซาร์</span>ได้ชัยชนะ <span>อ๊อค</span>เตเวียน หรือ ออ<span>กุสตุส</span> เปลี่ยนโรมจากสาธารณรัฐเป็นจักรวรรดิได้สำเร็จ โดยได้รับการยอมรับจากสภา<span>เซเนท</span></span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ยุคของออ<span>กุสตุส</span></span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในปี </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">31 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">กำลังทางทหาร<span>ของอ๊อค</span>เตเวียน ทำลายล้างกำลังของ มาร์ค แอน<span>โทนี</span>และคลี<span>โอพัต</span>รา<span>ที่อัค</span>ตี<span>อุม</span> ถัดจากนั้นอีกปีหนึ่ง <span>อ๊อค</span>เตเวียนยาตราทัพเข้า<span>สู่อ</span>เลกซานเด<span>รีย</span>ในฐานะประมุขของดินแดนในทะเล<span>เมดิเตอเร</span>เนียน</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">อ๊อค</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">เตเวียนปฏิรูปโรมอย่างสมบูรณ์</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"> <span lang=\"TH\"> เขายึดถือว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การพิชิตแต่อยู่ที่การเสริมสร้าง <span>อ๊อค</span>เตเวียนครองตำแหน่งสำคัญ ๆ และคุมกองทัพเช่นเดียวกับซี<span>ซาร์</span> เช่น <span>ตำแหน่งพ</span>ริน<span>เซบส์</span> </span>(<span>Princeps</span>) <span lang=\"TH\">หรือพลเมืองโรมันคนที่หนึ่ง ในปี </span>27 <span lang=\"TH\">ก่อน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. <span lang=\"TH\">เขาได้รับชื่อใหม่ว่า</span>  <span lang=\"TH\"> </span>“<span lang=\"TH\">ออ<span>กุสตุส</span></span>” <span lang=\"TH\">ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการเคารพนับถือระบบการปกครองที่ใช้ คือ <span>ระบอบพ</span>รินซิเพท</span>  <span lang=\"TH\"> ออ<span>กุสตุส</span>ใช้ชีวิตที่ง่าย ๆ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ยกย่องเกียรติภูมิของ<span>เซเนท</span> เขาปกครองโดยรู้สำนึกถึงความคิดเห็นของประชาชนและสภา<span>เซเนท</span> ตลอดจนเคารพจารีต ประเพณี แต่ออ<span>กุสตุส</span>ก็เป็นเจ้าเหนือหัวที่แท้จริงของโรม ออ<span>กุสตุส</span>ให้สันติภาพความมั่นคงปลอดภัย ความเจริญรุ่งเรือง และความยุติธรรมรวมทั้งนโยบาย </span>“<span lang=\"TH\">อาชีพ เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถ</span>” <span lang=\"TH\">ความเป็นผู้นำของเขากระตุ้นให้เกิดการมองโลกในแง่ดี ความรักชาติ และการริเริ่มสร้างสรรค์ในด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม ยุคนี้เป็นจุดสุดยอดของความเป็นเลิศในเชิงสร้างสรรค์ของโรมและได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทอง</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ผู้นำจักรวรรดิหลังยุคออ<span>กุสตุส</span></span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ออ<span>กุสตุส</span>สิ้นพระชนม์ในปี ค</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 14 <span lang=\"TH\">เมื่อมีพระชนม์ได้ </span>76 <span lang=\"TH\">พรรษา</span><span> <span lang=\"TH\"> หลังจาก<span>นั้นพ</span>รินซิเพท</span></span><span lang=\"TH\"> </span>(<span lang=\"TH\">คือรัฐบาล<span>ของพ</span>ริน<span>เซบส์</span></span>) <span lang=\"TH\">รวมศูนย์มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ระบบราชการขยายตัว และการปกครองส่วนภูมิภาคดำเนินไปด้วยดี อัตราภาษีต่ำและการจัดเก็บมีการประเมินอย่างดี กฎหมายมีมนุษยธรรมมากขึ้น พสกนิกรที่อยู่ห่างไกลได้รับความเจริญรุ่งเรืองและมีสันติสุขอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนด้วยพระปรีชาญาณของออ<span>กุสตุส</span></span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในศตวรรษที่ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">2 <span lang=\"TH\">มีการปรับปรุงคุณภาพผู้นำจักรวรรดิ ผู้ปกครองโรมระหว่าง ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 96 – 180 <span lang=\"TH\">ได้สมญาว่า </span>“<span lang=\"TH\">จักรพรรดิที่ดี </span>5 <span lang=\"TH\">องค์</span>” <span lang=\"TH\">คือ <span>เนอร์</span>วา <span>ทรา</span>จัน เฮเด<span>รียน</span> แอนโตนิ<span>นุส</span> และ <span>มาร์คุส</span> <span>ออเร</span>ลิ<span>อุส</span> ลักษณะเด่น คือ จักรพรรดิมีความคิด และรับผิดชอบต่อทุกข์ </span>– <span lang=\"TH\">สุข ของจักรวรรดิ มีการปกครองที่เป็นธรรม รักษาความสงบสุขของพลเมือง ส่งเสริมความก้าวหน้าทางวัตถุและการป้องกันพรมแดนจากการรุกราน จักรพรรดิแต่ละองค์จะไม่ใช้หลักการสืบสันตติวงศ์ทางสายเลือด แต่จะรับชายหนุ่มที่มีความสามารถดีเด่นมาเป็น โอรสบุญธรรมและผู้สืบราชบัลลังก์ </span>(<span lang=\"TH\">แม้ว่าในทางทฤษฎี สภา<span>เซเนท</span> จะ<span>เลือกพ</span>ริน<span>เซบส์</span></span>) <span lang=\"TH\">เมื่อ <span>มาร์คุล</span> <span>ออเร</span>ลิ<span>อุส</span> จงใจเลือกโอรสคือ คอมโม<span>ดุส</span>ผู้ไร้ความสามารถขึ้นเป็นจักรพรรดิ ทำให้ยุคที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นจักรพรรดิที่ดีสิ้นสุดลง</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">จักรวรรดิโรมันภาย<span>ใตต้ระบบพ</span>รินซิเพทนี้นับตั้งแต่การเถลิงอำนาจของออ<span>กุสตุส</span>จนถึง<span>มาร์คุส</span> <span>ออเร</span>ลิ<span>อุส</span>นั้นได้ครอบครองดินแดนขนาดใหญ่ ภาระในการป้องกันพรมแดนอันยาวเหยียดตกอยู่กับกองทัพที่ได้รับการฝึกอย่างดี การคมนาคมภายในนั้นมีถนนหนทางที่ดีเยี่ยมซึ่งเชื่อมโรมเข้ากับแคว้นต่าง ๆ เส้นทางการค้าทางทะเลก็ได้รับความคุ้มครองจากกองทัพเรือโรมัน ระยะเวลา </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">2 <span lang=\"TH\">ศตวรรษแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่สมัยออ<span>กุสตุส</span>จนถึง <span>มาร์คุส</span> <span>ออเร</span>ลิ<span>อุส</span> ได้รับสมญาว่า </span>PAX ROMANA <span lang=\"TH\">หรือสันติภาพโรมัน</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ภายใต้การพิทักษ์ของสันติภาพโรมัน ความรุ่งเรืองทางการค้า สถาบันโรมันและวัฒนธรรมคลาส<span>สิค</span>ได้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางทั่วจักรวรรดิโรมัน เมื่อแคว้นที่อยู่ห่างไกลมีความเป็นโรมันมากขึ้น ความหมายของ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">“<span lang=\"TH\">โรม</span>” <span lang=\"TH\">และ </span>“<span lang=\"TH\">โรมัน</span>” <span lang=\"TH\">ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากประชาชนในดินแดนส่วนใหญ่ของอิตาลี ไปจนถึงแคว้นต่าง ๆ ที่ได้สัญชาติโรมันด้วย</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">โรมันได้พัฒนาเมืองเป็นหน่วยหลักในการปกครอง บางเมืองสามารถพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางการค้าและหัตถกรรม แต่บางเมืองไม่อาจพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ส่วนใหญ่เมืองทางตะวันออกจะเจริญทางด้านการค้า และมีอุตสาหกรรมพื้นเมืองขนาดย่อมในตัวเมือง แต่เศรษฐกิจหลักโดยส่วนรวมของโรมัน คือ เกษตรกรรม ทาส จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเป็นแรงงาน อย่างไรก็ตามสังคมโรมันรวมถึงชาวนาที่ยากจนและยาจกที่อดอยากเสมอ</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ยุคเงิน</span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ช่วงประมาณระหว่างการสิ้นพระชนม์ของออ<span>กุสตุส</span> และมาร์ค<span>คุส</span> <span>ออเร</span>ลิ<span>อุส</span> เป็นที่รู้จักกันว่ายุคเงิน แม้จะไม่รุ่งโรจน์เท่ายุคทองของออ<span>กุสตุส</span> แต่ก็สร้างสรรค์ความสำเร็จทางด้านวรรณกรรม ภูมิปัญญา และศิลปกรรมในระดับเยี่ยม วัฒนธรรมและวิทยาการของยุคนี้ได้แพร่หลายออกสู่ภายนอกและภาคใต้ จำนวนผู้อ่านออกเขียนได้ก็เพิ่มมากขึ้นตลอดทั่วจักรวรรดิ</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">อเลก</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ซานเด<span>รีย</span>เองความสำคัญในฐานะนครแห่งการค้าและภูมิปัญญาตลอดช่วง<span>สมัยพ</span>รินซิเพท