โครงการวิจัยขอรับทุนมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
โครงการวิจัยในชั้นเรียนเพื่อขอรับทุนสนับสนุนจากโครงการพัฒนาครู
มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
|
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 |
|
นายสุริยา บุดดี |
สังกัด |
โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม |
- 3. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้เน้นย้ำถึงเหตุผลและความจำเป็นของการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่าเป็นการศึกษาที่มุ่งหวังให้ผู้เรียน ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอนมีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น
แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะมีความจำเป็นและความสำคัญมากเพียงไรก็ตามแต่เป้าหมายในการจัดการศึกษายังขัดแย้งกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยจากการศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม ปีการศึกษา 2557 มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ที่โรงเรียนกำหนดไว้ร้อยละ70 มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 61.15 จะเห็นได้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจดังนั้นจึงควรพัฒนาและแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนต่อไปและเมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยของหน่วยการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม ปีการศึกษา 2557 พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยของบางหน่วยการเรียนรู้ที่มีคะแนนเฉลี่ยที่ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ในปีการศึกษา 2557 มีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าหน่วยการเรียนรู้อื่นและมีแนวโน้มลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหน่วยการเรียนรู้ดังกล่าวต้องได้รับการแก้ไขเป็นอันดับแรก ทั้งนี้ในฐานะครูผู้สอนได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาดังกล่าว พบว่านักเรียนมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ไม่ดี ไม่ใฝ่รู้และขาดทักษะในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สื่อการเรียนการสอนยังไม่หลากหลาย ไม่สนองความต้องการของนักเรียน ทำให้นักเรียนไม่สนใจ สื่อการเรียนการสอนที่ใช้ในการพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานของนักเรียนยังไม่ส่งผลให้นักเรียนเกิดความรู้อย่างถาวร จนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ยังไม่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ และเครื่องมือการวัดผลและประเมินผลยังไม่ชัดเจน
ครูผู้สอนได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวข้างต้นและได้แสวงหาแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงการจัดกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อจะช่วยให้นักเรียนได้มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตระหนักถึงคุณค่าของวิทยาศาสตร์ และเห็นประโยชน์ในการนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ วิธีหนึ่งคือการพัฒนานวัตกรรมหรือนำวิธีการใหม่ ๆ มาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อมุ่งพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้และแก้ไขข้อบกพร่องของนักเรียนจึงเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมเป็นอย่างมาก เพราะการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในปัจจุบันจะแตกต่างจากในอดีตที่ครูเป็น ผู้บอก ครูเป็นศูนย์กลางของกิจกรรมการเรียนการสอน แต่บทบาทของครูจะเปลี่ยนไปกลายเป็น ผู้คอยชี้แนะให้ความช่วยเหลือให้นักเรียนทุกคนได้รับการพัฒนาไปตามความรู้ความสามารถของตนเอง การใช้นวัตกรรมและวิธีการใหม่ๆที่เหมาะสมจะช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาความรู้ความสามารถได้อย่างเต็มศักยภาพ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ก็เป็นนวัตกรรมหนึ่งซึ่งเป็นชุดของสื่อประสม การใช้สื่อการสอนตั้งแต่สองชนิดนั้นไปร่วมกันเพื่อให้ผู้เรียนได้รับความรู้ตามที่ต้องการ สื่อที่นำมาใช้ร่วมกันนั้นจะช่วยเสริมประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ตามลำดับชั้นที่จัดเอาไว้ และชุดกิจกรรมการเรียนรู้มีความสำคัญในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของนักเรียน เพราะสื่อประสมที่ได้จัดไว้ในระบบเป็นการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและช่วยรักษาระดับความสนใจของผู้เรียนตลอดเวลาและเปิดโอกาสให้นักเรียนศึกษาด้วยตนเอง ทำให้มีทักษะในการแสวงหาความรู้พิจารณาข้อมูล ฝึกความรับผิดชอบและการตัดสินใจ
จากสาเหตุและปัญหาที่พบดังกล่าวครูผู้สอนจึงได้จัดทำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงขึ้นต่อไป
- 4. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ
วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กับนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ
4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- 5. สมมติฐานของการวิจัย
นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
- 6. ขอบเขตของการวิจัย
- ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 120 คน
- กลุ่มตัวอย่าง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนเวียงแก่นวิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 41 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการสุ่มแบบเกาะกลุ่ม(Cluster sampling)โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม(Sampling Unit) จำนวน 1 ห้องเรียน จากห้องเรียนทั้งหมด 3 ห้องเรียน
- ตัวแปรที่ศึกษาในการวิจัยครั้งนี้
3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- ระยะเวลาที่ใช้ชุดฝึกทักษะการสังเกต ระยะเวลาในการศึกษา คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 ในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2558 รวมจำนวน 18 ชั่วโมง
- เครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูล ได้แก่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 , แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง แรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 , แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง แรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
- เนื้อหาสาระ ความเร่งและผลของแรงลัพธ์, แรงกิริยาและแรงปฏิกิริยา, แรงเสียดทาน, แรงพยุง, โมเมนต์ของแรง, การเคลื่อนที่แบบต่างๆของวัตถุ
- 7. ข้อตกลงเบื้องต้น
การใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้นี้จะต้องให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริงตามขั้นตอนที่กำหนด
- 8. คำจำกัดความที่ใช้ในการวิจัย
- ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หมายถึง ชุดสื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย ชื่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ คำนำ สารบัญ คำชี้แจง ลำดับขั้นการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สาระสำคัญ ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน บัตรเนื้อหา บัตรกิจกรรม แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน เฉลยบัตรกิจกรรม บรรณานุกรม 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คะแนนจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์หลังจากเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งผู้ศึกษาได้สร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ .
