สถานภาพของผู้หญิงในสมัยเรอเนสซองค์ ถึงคริศตศตวรรษที่ 18
สถานภาพของผู้หญิงในสมัยเรอเนสซองค์
ถึงคริศตศตวรรษที่ 18
ในช่วงเริ่มต้นคริสตศตวรรษที่ 15 ผู้หญิงในโลกตะวันตกได้รับสิทธิต่างๆทางกฎหมายและอิสรภาพอย่างช้าๆ ในหลายต่อหลายตัวอย่าง ความจำเป็นได้บีบบังคับผู้หญิงให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเธอ ถัดจากนั้น ท่าทีหรือทัศนคติและกฎหมายต่างๆก็ยอมรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
น่าจะเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในหมู่ผู้หญิง ที่เข้าคู่กันได้กับอุดมคติทางสังคมของความเป็นแม่และภรรยาที่น่านับถือ ผู้หญิงส่วนใหญ่มีฐานะที่เป็นแม่ แต่ผู้หญิงยากจนเป็นจำนวนมากเช่นกันน่าจะไม่ได้แต่งงาน กฎหมายและระบบสังคมส่วนใหญ่ ที่ผูกพันกับเรื่องการเป็นชู้และการกระทำผิดกฎหมาย เสนอว่า แม้ในท่ามกลางผู้คนที่ร่ำรวย ความน่าเคารพเลื่อมใสของผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องไม่ถูกทึกทักเอาว่าเป็นเช่นนั้น (หมายความว่าอย่าทึกทักเอาเองว่า ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะไม่ทำผิดศีลธรรม) กฎหมายและทัศนคติต่างๆให้การสนับสนุนมาตราฐานการมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้นที่เป็นคู่ชีวิตกัน
ผู้หญิงเช่นเดียวกันกับผู้ชาย ต่างก็มีส่วนในการเรียนรู้ในยุคเรอเนสซองค์ : การเรียนในสมัยดังกล่าว ถูกถือว่ามันได้ช่วยนำไปสู่คุณความดีและความบริสุทธิ์ ผู้หญิงที่มีการศึกษา อย่างเช่น Isabella แห่งสเปน และ Elizabeth ที่ 1 แห่งอังกฤษได้รับการตัดสินว่าเป็นผู้นำที่โดดเด่นโดยฐานะและต่ำแหน่งของพระองค์และโดยประวัติศาสตร์ แต่กระนั้น ผู้หญิงก็ยังคงถูกพิจารณาว่าต่ำต้อย และการแพร่หลายทางการศึกษาและอำนาจยังคงคับแคบอยู่และเป็นของผู้ชาย
การค้า อุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงต่างๆในด้านเกษตรกรรมได้ดูดดึงเอาประชาชนมาสู่เมือง กฎหมายได้จำกัดสิทธิของผู้หญิง แต่ผู้หญิงเป็นจำนวนมากในด้านการค้าก็ได้มีการเซ็นสัญญาต่างๆ และจัดการในเรื่องของทรัพย์สิน และกระทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพวกเธอเอง
ความขาดแคลนไม่เพียงพอในด้านกำลังงานในช่วงแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม มีผลต่อการกดดันที่ตั้งข้อจำกัดในเรื่องงานของผู้หญิง กฎหมายต่างๆและกฎข้อบังคับสมาคมอาชีพปฏิเสธผู้หญิงให้เข้ามาสู่โปรแกรมต่างๆเกี่ยวกับการฝึกงาน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงได้เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามาสู่การเติบโตของสังคมเมืองต่างๆ
ผู้หญิงซึ่งเป็นชนชั้นกลางสามารถที่จะถอนตัวจากพลังบีบคั้นของแรงงาน แต่ผู้หญิงที่ยากจนกลับถูกบีบคั้นให้ยอมรับเงื่อนไขเกี่ยวกับการทำงานที่หยาบและได้รับค่าจ้างต่ำเพื่อการอยู่รอด พวกผู้หญิงที่ยังเด็กดำรงชีวิตอยู่โดยตัวของพวกเธอเอง แต่บรรดาผู้หญิงที่มีอายุกลับต้องรับผิดชอบกับพวกลูกๆของพวกเธอ ในทวีปยุโรปถัวเฉลี่ยของวัยแต่งงานได้สูงขึ้นจาก 21 ปีไปสู่ระดับอายุ 25-28 ปีในช่วงขณะนั้น ผู้หญิงที่เป็นอิสระซึ่งยังเป็นโสด แม่หม้าย หรือผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง เสี่ยงต่อการมีชีวิตที่จะผลักดันไปสู่ความตายในฐานะที่เป็นแม่มด.