ความสำเร็จในทางภูมิปัญญา มีทั้ง<span>เทว</span>วิทยาแบบ<span>คริสตศาสนา</span> ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ ดาราศาสตร์ จักรวาลวิทยา ภูมิศาสตร์ ชีววิทยา และการแพทย์</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">นอกจากนี้<span>ปรัชญาสโตอิค</span>ก็รุ่งเรือง งานเขียนเรื่อง </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">“<span lang=\"TH\">ความคิดคำนึง</span>” <span lang=\"TH\">ของจักรวรรดิ<span>มาร์คุส</span> <span>ออเร</span>ลิ<span>อุส</span> เป็นความพยายามแสดงออกซึ่ง<span>ปรัชญาสโตอิค</span> ที่ทำให้แนวความคิดที่ดีที่สุดของยุคลึกซึ้งและมีเมตตาธรรมเป็นอันมาก</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">กฎหมายโรมัน</span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในบรรดาความสำเร็จทั้งหลายในยุคเงิน พัฒนาการทาง<span>กฏหมาย</span>ดูจะเด่นสุด กฎหมายสิบสองโต๊ะ ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็นประมวลกฎหมายที่เหมาะสำหรับจักรวรรดิกว้างใหญ่และฝูงชนที่มีความแตกต่างกับบรรดาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย รวมทั้งจักรพรรดิได้มีส่วนในการพัฒนากฎหมายของตน และได้รับอิทธิพลจากแนวคิดปรัชญาของ<span>กรีก</span> เกี่ยวกับ <span>จุส</span> นาตู<span>ราล</span> หรือ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">“<span lang=\"TH\">กฎแห่งธรรมชาติ</span>” <span lang=\"TH\">เกณฑ์ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมทางการเมืองและสังคม ทำให้กฎหมายของจักรวรรดิมีเหตุผลและให้ความยุติธรรม ถือว่ากฎหมายโรมันนั้นเป็นมรดกที่สำคัญยิ่ง คือ เป็นพื้นฐานของระบบกฎหมายทั้งหลายในยุโรป ปัจจุบันตลอดจนบรรดาอดีตอาณานิคมของยุโรปด้วย</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ศาสนาโรมัน</span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">โรมมีเทพเจ้าประจำชาติ แต่ด้วยขันติธรรมทางศาสนา ลัทธิบูชาต่าง ๆ จึงอยู่ได้ในโรมัน บุคคลหนึ่งสามารถนับถือได้หลายลัทธิ <span>สมัยพ</span>รินซิเพทเกิดลัทธิบูชาจักรพรรดิ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">(Cult of Emperor) <span lang=\"TH\">จักรพรรดิออ<span>กุสตุส</span>ได้รับการยกย่องบูชาโดยถือเป็นเทพ ลัทธินี้กลายเป็นพิธีกรรมประจำชาติอย่างเป็นทางการเพื่อปลุกใจให้รักชาติมากกว่าเป็นเรื่องทางศาสนา สำหรับ<span>ชาวยิว</span>และคริสต์แล้วไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมดังกล่าวเพราะขัดกับหลักคำสอนทางศาสนา</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">สมัยออ<span>กุสตุส</span> ชาวโรมันเริ่มบูชาเทพเจ้าจากทางตะวันออกในแนวของการไถ่บาปในโลกหน้าเช่น บูชาเทพ<span>ไอซีส</span>ของอียิปต์ เทพ<span>มิทรา</span>ของ<span>เปอร์</span>เชีย ฯลฯ ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่าเป็นลัทธิ<span>หัสย</span>นิยม ลัทธิเหล่านี้ก่อให้เกิดลัทธิสากลนิยมและอัตตาธิปไตยที่เพิ่มขึ้น</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">นอกจากนี้ก็มีลัทธิเปลโต้ใหม่ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">(Neo - <span>platoism</span>) <span><span lang=\"TH\">โพล</span></span><span lang=\"TH\">ติ<span>นุส</span>เป็นนักปรัชญาของลัทธินี้ได้เผยแพร่การบูชาเทพองค์เดียวผู้ทรง<span>อนันต</span>ภาพไม่มีขอบเขต ลัทธินี้ต่อมาได้สังเคราะห์แก่นสำคัญของลัทธินอกศาสนาอื่น ๆ เข้ามาด้วย</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">บรรยากาศของลัทธิศาสนาแบบต่าง ๆ นี้ มีผลให้ลัทธิเหตุผลนิยมและ<span>มนุษย</span>นิยมของ<span>กรีก</span>ถูกกลืนเกือบหมดสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นจากลัทธิใหม่ ๆ เหล่านี้คือ โหราศาสตร์ เวทย์มนต์ การหลอกลวงและพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งครอบงำคนมากย่องกว่าในสังคม<span>กรีก</span> ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านี้ <span>คริสตศาสนา</span>ได้เกิดขึ้นและได้ชัยชนะเหนือจิตใจประชาชน</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<span><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">คริสตศาสนา</span></b></span><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในจักรวรรดิโรมัน</span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">คริสตศาสนา</span></span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">มีลักษณะที่นำเอาความเชื่อจากลัทธิที่มีมาก่อนมาจัดรวมกัน เช่น แนวความคิดเรื่องความตายและการฟื้นคืนชีพ อย่างไรก็ตามได้มีพื้นฐานต่างจากศาสนาอื่น ๆ อย่างน้อย </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">2 <span lang=\"TH\">ประการ คือ ประการแรก <span>คริสตศาสนา</span>มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ประการที่สอง พระเยซูนั้นถือเป็นพระผู้ไถ่บาป และเป็นบุคคลในคำพยากรณ์ของศาสนา<span>ฮิบรู</span> ทรงเป็นบุคคลร่วมสมัยกับออ<span>กุสตุส</span> แต่พระชนม์น้อยกว่า พระเยซูมีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ และหลักคำสอนของพระองค์เน้นความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และการอ่อนน้อมถ่อมตน การดำรงชีวิตอย่างมีสติ มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนและศัตรู พระองค์ทรงเอา<span>พระทัย</span>ใส่คนจนและผู้ทอดทิ้ง</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">การที่พระเยซูทรงวิจารณ์ข้อบกพร่องทางศีลธรรมของบรรดาพระในศาสนา<span>ยิว</span>ผสมกับการที่ทรงอ้างว่าตรัสในนามของพระเจ้า มีผลให้ทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะผู้พยายามโค่นล้มระบบการปกครอง</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">นักบุญ<span>ปอล</span>อัครสาวกสามารถใส่ความคิดเรื่องภราดรภาพสากลเข้าในศาสนาคริสต์ได้สำเร็จ ทำให้ศาสนาคริสต์แพร่ไปได้มาก มิชชันนารีอื่น ๆ รวมทั้งนักบุญปี<span>เตอร์</span>และอัครสาวกองค์อื่น ๆ ต่างพากันเดินทางจาริกเผยแพร่ศาสนาและรวบรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรทางศาสนาขึ้น</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">เอกสารทางประวัติศาสตร์ของชาวคริสต์เริ่มมีมากใน<span>คริสตศตวรรษ</span>ที่ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">2 <span lang=\"TH\">และ </span>3 <span lang=\"TH\">องค์กรทางศาสนาก็เริ่มเด่นชัดกว่าเดิม มีการจัดลำดับสงฆ์เป็นหลายชั้นลดหลั่นกันลงมา อัครสังฆราชที่อยู่ประจำตามมหานครมีความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น ที่โรม <span>อเลก</span>ซานเด<span>รีย</span> แอนติ<span>ออค</span> และต่อมาที่กรุงคอนแสตนติโน<span>เปิล</span>ด้วย เมื่อเวลาผ่านไป อัครสังฆราชที่โรมได้รับการยกย่องมากขึ้นจนสูงกว่าองค์อื่น ๆ</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">แนวความคิดของ<span>คริสตศาสนา</span>ได้รับการพัฒนาให้ลึกซึ้งตามแนวปรัชญาต่าง ๆ ของ<span>กรีกและยิว</span> เช่น ของเปลโต้ <span>สโตอิค</span> และพระคัมภีร์เก่า<span>ของยิว</span> แนวความคิดที่ได้รับการตีความเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นฐานให้กับนิกาย<span>ออร์ธ</span>อด<span>อกซ์</span> อย่างไรก็ตามได้ทำให้<span>คริสตศาสนา</span>มีความหมาย และดึงดูดใจปัญญาชนมากขึ้น</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจักรวรรดิโรมันเป็นไปอย่างรวดเร็ว</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"> <span lang=\"TH\"> คำสอนและทางรอดใน<span>คริสตศาสนา</span>สอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของยุค</span>  <span lang=\"TH\"> <span>คริสตศาสนา</span>ได้รับเอามรดกของวัฒนธรรมโรมในเรื่ององค์กรทางการเมืองและกฎหมายมาใช้ รูปแบบองค์กรของศาสนาคริสต์ในยุคกลางเหมือนกับระบอบการปกครองของจักรวรรดิโรมันนั่นเอง</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ในระยะแรก <span>คริสตศาสนิกชน</span>มักตกเป็นเป้าความเกลียดชัง