- 9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องแรงกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ วิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับผู้เรียน 2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ที่สูงขึ้น
- 10. ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย
2 เดือน
ตั้งแต่ มิถุนายน ถึง กรกฎาคม 2558
- 11. วิธีดำเนินการวิจัย
1) สร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยแบ่งเป็น 6 หน่วย ดังนี้
หน่วยที่ 1 ความเร่งและผลของแรงลัพธ์
หน่วยที่ 2 แรงปฏิกิริยาและแรงปฏิกิริยา
หน่วยที่ 3 แรงเสียดทาน
หน่วยที่ 4 แรงพยุง
หน่วยที่ 5 โมเมนต์ของแรง
หน่วยที่ 6 การเคลื่อนที่แบบต่างๆของวัตถุ
ในแต่ละชุดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบด้วย ชื่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ คำนำ สารบัญ คำชี้แจง ลำดับขั้นการเรียนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ สาระสำคัญ ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน บัตรเนื้อหา บัตรกิจกรรม แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน - หลังเรียน เฉลยบัตรกิจกรรม บรรณานุกรม
2) ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสมของเนื้อหาสาระ กิจกรรมในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ และตรวจสอบเครื่องมือวัด แล้วรวบรวมผลการตรวจสอบเชิงเนื้อหาเพื่อการปรับปรุงเบื้องต้น
3) นำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ไปทดลองกับนักเรียน กลุ่มเล็ก10 คน เพื่อหา ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สูตรหาประสิทธิภาพ E1 / E2
สำหรับการหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สูตร
E1 / E2ได้กำหนดเกณฑ์ไว้เป็น 80/80
E1 คือ (คะแนนเฉลี่ยระหว่างการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้/คะแนนเต็ม) คูณ 100
E2 คือ (คะแนนเฉลี่ยหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้/คะแนนเต็ม) คูณ 100
4) จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาที่จะนำเอาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอน รวมทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง
5) นำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผ่านการหาประสิทธิภาพแล้วไปใช้สอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 1 ห้อง โดยใช้แบบการทดลอง O1 x O2 ซึ่งเป็นการทดลองใช้กลุ่มตัวอย่างเดียวมีการวัดผล 2 ครั้ง คือ ก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
6) .ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้
7) รวบรวมข้อมูลจากการวัดก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้
8) การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สถิติ t-test
- 12. เอกสารอ้างอิง
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551. บุญเกื้อ ควรหาเวช. นวัตกรรมการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2550. บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น์, 2552. ยุทธ ไกยวรรณ์. พื้นฐานการวิจัย. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2552. โรม วงศ์ประเสริฐ. เทคนิคการจัดการเรียนรู้และพัฒนาผู้เรียนด้วยกิจกรรม. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์, 2552.
- 13. งบประมาณ
ที่ |
รายการ |
รายละเอียด |
จำนวนเงิน (บาท) |
1 |
ค่าวัสดุอุปกรณ์ |
อุปกรณ์สำหรับสร้างชุดกิจกรรมการเรียนรู้ |
2,500.00 |
2 |
ค่าจัดทำเอกสาร |
- ค่าถ่ายเอกสาร - ค่าจัดทำรายงาน |
200 300 |
3 |
ค่าใช้สอยอื่นๆ |
ไม่มี |
0 |
รวม (=สามพันบาทถ้วน =) |
3,000.00 |
ลงชื่อ ..........................................................
(นายสุริยา บุดดี)
วันที่ 25 มีนาคม 2558