ทั้งๆที่มีอุปสรรคต่างๆมากมาย การศึกษาที่แผ่ขยายกว้างออกไป ในบางส่วนเนื่องมาจากว่า นิกายโปรเตสแตนท์บางนิกายถือว่า ทุกๆคนควรที่จะสามารถอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลได้ การอพยพโยกย้ายไปสู่อาณานิคมต่างๆสามารถที่จะให้อิสรภาพดั้งเดิมได้ แต่ก็ยังพัวพันกับภยันตรายอันยิ่งใหญ่อยู่ ในเวลาเดียวกัน ผู้หญิงในอังกฤษและที่อื่นๆได้เข้ามาร่วมกับเส้นทางต่างๆทางการเมือง พวกเธอยังได้เข้ามามีส่วนพัวพันกับศาสนาต่างๆที่ไม่ลงรอยกันกับของเดิม และความเคลื่อนไหวทางสังคมอื่นๆด้วย
การได้รับสิทธิ์
ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 17 เป็นช่วงโอกาสหนึ่งของผู้หญิง ซึ่งบ่อยครั้งเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงานที่ได้เรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิของผู้หญิงในด้านการศึกษาและความเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ควรมีส่วนในผลประโยชน์ต่างๆของสังคม แต่อย่างไรก็ตาม ไม่จนกระทั่งช่วงปลายของคริสตศตวรรษที่ 18 ที่ผู้หญิงเริ่มจะรวมตัวอยู่รอบๆปัญหาต่างๆของพวกเธอ ในช่วงระหว่างนั้น Rouseau และพวกโรแมนติคทั้งหลายได้ยกภาพของผู้หญิงขึ้นมา ในฐานะที่เป็นพวกที่เปราะบาง แตกหักง่าย ควรอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน, และต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น
ในปี ค.ศ.1839 กฎหมายเกี่ยวกับการดูแลทารกในอังกฤษ ได้ยินยอมให้ผู้หญิงที่แยกทางกับสามีหรือหย่าร้างเป็นผู้ดูแลเด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ขวบ การปฏิรูปเรื่องการหย่าร้างได้ตามมาในช่วงปี 1857 ถัดจากนั้นการปกป้องทรัพย์สมบัติของพวกผู้หญิงก็เป็นกฎหมายติดตามมาในช่วงทศวรรษ 1870s.
ในสหรัฐอเมริกา มีความพยายามที่จะขยายโอกาสทางการศึกษาของผู้หญิงให้มากขึ้น ซึ่งต่อมาได้ประสบความสำเร็จโดยการรณรงค์ให้มีการปฏิรูปทางกฎหมาย การเคลื่อนไหวในกลุ่มผู้หญิงในเรื่องการให้สิทธิในการออกเสียงได้ติดตามมาอีก
ในทวีปยุโรปทางตอนเหนือ ในช่วงระหว่างนั้น ผู้หญิงได้รวมตัวกันอยู่รอบๆประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความสนใจในเรื่องความเป็นแม่ที่ไม่ได้แต่งงาน. ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1920s ผู้หญิงในยุโรปตอนเหนือ รวมทั้งอังกฤษและในสหรัฐอเมริกามีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง และอย่างน้อยที่สุด ผู้หญิงส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาในขั้นประถม
5. สถานภาพของสตรีในส่วนอื่นๆของโลก
ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของผู้หญิง ที่พ้นไปจากสังคมตะวันตกเป็นที่รู้กันน้อยมาก ประวัติศาสตร์และขนบธรรมเนียมที่เล่าต่อๆกันมากล่าวถึงผู้นำต่างๆที่เป็นผู้หญิง
ในจักรวรรดิ์ Byzantine และในอินเดีย เป็นตัวอย่าง ขนบประเพณีอื่นๆได้ชี้ถึงบทบาทต่างๆของผู้หญิงและความชำนิชำนาญ ; บ้างก็เสนอว่าบทบาทของผู้หญิง ถ้ามิใช่ในฐานะปัจเจกบุคคลผู้ซึ่งเติบโตขึ้นมา ต่างก็ได้รับการเคารพนับถือ ส่วนใหญ่ในโลกของผู้หญิงคือคนที่ทำงานเช่นเดียวกับการเลี้ยงดูเด็กๆ บ่อยครั้ง การมีสัมพันธ์ติดต่อกับตะวันตกได้เพิ่มภาระต่างๆของพวกเธอมากยิ่งขึ้น
ผู้ปกครองอาณานิคมชาวตะวันตกไม่เพียงรังเกียจผู้คนท้องถิ่นและขนบธรรมเนียมต่างๆเท่านั้น ชนชั้นปกครองพวกนี้ยังล้มเหลวที่จะยอมรับผู้หญิงและกิจกรรมต่างๆของพวกเธอด้วย. ผู้หญิงชาวแอฟริกันที่เป็นชาวนาต้องสูญเสียสิทธิในที่ดินทำกินของตนลงไป เมื่อกฎหมายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชาวยุโรป เรียกร้องให้โฉนดที่ดินจะต้องมีชื่อของเจ้าของที่ดินที่เป็นผู้ชายเท่านั้น
ช่องว่างทางด้านการศึกษาระหว่างผู้หญิงและผู้ชายขยายกว้างมากขึ้น ขณะที่เด็กผู้ชายได้รับการศึกษาในระบบที่จำลองมาจากแบบฉบับของตะวันตก แต่ผู้หญิงกลับมิได้รับการศึกษาแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อันนี้เป็นความจริงในกลุ่มประเทศอิสลาม ที่ที่ขนบธรรมเนียมเรียกร้องว่า ผู้หญิงทั้งหลายจะต้องได้รับการจำกัดอยู่กับการดูแลครอบครัว
คณะกรรมการขององค์การสหประชาชาติ ที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องสถานภาพของผู้หญิงได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี 1948 ซึ่งได้เริ่มวางแผนสำหรับปีสตรีสากลขึ้น(International Women's Year - IWY; 1975) พร้อมกันนั้นได้จัดให้มีปีทศวรรษเพื่อผู้หญิงขององค์การสหประชาชาติด้วย(1975-1985) และได้มีการจัดประชุมขึ้นมา 3 ครั้งในระหว่างช่วงทศวรรษดังกล่าว ครั้งแรกจัดที่ Maxico City ในปี 1975, ครั้งที่สองจัดขึ้นที่ Copenhagen ในปี 1980, และครั้งที่สามจัดขึ้นที่ Nairobi ในปี 1985. IWY ถือเป็นตัวแทนความพยายามขึ้นมาครั้งแรกในโลกที่จะยกระดับสถานภาพของสตรีขึ้นมา
ตรวจแล้ว