ระแวงสงสัย เพราะการปฏิเสธศาสนาอื่น และไม่ยอมรับนับถือเทพเจ้าของรัฐ ในบางช่วง<span>คริสตศาสนิกชน</span>จึงโดนกวาดล้างขนานใหญ่ เป็นช่วง ๆ แต่ศาสนาคริสต์ก็เผยแพร่ไปไม่หยุดยั้ง แต่เมื่อถึง<span>ต้นคริส</span>ศตวรรษที่ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">4 <span lang=\"TH\">ศาสนาคริสต์ก็เติบโตเกินกว่าจะทำลายล้างได้แล้ว จักรพรรดิโรมันได้หันมาประนีประนอมกับ<span>คริสตศาสนา</span> จักรพรรดิคอนแสตน<span>ติน</span>เป็นจักรพรรดิโรมันองค์แรกที่นับถือ<span>คริสตศาสนา</span> และเมื่อสิ้น<span>คริสตศตวรรษ</span>ที่ </span>4 <span lang=\"TH\">ประชาชนส่วนใหญ่ก็หันมานับถือคริสต์</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">โด<span>มิเนท</span></span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">หลังจากสมัยจักรพรรดิที่ดี </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">5 <span lang=\"TH\">พระองค์แล้ว</span><span> <span lang=\"TH\"> การปกครองที่ไร้ความสามารถของคอมโม<span>ดุส</span></span></span><span lang=\"TH\"> </span>(<span lang=\"TH\">ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 180 – 192) <span lang=\"TH\">ทำให้จักรวรรดิเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เป็นศตวรรษแห่งเผด็จการทหาร การฆาตกรรมความทรุดโทรมทางเศรษฐกิจและการบริหาร ความผุกร่อนทางวัฒนธรรมและกลียุค</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่สงบในยุคนี้คือปัญหาเรื่องการสืบราชบัลลังก์ นอกจากนี้ยังเกิดโรคระบาด คือกาฬโรค ซึ่งเกิดขึ้นนานเป็นชั่วอายุคน ทำให้ผู้คนล้มตายมาก ทั้งยังประสบกับการรุกรานของ<span>อารย</span>ชนเยอรมันที่ข้ามพรมแดนแม่น้ำ<span>ไรน์</span>และ<span>ดานูบ</span> มาจนถึงอิตาลี ระบบราชการและกองทัพทำให้ต้องเก็บภาษีเพิ่ม ชาวเมืองและชาวชนบทต่างก็หลีกหนีภาษี แต่ละเมืองขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากจักรพรรดิทีละเมือง ซึ่งโดยปกติแล้ว นครโรมันหลายแห่งก็เลี้ยงตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมาประสบ<span>ภาวะการ</span>เก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นประกอบกับภาวะเศรษฐกิจภายในจักรวรรดิที่หยุดนิ่ง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มทรุดลง ชาวนาทิ้งไร่นา ชนชั้นกลางถูกขูดรีดภาษีอย่างหนักจึงพากันทิ้งเมือง คนที่ยังทำงานอยู่ก็ถูกขูดรีดภาษีหนักขึ้น จักรวรรดิเต็มไปด้วยขอทานและโจรผู้ร้าย สภาพการทางด้านตะวันตกหนักกว่าด้านตะวันออก เพราะศูนย์กลางอุตสาหกรรมอยู่ทางตะวันออก ช่วงระยะทศวรรษ ค</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 260 <span lang=\"TH\">เป็นระยะที่เศรษฐกิจโรมันต่ำถึงขีดสุดและ<span>อนารย</span>ชนได้บุกข้ามชายแดนมาทางตะวันออก ขณะนั้นมีจักรพรรดิบางพระองค์พยายามป้องกันรัฐโรมันอย่างสุดความสามารถ ในจำนวนนั้น จักรพรรดิไดโอ<span>เคล</span>เตียน </span>(<span lang=\"TH\">ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 284 – 305) <span lang=\"TH\">และคอนแสตน<span>ติน</span> </span>(306 – 337) <span lang=\"TH\">ได้ใช้อำนาจเอกาธิปไตยอย่างเด็ดขาด จักรพรรดิมิได้<span>เป็นพ</span>ริน<span>เซปส์</span> แต่เป็น โดมินุ<span>สเอต</span> เด<span>อุส</span> เจ้าผู้ครองนครและเทพเจ้าจึงเรียกยุคการปกครองแบบนี้ว่า </span>“<span lang=\"TH\">โด<span>มิเนท</span></span>”</span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ไดโอ<span>เคล</span>เตียนได้แบ่งจักรวรรดิออกเป็น </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">2 <span lang=\"TH\">ส่วน คือ ตะวันตกและตะวันออก มีจักรพรรดิสองพระองค์ องค์หนึ่งประทับอยู่ทางตะวันตก</span> <span lang=\"TH\"> อีกองค์หนึ่งทางด้านตะวันออก ทั้งสองพระองค์จะทรงร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอดร่มเย็นและช่วยกันป้องกันประเทศ ทั้งสองพระองค์มีตำแหน่งเรียกว่า ออ<span>กุสตุส</span> และมีผู้ช่วยเรียกว่า ซี<span>ซาร์</span> ซึ่งจะช่วยปกครองและสืบทอดตำแหน่งของออ<span>กุสตุส</span>ในที่สุด ทรงแยกอำนาจพลเรือนออกจากทหาร และปฏิรูปกองทัพให้จักรพรรดิคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สภา<span>เซเน</span>ทกลายเป็นเครื่องประดับบารมี และสำหรับปัญหาเศรษฐกิจแก้โดยออกพระรา<span>ชกฤษฏี</span>กาให้ชาวไร่ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้าทำงานนั้น ๆ โดยการสืบสกุล และออกมาตรฐานกำหนดราคาสินค้า</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n<p>\n<b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ความเสื่อมของจักรวรรดิตะวันตก</span></b><b><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span></b>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">สาเหตุที่ทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันตกเสื่อมนั้น มีมาตั้งแต่<span>คริสตศตวรรษ</span>ที่ </span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">3 <span lang=\"TH\">ในเรื่องเศรษฐกิจสังคม รวมทั้งความวุ่นวายทางการเมือง การฟื้นตัวของจักรวรรดิในสมัยจักรพรรดิไดโอ<span>เคล</span>เตียน และคอนแสตน<span>ติน</span>นั้น เป็นการฟื้นตัวบางส่วนและเป็นไปเพียงชั่วคราว รัฐโรมันทางตะวันตกมีปัญหามากกว่าทางด้านตะวันออก เศรษฐกิจโรมันเสื่อมสลาย ชนชั้นกลางก็หมดศรัทธาและกำลังใจที่จะร่วมมือกับรัฐ รัฐโรมันกลายเป็นเผด็จการ มีตำรวจคอยสอดส่องอิสรภาพของประชาชน คนในเมืองมักทิ้งเคหสถานและกิจการในเมืองไปอยู่ในที่ดินของตนนอกเมือง แล้วรวบรวมกองทหารส่วนตัวไว้ต่อต้านไม่ยอมจ่ายภาษีให้รัฐชนชั้นสูงที่พากันหลบหนีออกจากเมืองได้กลายเป็นชนชั้นกสิกรต่อมา ระบบ</span>   <span lang=\"TH\"> เจ้าขุนมูลนายชนบทของยุคกลางได้เกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ การขาดแคลนกำลังคน ทำให้กองทัพและรัฐบาลต้อง<span>รับอนารย</span>ชนเผ่าเยอรมันเข้ามา</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">นับแต่กลางปี ค</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 370 <span lang=\"TH\">จักรวรรดิโรมันเผชิญกับการรุกรานของอ<span>นารย</span>ชนเยอรมันครั้งใหญ่เพราะพวกฮั่นรุก<span>ไล่อนารย</span>ชนเผ่าเยอรมัน พวกวิซิ<span>กอธ</span>เข้ามาอาศัยในจักรวรรดิ ต่อมาได้ก่อความไม่สงบ และปล้นสะดมหลายครั้ง ที่สำคัญคือการปล้นกรุงโรม ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 410 <span lang=\"TH\">ต่อมาเมื่อ ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 430 <span lang=\"TH\">พวก<span>แวนดัล</span>ยึดครองนคร<span>ฮิบ</span>โปสุดท้ายใน ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 476 <span lang=\"TH\">นายพลเผ่าเยอรมันผู้อยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ก็ได้ถอดจักรพรรดิองค์สุดท้ายออก และปกครองโรมเสียเอง เผ่าเยอรมันได้ตั้งอาณาจักรขึ้นทางตะวันตก อย่างไรก็ดีสันตะปาปาแห่งโรมเริ่มมีบทบาทที่อิสระมากขึ้น และมีความสำคัญมากขึ้นในสังคมยุโรป พระสันตะปาปาลีโอที่ </span>1 (<span lang=\"TH\">ค</span>.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 440 – 461) <span lang=\"TH\">และผู้สืบต่อจากพระองค์ ประกาศว่าตำแหน่งสันตะปาปาทรงอำนาจสูงสุดทางศาสนา และศาสนาย่อมอยู่เหนือรัฐทางจิตใจ ซึ่งจะมีผลต่อมาในยุคกลาง</span></span>\n</p>\n<p style=\"text-justify: inter-ideograph; text-indent: 36pt; text-align: justify\">\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\" lang=\"TH\">ขณะที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกสลายตัวนั้น จักรวรรดิโรมันตะวันออกยังดำรงอยู่ต่อไปจนถึง ค</span><span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\">.<span lang=\"TH\">ศ</span>. 1453</span>\n</p>\n<p>\n<span style=\"font-size: 16pt; font-family: \'Angsana New\'\"></span>\n</p>\n</div>\n', created = 1720199223, expire = 1720285623, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:87cb8ee1fdee25af880d039cadf5251d' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

อารยธรรมโรมัน

ประวัติศาสตร์และอารยธรรมโรมัน

โรมสมัยต้น

โรมก่อตัวจากหมู่บ้านทางภาคกลางของอิตาลี  อุปนิสัยของโรมันคือ ความเคร่งขรึมและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ อย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ความสามารถทางทหารของโรมันอยู่ที่ความอดทนมากกว่ายุทธวิธีที่ฉลาดปราดเปรื่อง

ระยะแรกสำหรับประวัติศาสตร์โรมนั้นค่อนข้างมืดมน ราว 750 ปีก่อน ค.. มีผู้อพยพมาตั้ง ถิ่นฐานแถบภูเขาพาเลนไตน์ใกล้แม่น้ำไทเบอร์  ต่อมาประมาณ 600 ปี ก่อน ค.. บรรดาผู้อพยพต่างรวมตัวกันตั้งนครรัฐแห่งโรมขึ้น ทำเลของนครรัฐตั้งอยู่ในที่ซึ่งเหมาะสม เหมาะสำหรับความเจริญของโรมในอนาคตทางเหนือของโรมติดต่อกัยดินแกนที่เรียกว่า อีทรูเรีย คือ ทัสคานีปัจจุบัน อีทรูเนียเป็นที่อยู่อาศัยของพวกที่มีอารยธรรมสูงเรียกว่า อีทรัสกัน ซึ่งเป็นพวกที่วางรูปวัฒนธรรมของชาวโรมันแต่เริ่มแรก

ชาวอีทรัสกันเป็นพวกที่รับอารยธรรมกรีกมาผสมผสานกับอารยธรรมของตนและส่งต่อให้กับโรม การปกครองของโรมในระยะแรกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ที่มีพื้นเพเป็นอิทรัสกัน ความเป็นผู้นำที่มีความสามารถและมุ่งต่อการรุกราน ทำให้ชาวโรมันเป็นชาติที่ทรงอำนาจเหนือชนชาติอื่น ๆ ในละติอุมชุมชนโรมันเจริญทั้งกำลังและความมั่งคั่ง และแล้วก็ได้มีการสร้างวิหารใหญ่โตตามแบบสถาปัตยกรรมของอีทรัสคันขึ้นบนภูเขาแห่งหนึ่งสำหรับเทพเจ้าจูปีเตอร์ของชาวโรมัน

ในราว 509 ก่อน ค.. ขุนนางโรมันประสบความสำเร็จในการล้มกษัตริย์อีทรัสกัน  และเปลี่ยนแปลงระบอบกษัตริย์มาเป็นสาธารณรัฐปกครองโดยชนชั้นขุนนาง มีประมุข 2 คน แทนที่กษัตริย์เรียกว่ากงสุลสภาขุนนาง (สภาเชเนท) เลือกตั้งกงสุลเป็นประจำทุกปี กงสุลปกครองโดยมีสภาขุนนางเป็นที่ปรึกษาการปกครองนั้น แม้จะปกครองในนามชาวโรมันแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของชนชั้นสูง คือ แพทริเชียน ส่วนชนชั้นต่ำหรือเพลเบียนนั้น เกือบไม่มีสิทธิทางการเมืองเลย การแต่งงานระหว่าง     เพลเบียนกับแพทริเชียนยังเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในระยะแรก ๆ

พวกเพลเบียนค่อย ๆ ยกฐานะของตน เพื่อเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง ในชั้นแรกพวกนี้รวมกลุ่มกันจัดตั้งสภาที่ปรึกษา ซึ่งต่อมากลายเป็นองค์กรสำคัญทางการเมืองที่เรียกว่าสภาของเผ่า พวกเพลเบียนเลือกตัวแทนของตนเรียกว่า ทรีบูน ให้เป็นปากเสียงและเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตนในรัฐบาลซึ่งคุมโดยแพทริเชียน ทรีบูนเป็นพวกที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน

เมื่อประมาณ 450 ก่อน ค.. ได้มีการนำกฎหมายที่สืบทอดกันมาตามประเพณีมาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร คือ กฎหมายสิบสองโต๊ะ กฎหมายนี้ช่วยพิทักษ์บรรดาเพลเบียนให้พ้นจากอำนาจตามอำเภอใจของกงสุลที่มาจากชนชั้นแพทริเชียน กฎหมายสิบสองโต๊ะนี้นับว่ามีความสำคัญมากต่อพัฒนาการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญของโรมัน

การพิทักษ์ทางกฎหมาย ทำให้เพลเบียนสามารถจัดการกับเรื่องการจัดสรรที่ดินให้พวกตนได้รับการแบ่งปันบ้าง สภาของเป่าของพวกเพลเบียนได้รับอำนาจในการริเริ่มร่างกฎหมายและมีบทบาทในการปกครองโรมัน ช่วงนี้การแต่งงานกลายเป็นสิ่งไม่ต้องห้าม ต่อมามีกฎหมายที่รองรับให้เพลเบียนมีบทบาทในการปกครองมากขึ้น มาตรการเหล่านี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโรมไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสำเร็จบริบูรณ์ในปี 287 ก่อน ค..

การแผ่อำนาจของโรมนั้น มีทั้งการเป็นพันธมิตรและการทำสงครามกับพวกที่เป็นศัตรู อาณาจักรของโรมขยายตัวไปเรื่อย ๆ แต่ชาวโรมันมักจะใจกว้างต่อบรรดาชาติอิตาลีที่ตนเข้าปกครอง โดยยอมให้มีการปกครองตนเองมากพอสมควร จึงมักประสบความสำเร็จในการรักษาความสวามิภักดิ์ไว้ได้ ในเวลาต่อมาเมื่อพิสูจน์ว่าคนในปกครองจงรักภักดีก็จะยอมให้เป็นพลเมืองโรมัน ด้วยวิธีการนี้โรมจึงสามารถสร้างจักรวรรดิที่มีอายุยืนยาวกว่าจักรวรรดิเอเธนส์ของเพริเคลส เมื่อประมาณ 265 ก่อน ค.. โรมอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกับคาร์เธจและนครรัฐทายาทของกรีก คือ เป็นหนึ่งในมหาอำนาจของทะเล เมดิเตอเรเนียน

สงครามพิวนิค (264 – 146 ก่อน ค..)

เมื่อโรมกับคาร์เธจเผชิญหน้ากัน ได้เกิดสงคราม 3 ครั้ง เรียกว่า สงครามพิวนิค (The Punic War, พิวนิคมาจากคำว่า โพเอนุส ในภาษาละติน ซึ่งเป็นคำเรียกพวกฟินิเชียหรือคาร์เธจ) สงครามพิวนิคครั้งแรกเกิดเมื่อ 246 – 241 ก่อน ค.. ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ 218 – 201  ก่อน.. สงครามสองครั้งแรกนี้กินเวลานานและรุนแรงมาก โรมพ่ายแพ้ในการรบหลายครั้ง แต่ก็อดทนจนได้ชัยชนะในการรบครั้งสุดท้ายเมื่อ 149 – 146 ก่อน ค.. คาร์เธจเหลือแต่ซาก โรมได้ครองดินแดนอันกว้างใหญ่ของคาร์เธจในอาฟริกา ซิซิลี และ สเปน

ชัยชนะของโรมเหนือคาร์เธจ ยังผลให้โรมมีอำนาจเหนือรัฐอื่นในทะเลเมดิเตอเรเนียน บรรดาอาณาจักรกรีกเฮลเลนิสติคที่แก่งแย่งชิงดีกัน มักของความช่วยเหลือจากโรมให้ช่วยต่อต้านศัตรูของตน โรมให้ความสนับสนุนเพื่อรักษาดุลย์แห่งอำนาจ แต่ต่อมาโรมเข้าปกครองเสียเอง ระหว่างศตวรรษที่ 2 ก่อน ค.. โลกเฮลเลนิสติคส่วนมากอยู่ภายใต้อำนาจโรมันทั้งทางตรงและทางอ้อม ต่อมา 189 ก่อน ค.. โรมได้ชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือพวกซีลูซีด และปราบปรามแมกซิโดเนียได้ในปี 148 ก่อน ค.. และทำลายเมืองคอรินธ์ ในปี 146 ก่อน ค.. โรมค่อย ๆ เปลี่ยนกรีซให้กลายเป็นมณฑลโรมันภายใต้การปกครองของข้าหลวงแห่งรัฐ อาณาจักรเฮลเลนิสติคที่เหลือไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะยอมรับความเป็น   ผู้นำของโรมและค่อย ๆ กลายเป็นมณฑลของโรมไปในที่สุด

ในส่วนของโรมนั้น เมื่อเป็นใหญ่เหนือโลกทะเลเมดิเตอเรเนียน ได้เกิดปัญหาในการปรับตัวของรัฐบาลให้เหมาะสมกับการปกครองจักรวรรดิ

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองระหว่างปี 246 – 146 ก่อน ค..

ช่วงระยะเวลาระหว่างสงครามพิวนิคทั้ง 3 ครั้ง ได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโรม ส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงมาจากความเป็นมาในความมั่งคั่งร่ำรวย และความสำเร็จทางด้านการทหาร ซึ่งค่อย ๆ บ่อนทำลายคุณความดีดั้งเดิมของพลเมือง อีกนัยหนึ่งเมื่อโรมพิชิตกรีกนั้น โรมค่อย ๆ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกเฮลเลนิสติค ทั้งความฟุ่มเฟือยและความเป็นปัจเจกชนนิยมอย่างเต็มที่ สิ่งเหล่านี้ได้กัดกร่อนความเป็นอนุรักษ์นิยม และการอุทิศตนเพื่อส่วนรวมของคนโรมัน แต่การสูญเสียของโรมก็ได้รับการทดแทนในเรื่องของวัฒนธรรมและภูมิปัญญา โรมได้รับหลักสโตอิคเกี่ยวกับเรื่องภราดรภาพสากลเป็นหลักปรัชญาที่เหมาะสมสำหรับจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษโรมันหลายคนได้กลายเป็นพวกสโตอิค ส่วนทางด้านการเกษตรโรมได้รับเอาเทคนิคการเกษตรแบบเฮลเลนิสติคเข้ามาด้วย คือ การทำกสิกรรมขนาดใหญ่

การทำกสิกรรมขนาดใหญ่ หรือ ลาติฟุนเดียเกิดขึ้นเนื่องจากการทำสงครามได้นำความมั่งคั่งและทาสจำนวนมากมาสู่ชาวโรมัน อิตาลีทางภาคกลาง และภาคใต้จึงเต็มไปด้วยผืนนาขนาดใหญ่เข้าแทนที่นาอิสระเล็ก ๆ นาอิสระเล็ก ๆ จะผลิตข้าวชนิดต่าง ๆ ส่วนลาติฟุนเดียมุ่งผลิตพืชผลที่ค้ากำไร เช่น องุ่น เพื่อทำเหล้า มะกอกเพื่อทำน้ำมันมะกอก รวมทั้งเลี้ยงแกะ ชาวนาเล็ก ๆ นั้น เมื่อถูกเกณฑ์ทหารบ่อยเข้า ได้ขายที่นาแก่เจ้าของลาติฟุนเดีย และในที่สุดต้องอพยพเข้าเมืองไปอยู่ตามเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะในกรุงโรม ต่อมาคนอพยพที่ว่างงานเหล่านี้จะก่อความไม่สงบหลายครั้ง จนทำให้รัฐบาลหวาดเกรงและใช้นโยบายให้อาหารตลอดจนการบันเทิงโดยไม่คิดมูลค่า จนเป็นการเพาะนิสัยว่าจะต้องได้ ขนมปังและละครสัตว์

ในขณะที่โรมต่อสู่กับคาร์เธจนั้น การค้าที่เติบโตขึ้นทำให้เกิดชนชั้นใหม่คือนักธุรกิจและผู้รับเหมางานสาธารณประโยชน์ เมื่อพวกนี้มั่งคั่งขึ้นจะกลายเป็นคู่แข่งของขุนนางสมาชิกสภาเซเนทเจ้าของที่ดิน ชนชั้นใหม่นี้เรียกว่า อัศวิน หรือ ผู้ขี่ม้าเพราะพวกนี้สามารถรับราชการในกองทัพโดยเป็นทหารม้ามากกว่าทหารราบ ชนชั้นขี่ม้านี้ปกติจะไม่สนใจการเมืองนอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของตน ชัยชนะทางทหารและการติดต่อกับโลกเฮลเลนิสติค ทำให้พวกขุนนางเจ้าที่ดินและชนชั้นขี่ม้ามีความเป็นอยู่ที่ร่ำรวยฟุ่มเฟือย ช่วงระหว่างคนรวยกับคนจนก็ขยายกว้างไปเรื่อย ๆ แรงกดดันความไม่สงบในสังคมเริ่มคุกคามเสถียรภาพของสังคมโรมัน

ข้าหลวงและขุนนางโรมันในสมัยนี้ปกครองแบบไม่ยุติธรรมซึ่งต่างจากในสมัยแรก มีการขูดรีดประชาชนประชาชนเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งเป็นส่วนตัว การฉ้อราษฎร์บังหลวงนี้ได้รับการลงโทษสถานเบาเพราะผู้พิพากษาบางคนลังเลใจที่จะลงโทษขุนนางชั้นเดียวกับตน และบางคนก็รับสินบน

ความรุนแรงและการปฏิวัติในศตวรรษสุดท้ายของสาธารณรัฐ (133 – 30 ปี ก่อน ค..)

ท่ามกลางปัญหานั้นได้มีความพยายามที่จะปฏิรูปไทบีเรียส และไกอุส สองพี่น้อง สกุลราสชุส พยายามดำเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อประชาชน ทั้งสองเคยรับราชการในตำแหน่งทรีบูน แต่ความพยายามของเขาล้มเหลว ตัวของทั้งคู่ถูกฆาตกรรม ไทบีเรียสในปี 133 ก่อน ค.. และไกอุส ในปี 121 ก่อน ค..

หลังจากนั้นได้มีความพยายามของมวลชนและชนชั้นขี่ม้าที่จะสู้กับพวกสภาเซเนท บรรดาบุคคลทั้งหลายต่างพยายามแสวงหาทางใช้อาชีพทหารในการไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง ผู้บัญชาการทหารมักจะสู้กันเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ทางการเมือง เช่น ซุลลากับมาริคุส กองทหารโรมันเวลานี้กลายเป็นหนทางสู่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ กองทัพมีท่าทีว่าจะเป็นทหารอาชีพและทหารเริ่มอยู่ใต้ผู้บังคับบัญชามากกว่าอยู่ใต้รัฐ ในปี 83 ก่อน ค.. ซุลลาได้ยึดอำนาจและตั้งตนเป็นผู้เผด็จการ หลังจากได้ออกกฎหมายเพื่อเสริมอำนาจให้กับสภาเซเนทแล้วเขาก็ปลดเกษียณ ใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างสบบายในคฤหาสน์นอกเมืองที่คัมปาเนีย

ในช่วงทศวรรษที่ 60 ก่อน ค.. ซิเซโร นักปรัชญาการเมืองและนักวาทศิลป์ พยายามรวมสภาเซเนทและชนชั้นขี่ม้าเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านการคุกคามที่รุนแรงขึ้นทั้งของพวกนายพลและมวลชน แต่ซิเซโรไม่ประสบผลสำเร็จด้วยความด้อยสมรรถภาพของสภาเซเนทเอง ผู้นำทางการทหารเด่น ๆ เช่น ปอมเปอี จูเลียส ซีซาร์ ต่างพยายามหาความสนับสนุนจากชนชั้นต่ำ สาธารณรัฐใกล้จะเสื่อมสลายลงไป แต่ก็มีระบอบใหม่ที่ช่วยให้โรมดำรงความยิ่งใหญ่ต่อไปได้ คือ ระบอบปรินซ์ซิเปต

ระบอบปรินช์ซิเปต

เมื่อซีซาร์ประสบการต่อต้านจากซิเซโร ได้หันไปเป็นพันธมิตรกับปอมเปอี และกราซุส เศรษฐีผู้ทะเยอทะยาน บุคคลทั้งสามรวมตัวกันเป็นกลุ่มเหนือกฎหมายที่เรียกว่า คณะสามผู้นำชุดแรก

ขณะที่ซีซาร์เดินทางไปรบที่กอล ปอมเปอีและสภาเซเนทร่วมมือกันต่อต้านซีซาร์และกล่าวหาว่าเขาเป็นศัตรูของประชาชน ซีซาร์ยกทัพกลับมาเอาชนะได้ ปอมเปอีหนีไปอียิปต์และถูกมาตกรรมที่นั่น ซีซาร์กลายเป็นผู้เผด็จการ ซึ่งในที่สุดบังคับให้สภาเซเนทมอบอำนาจผู้เผด็จการตลอดชีพให้เขา นอกจากนี้ ยังได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์ทรีบูน รวมทั้งตำแหน่งอื่น ๆ เช่น ตำแหน่ง ปอนนีเฟ็กซ์ แม็กซิมุส (อัครสังฆราช) ในปี 44 ก่อน ค.. เขาได้รับการบูชาเยี่ยงเทพเจ้า

ซีซาร์ใช้อำนาจเผด็จการปฏิรูปสาธารณรัฐทั้งรัฐบาลส่วนกลางและภูมิภาค เขาจัดตั้งอาณานิคมเป็นจำนวนมากเพื่อลดจำนวนคนว่างงาน การปฏิรูปของซีซาร์ทำให้เกิดผลดีต่อประชาชนจักรวรรดิโรมัน แต่เขาดำเนินการกว้างขวางและรวดเร็วเกินไปทำให้เกิดความหวั่นเกรงในสภาเซเนท จนทำให้เขาถูกฆาตกรรม โดยพวกสภาเซเนทหัวอนุรักษ์นิยม เมื่อ 44 ปี ก่อน ค..

เมื่อซีซาร์ถูกฆาตกรรมได้เกิดการแย่งชิงอำนาจต่อมาอีก 14 ปี ในท้ายที่สุด อ๊อคเตเวียน ผู้เป็นหลานและบุตรบุญธรรมของซีซาร์ได้ชัยชนะ อ๊อคเตเวียน หรือ ออกุสตุส เปลี่ยนโรมจากสาธารณรัฐเป็นจักรวรรดิได้สำเร็จ โดยได้รับการยอมรับจากสภาเซเนท

ยุคของออกุสตุส

ในปี 31 ก่อน ค.. กำลังทางทหารของอ๊อคเตเวียน ทำลายล้างกำลังของ มาร์ค แอนโทนีและคลีโอพัตราที่อัคตีอุม ถัดจากนั้นอีกปีหนึ่ง อ๊อคเตเวียนยาตราทัพเข้าสู่อเลกซานเดรียในฐานะประมุขของดินแดนในทะเลเมดิเตอเรเนียน

อ๊อคเตเวียนปฏิรูปโรมอย่างสมบูรณ์  เขายึดถือว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การพิชิตแต่อยู่ที่การเสริมสร้าง อ๊อคเตเวียนครองตำแหน่งสำคัญ ๆ และคุมกองทัพเช่นเดียวกับซีซาร์ เช่น ตำแหน่งพรินเซบส์ (Princeps) หรือพลเมืองโรมันคนที่หนึ่ง ในปี 27 ก่อน ค.. เขาได้รับชื่อใหม่ว่า   ออกุสตุสซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับการเคารพนับถือระบบการปกครองที่ใช้ คือ ระบอบพรินซิเพท   ออกุสตุสใช้ชีวิตที่ง่าย ๆ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ยกย่องเกียรติภูมิของเซเนท เขาปกครองโดยรู้สำนึกถึงความคิดเห็นของประชาชนและสภาเซเนท ตลอดจนเคารพจารีต ประเพณี แต่ออกุสตุสก็เป็นเจ้าเหนือหัวที่แท้จริงของโรม ออกุสตุสให้สันติภาพความมั่นคงปลอดภัย ความเจริญรุ่งเรือง และความยุติธรรมรวมทั้งนโยบาย อาชีพ เปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถความเป็นผู้นำของเขากระตุ้นให้เกิดการมองโลกในแง่ดี ความรักชาติ และการริเริ่มสร้างสรรค์ในด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม ยุคนี้เป็นจุดสุดยอดของความเป็นเลิศในเชิงสร้างสรรค์ของโรมและได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทอง

ผู้นำจักรวรรดิหลังยุคออกุสตุส

ออกุสตุสสิ้นพระชนม์ในปี ค.. 14 เมื่อมีพระชนม์ได้ 76 พรรษา  หลังจากนั้นพรินซิเพท (คือรัฐบาลของพรินเซบส์) รวมศูนย์มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ระบบราชการขยายตัว และการปกครองส่วนภูมิภาคดำเนินไปด้วยดี อัตราภาษีต่ำและการจัดเก็บมีการประเมินอย่างดี กฎหมายมีมนุษยธรรมมากขึ้น พสกนิกรที่อยู่ห่างไกลได้รับความเจริญรุ่งเรืองและมีสันติสุขอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนด้วยพระปรีชาญาณของออกุสตุส

ในศตวรรษที่ 2 มีการปรับปรุงคุณภาพผู้นำจักรวรรดิ ผู้ปกครองโรมระหว่าง ค.. 96 – 180 ได้สมญาว่า จักรพรรดิที่ดี 5 องค์คือ เนอร์วา ทราจัน เฮเดรียน แอนโตนินุส และ มาร์คุส ออเรลิอุส ลักษณะเด่น คือ จักรพรรดิมีความคิด และรับผิดชอบต่อทุกข์ สุข ของจักรวรรดิ มีการปกครองที่เป็นธรรม รักษาความสงบสุขของพลเมือง ส่งเสริมความก้าวหน้าทางวัตถุและการป้องกันพรมแดนจากการรุกราน จักรพรรดิแต่ละองค์จะไม่ใช้หลักการสืบสันตติวงศ์ทางสายเลือด แต่จะรับชายหนุ่มที่มีความสามารถดีเด่นมาเป็น โอรสบุญธรรมและผู้สืบราชบัลลังก์ (แม้ว่าในทางทฤษฎี สภาเซเนท จะเลือกพรินเซบส์) เมื่อ มาร์คุล ออเรลิอุส จงใจเลือกโอรสคือ คอมโมดุสผู้ไร้ความสามารถขึ้นเป็นจักรพรรดิ ทำให้ยุคที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นจักรพรรดิที่ดีสิ้นสุดลง

จักรวรรดิโรมันภายใตต้ระบบพรินซิเพทนี้นับตั้งแต่การเถลิงอำนาจของออกุสตุสจนถึงมาร์คุส ออเรลิอุสนั้นได้ครอบครองดินแดนขนาดใหญ่ ภาระในการป้องกันพรมแดนอันยาวเหยียดตกอยู่กับกองทัพที่ได้รับการฝึกอย่างดี การคมนาคมภายในนั้นมีถนนหนทางที่ดีเยี่ยมซึ่งเชื่อมโรมเข้ากับแคว้นต่าง ๆ เส้นทางการค้าทางทะเลก็ได้รับความคุ้มครองจากกองทัพเรือโรมัน ระยะเวลา 2 ศตวรรษแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่สมัยออกุสตุสจนถึง มาร์คุส ออเรลิอุส ได้รับสมญาว่า PAX ROMANA หรือสันติภาพโรมัน

ภายใต้การพิทักษ์ของสันติภาพโรมัน ความรุ่งเรืองทางการค้า สถาบันโรมันและวัฒนธรรมคลาสสิคได้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวางทั่วจักรวรรดิโรมัน เมื่อแคว้นที่อยู่ห่างไกลมีความเป็นโรมันมากขึ้น ความหมายของ โรมและ โรมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากประชาชนในดินแดนส่วนใหญ่ของอิตาลี ไปจนถึงแคว้นต่าง ๆ ที่ได้สัญชาติโรมันด้วย

โรมันได้พัฒนาเมืองเป็นหน่วยหลักในการปกครอง บางเมืองสามารถพัฒนาตนเองเป็นศูนย์กลางการค้าและหัตถกรรม แต่บางเมืองไม่อาจพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ส่วนใหญ่เมืองทางตะวันออกจะเจริญทางด้านการค้า และมีอุตสาหกรรมพื้นเมืองขนาดย่อมในตัวเมือง แต่เศรษฐกิจหลักโดยส่วนรวมของโรมัน คือ เกษตรกรรม ทาส จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการเป็นแรงงาน อย่างไรก็ตามสังคมโรมันรวมถึงชาวนาที่ยากจนและยาจกที่อดอยากเสมอ

ยุคเงิน

ช่วงประมาณระหว่างการสิ้นพระชนม์ของออกุสตุส และมาร์คคุส ออเรลิอุส เป็นที่รู้จักกันว่ายุคเงิน แม้จะไม่รุ่งโรจน์เท่ายุคทองของออกุสตุส แต่ก็สร้างสรรค์ความสำเร็จทางด้านวรรณกรรม ภูมิปัญญา และศิลปกรรมในระดับเยี่ยม วัฒนธรรมและวิทยาการของยุคนี้ได้แพร่หลายออกสู่ภายนอกและภาคใต้ จำนวนผู้อ่านออกเขียนได้ก็เพิ่มมากขึ้นตลอดทั่วจักรวรรดิ

อเลกซานเดรียเองความสำคัญในฐานะนครแห่งการค้าและภูมิปัญญาตลอดช่วงสมัยพรินซิเพท ความสำเร็จในทางภูมิปัญญา มีทั้งเทววิทยาแบบคริสตศาสนา ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ ดาราศาสตร์ จักรวาลวิทยา ภูมิศาสตร์ ชีววิทยา และการแพทย์

นอกจากนี้ปรัชญาสโตอิคก็รุ่งเรือง งานเขียนเรื่อง ความคิดคำนึงของจักรวรรดิมาร์คุส ออเรลิอุส เป็นความพยายามแสดงออกซึ่งปรัชญาสโตอิค ที่ทำให้แนวความคิดที่ดีที่สุดของยุคลึกซึ้งและมีเมตตาธรรมเป็นอันมาก

กฎหมายโรมัน

ในบรรดาความสำเร็จทั้งหลายในยุคเงิน พัฒนาการทางกฏหมายดูจะเด่นสุด กฎหมายสิบสองโต๊ะ ค่อย ๆ พัฒนาจนกลายเป็นประมวลกฎหมายที่เหมาะสำหรับจักรวรรดิกว้างใหญ่และฝูงชนที่มีความแตกต่างกับบรรดาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย รวมทั้งจักรพรรดิได้มีส่วนในการพัฒนากฎหมายของตน และได้รับอิทธิพลจากแนวคิดปรัชญาของกรีก เกี่ยวกับ จุส นาตูราล หรือ กฎแห่งธรรมชาติเกณฑ์ดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรมทางการเมืองและสังคม ทำให้กฎหมายของจักรวรรดิมีเหตุผลและให้ความยุติธรรม ถือว่ากฎหมายโรมันนั้นเป็นมรดกที่สำคัญยิ่ง คือ เป็นพื้นฐานของระบบกฎหมายทั้งหลายในยุโรป ปัจจุบันตลอดจนบรรดาอดีตอาณานิคมของยุโรปด้วย

ศาสนาโรมัน

โรมมีเทพเจ้าประจำชาติ แต่ด้วยขันติธรรมทางศาสนา ลัทธิบูชาต่าง ๆ จึงอยู่ได้ในโรมัน บุคคลหนึ่งสามารถนับถือได้หลายลัทธิ สมัยพรินซิเพทเกิดลัทธิบูชาจักรพรรดิ (Cult of Emperor) จักรพรรดิออกุสตุสได้รับการยกย่องบูชาโดยถือเป็นเทพ ลัทธินี้กลายเป็นพิธีกรรมประจำชาติอย่างเป็นทางการเพื่อปลุกใจให้รักชาติมากกว่าเป็นเรื่องทางศาสนา สำหรับชาวยิวและคริสต์แล้วไม่เกี่ยวกับพิธีกรรมดังกล่าวเพราะขัดกับหลักคำสอนทางศาสนา

สมัยออกุสตุส ชาวโรมันเริ่มบูชาเทพเจ้าจากทางตะวันออกในแนวของการไถ่บาปในโลกหน้าเช่น บูชาเทพไอซีสของอียิปต์ เทพมิทราของเปอร์เชีย ฯลฯ ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่าเป็นลัทธิหัสยนิยม ลัทธิเหล่านี้ก่อให้เกิดลัทธิสากลนิยมและอัตตาธิปไตยที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ก็มีลัทธิเปลโต้ใหม่ (Neo - platoism) โพลตินุสเป็นนักปรัชญาของลัทธินี้ได้เผยแพร่การบูชาเทพองค์เดียวผู้ทรงอนันตภาพไม่มีขอบเขต ลัทธินี้ต่อมาได้สังเคราะห์แก่นสำคัญของลัทธินอกศาสนาอื่น ๆ เข้ามาด้วย

บรรยากาศของลัทธิศาสนาแบบต่าง ๆ นี้ มีผลให้ลัทธิเหตุผลนิยมและมนุษยนิยมของกรีกถูกกลืนเกือบหมดสิ้น สิ่งที่เกิดขึ้นจากลัทธิใหม่ ๆ เหล่านี้คือ โหราศาสตร์ เวทย์มนต์ การหลอกลวงและพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งครอบงำคนมากย่องกว่าในสังคมกรีก ท่ามกลางบรรยากาศเหล่านี้ คริสตศาสนาได้เกิดขึ้นและได้ชัยชนะเหนือจิตใจประชาชน

คริสตศาสนาในจักรวรรดิโรมัน

คริสตศาสนามีลักษณะที่นำเอาความเชื่อจากลัทธิที่มีมาก่อนมาจัดรวมกัน เช่น แนวความคิดเรื่องความตายและการฟื้นคืนชีพ อย่างไรก็ตามได้มีพื้นฐานต่างจากศาสนาอื่น ๆ อย่างน้อย 2 ประการ คือ ประการแรก คริสตศาสนามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ประการที่สอง พระเยซูนั้นถือเป็นพระผู้ไถ่บาป และเป็นบุคคลในคำพยากรณ์ของศาสนาฮิบรู ทรงเป็นบุคคลร่วมสมัยกับออกุสตุส แต่พระชนม์น้อยกว่า พระเยซูมีปาฏิหาริย์ต่าง ๆ และหลักคำสอนของพระองค์เน้นความรัก ความเห็นอกเห็นใจ และการอ่อนน้อมถ่อมตน การดำรงชีวิตอย่างมีสติ มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนและศัตรู พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่คนจนและผู้ทอดทิ้ง

การที่พระเยซูทรงวิจารณ์ข้อบกพร่องทางศีลธรรมของบรรดาพระในศาสนายิวผสมกับการที่ทรงอ้างว่าตรัสในนามของพระเจ้า มีผลให้ทรงถูกตรึงกางเขนในฐานะผู้พยายามโค่นล้มระบบการปกครอง

นักบุญปอลอัครสาวกสามารถใส่ความคิดเรื่องภราดรภาพสากลเข้าในศาสนาคริสต์ได้สำเร็จ ทำให้ศาสนาคริสต์แพร่ไปได้มาก มิชชันนารีอื่น ๆ รวมทั้งนักบุญปีเตอร์และอัครสาวกองค์อื่น ๆ ต่างพากันเดินทางจาริกเผยแพร่ศาสนาและรวบรวมกลุ่มจัดตั้งองค์กรทางศาสนาขึ้น

เอกสารทางประวัติศาสตร์ของชาวคริสต์เริ่มมีมากในคริสตศตวรรษที่ 2 และ 3 องค์กรทางศาสนาก็เริ่มเด่นชัดกว่าเดิม มีการจัดลำดับสงฆ์เป็นหลายชั้นลดหลั่นกันลงมา อัครสังฆราชที่อยู่ประจำตามมหานครมีความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น ที่โรม อเลกซานเดรีย แอนติออค และต่อมาที่กรุงคอนแสตนติโนเปิลด้วย เมื่อเวลาผ่านไป อัครสังฆราชที่โรมได้รับการยกย่องมากขึ้นจนสูงกว่าองค์อื่น ๆ

แนวความคิดของคริสตศาสนาได้รับการพัฒนาให้ลึกซึ้งตามแนวปรัชญาต่าง ๆ ของกรีกและยิว เช่น ของเปลโต้ สโตอิค และพระคัมภีร์เก่าของยิว แนวความคิดที่ได้รับการตีความเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นฐานให้กับนิกายออร์ธอดอกซ์ อย่างไรก็ตามได้ทำให้คริสตศาสนามีความหมาย และดึงดูดใจปัญญาชนมากขึ้น

การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในจักรวรรดิโรมันเป็นไปอย่างรวดเร็ว  คำสอนและทางรอดในคริสตศาสนาสอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของยุค   คริสตศาสนาได้รับเอามรดกของวัฒนธรรมโรมในเรื่ององค์กรทางการเมืองและกฎหมายมาใช้ รูปแบบองค์กรของศาสนาคริสต์ในยุคกลางเหมือนกับระบอบการปกครองของจักรวรรดิโรมันนั่นเอง

ในระยะแรก คริสตศาสนิกชนมักตกเป็นเป้าความเกลียดชัง ระแวงสงสัย เพราะการปฏิเสธศาสนาอื่น และไม่ยอมรับนับถือเทพเจ้าของรัฐ ในบางช่วงคริสตศาสนิกชนจึงโดนกวาดล้างขนานใหญ่ เป็นช่วง ๆ แต่ศาสนาคริสต์ก็เผยแพร่ไปไม่หยุดยั้ง แต่เมื่อถึงต้นคริสศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ก็เติบโตเกินกว่าจะทำลายล้างได้แล้ว จักรพรรดิโรมันได้หันมาประนีประนอมกับคริสตศาสนา จักรพรรดิคอนแสตนตินเป็นจักรพรรดิโรมันองค์แรกที่นับถือคริสตศาสนา และเมื่อสิ้นคริสตศตวรรษที่ 4 ประชาชนส่วนใหญ่ก็หันมานับถือคริสต์

โดมิเนท

หลังจากสมัยจักรพรรดิที่ดี 5 พระองค์แล้ว  การปกครองที่ไร้ความสามารถของคอมโมดุส (.. 180 – 192) ทำให้จักรวรรดิเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย เป็นศตวรรษแห่งเผด็จการทหาร การฆาตกรรมความทรุดโทรมทางเศรษฐกิจและการบริหาร ความผุกร่อนทางวัฒนธรรมและกลียุค

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่สงบในยุคนี้คือปัญหาเรื่องการสืบราชบัลลังก์ นอกจากนี้ยังเกิดโรคระบาด คือกาฬโรค ซึ่งเกิดขึ้นนานเป็นชั่วอายุคน ทำให้ผู้คนล้มตายมาก ทั้งยังประสบกับการรุกรานของอารยชนเยอรมันที่ข้ามพรมแดนแม่น้ำไรน์และดานูบ มาจนถึงอิตาลี ระบบราชการและกองทัพทำให้ต้องเก็บภาษีเพิ่ม ชาวเมืองและชาวชนบทต่างก็หลีกหนีภาษี แต่ละเมืองขอความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากจักรพรรดิทีละเมือง ซึ่งโดยปกติแล้ว นครโรมันหลายแห่งก็เลี้ยงตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อมาประสบภาวะการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นประกอบกับภาวะเศรษฐกิจภายในจักรวรรดิที่หยุดนิ่ง ทำให้เศรษฐกิจเริ่มทรุดลง ชาวนาทิ้งไร่นา ชนชั้นกลางถูกขูดรีดภาษีอย่างหนักจึงพากันทิ้งเมือง คนที่ยังทำงานอยู่ก็ถูกขูดรีดภาษีหนักขึ้น จักรวรรดิเต็มไปด้วยขอทานและโจรผู้ร้าย สภาพการทางด้านตะวันตกหนักกว่าด้านตะวันออก เพราะศูนย์กลางอุตสาหกรรมอยู่ทางตะวันออก ช่วงระยะทศวรรษ ค.. 260 เป็นระยะที่เศรษฐกิจโรมันต่ำถึงขีดสุดและอนารยชนได้บุกข้ามชายแดนมาทางตะวันออก ขณะนั้นมีจักรพรรดิบางพระองค์พยายามป้องกันรัฐโรมันอย่างสุดความสามารถ ในจำนวนนั้น จักรพรรดิไดโอเคลเตียน (.. 284 – 305) และคอนแสตนติน (306 – 337) ได้ใช้อำนาจเอกาธิปไตยอย่างเด็ดขาด จักรพรรดิมิได้เป็นพรินเซปส์ แต่เป็น โดมินุสเอต เดอุส เจ้าผู้ครองนครและเทพเจ้าจึงเรียกยุคการปกครองแบบนี้ว่า โดมิเนท

ไดโอเคลเตียนได้แบ่งจักรวรรดิออกเป็น 2 ส่วน คือ ตะวันตกและตะวันออก มีจักรพรรดิสองพระองค์ องค์หนึ่งประทับอยู่ทางตะวันตก  อีกองค์หนึ่งทางด้านตะวันออก ทั้งสองพระองค์จะทรงร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอดร่มเย็นและช่วยกันป้องกันประเทศ ทั้งสองพระองค์มีตำแหน่งเรียกว่า ออกุสตุส และมีผู้ช่วยเรียกว่า ซีซาร์ ซึ่งจะช่วยปกครองและสืบทอดตำแหน่งของออกุสตุสในที่สุด ทรงแยกอำนาจพลเรือนออกจากทหาร และปฏิรูปกองทัพให้จักรพรรดิคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สภาเซเนทกลายเป็นเครื่องประดับบารมี และสำหรับปัญหาเศรษฐกิจแก้โดยออกพระราชกฤษฏีกาให้ชาวไร่ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้าทำงานนั้น ๆ โดยการสืบสกุล และออกมาตรฐานกำหนดราคาสินค้า

ความเสื่อมของจักรวรรดิตะวันตก

สาเหตุที่ทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันตกเสื่อมนั้น มีมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 3 ในเรื่องเศรษฐกิจสังคม รวมทั้งความวุ่นวายทางการเมือง การฟื้นตัวของจักรวรรดิในสมัยจักรพรรดิไดโอเคลเตียน และคอนแสตนตินนั้น เป็นการฟื้นตัวบางส่วนและเป็นไปเพียงชั่วคราว รัฐโรมันทางตะวันตกมีปัญหามากกว่าทางด้านตะวันออก เศรษฐกิจโรมันเสื่อมสลาย ชนชั้นกลางก็หมดศรัทธาและกำลังใจที่จะร่วมมือกับรัฐ รัฐโรมันกลายเป็นเผด็จการ มีตำรวจคอยสอดส่องอิสรภาพของประชาชน คนในเมืองมักทิ้งเคหสถานและกิจการในเมืองไปอยู่ในที่ดินของตนนอกเมือง แล้วรวบรวมกองทหารส่วนตัวไว้ต่อต้านไม่ยอมจ่ายภาษีให้รัฐชนชั้นสูงที่พากันหลบหนีออกจากเมืองได้กลายเป็นชนชั้นกสิกรต่อมา ระบบ    เจ้าขุนมูลนายชนบทของยุคกลางได้เกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ การขาดแคลนกำลังคน ทำให้กองทัพและรัฐบาลต้องรับอนารยชนเผ่าเยอรมันเข้ามา

นับแต่กลางปี ค.. 370 จักรวรรดิโรมันเผชิญกับการรุกรานของอนารยชนเยอรมันครั้งใหญ่เพราะพวกฮั่นรุกไล่อนารยชนเผ่าเยอรมัน พวกวิซิกอธเข้ามาอาศัยในจักรวรรดิ ต่อมาได้ก่อความไม่สงบ และปล้นสะดมหลายครั้ง ที่สำคัญคือการปล้นกรุงโรม ค.. 410 ต่อมาเมื่อ ค.. 430 พวกแวนดัลยึดครองนครฮิบโปสุดท้ายใน ค.. 476 นายพลเผ่าเยอรมันผู้อยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ก็ได้ถอดจักรพรรดิองค์สุดท้ายออก และปกครองโรมเสียเอง เผ่าเยอรมันได้ตั้งอาณาจักรขึ้นทางตะวันตก อย่างไรก็ดีสันตะปาปาแห่งโรมเริ่มมีบทบาทที่อิสระมากขึ้น และมีความสำคัญมากขึ้นในสังคมยุโรป พระสันตะปาปาลีโอที่ 1 (.. 440 – 461) และผู้สืบต่อจากพระองค์ ประกาศว่าตำแหน่งสันตะปาปาทรงอำนาจสูงสุดทางศาสนา และศาสนาย่อมอยู่เหนือรัฐทางจิตใจ ซึ่งจะมีผลต่อมาในยุคกลาง

ขณะที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกสลายตัวนั้น จักรวรรดิโรมันตะวันออกยังดำรงอยู่ต่อไปจนถึง ค.. 1453

สร้างโดย: 
นางสาว สุจิตรา บุญโสม

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 622 คน กำลังออนไลน์