อารยธรรมอียิปต์โบราณ
อารยธรรมสำคัญของอียิปต์
แบ่งออกเป็น 3 ด้านดังนี้ คือ
1.การปกครอง
2.ด้านเศรษฐกิจ
3.ด้านสังคม
1.การปกครอง
ฟาโรห์ทรงเป็นผู้นำในการปกครอง เป็นแม่ทัพ ผู้พิพากษา ผู้ควบคุมเงินในท้องพระคลังและผู้นำสูงสุดทางศาสนาเป็นสื่อกลางระหว่างชาวอียิปต์กับเทพเจ้าต่างๆและชาวอียิปต์เชื่อว่าฟาโรห์ทรงสืบเชื้อสายมาจากสุริยเทพและทรงเป็นตัวแทนของชาวอียิปต์ เมื่อสังคมอียิปต์เจริญขึ้นฟาโรห์ทรงแต่งตั้งข้าราชการช่วยงานบริหารประเทศ ตำแหน่งสำคัญ คือ
1.1 วิเซียร์ (Vizier) เสนาบดี มีหน้าที่ดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศในด้านการปกครอง การเกษตร การชลประทานและประธานศาลสูงสุด
1.2 ข้าหลวงตามมณฑล มีหน้าที่เก็บภาษี ประเมิณภาษี ในช่วงปลายอาณาจักรเก่าข้าหลวงมีอิทธิพลมากจนฟาโรห์โดยเฉพาะราชวงศ์ที่ 12 ต้องหาทางลดอำนาจข้าหลวงเหล่านี้
1.3 พระ ช่วยงานด้านศาสนา คือ ประกอบพิธีต่างๆยิ่งเมื่อฟาโรห์ให้การสนับสนุนจึงให้ยกเว้นหน้าที่บางอย่างและการเสียภาษีให้แก่พระ พระจึงยิ่งมีอำนาจและร่ำรวยมากขึ้น ในปลายสมันจักรวรรดิพระที่นับถือเทพเจ้าอมอนมีที่ดินประมาณ 30% ของที่ดินอียิปต์และมีสิทธิ์ในการปกครองมากขึ้น มีสิทธิสอบสวนและตัดสินคดีในวัดของพระอมอน
กฎหมายจะมีระเบียบวิธีทางกฎหมายชัดเจนในการพิจารณาคดี ผู้พิพากษาได้ดำเนินการให้มีการร้องเรียน มีศาลประจำท้องถิ่นและส่งฎีกาไปยังศาลสูงและสุดท้ายซึ่งฟาโรห์จะมีการรายงานทุกคดีรวมทั้งการตัดสินและการลงโทษไปยังฟาโรห์อย่างสม่ำเสมอ
วิธีการสอบสวนมักใช้วิธีการทรมาน ลงโทษที่ใช้สม่ำเสมอคือ การโบย หากเลี่ยงภาษีจะถูกโบย โทษถัดไปมีการตัดอวัยวะ เช่น ตัดจมูก มือหรือลิ้น การเนรเทศไปทำงานตามเหมืองการลงโทษถึงตายมีทั้งแขวนคอ ตัดศรีษะเสียบประจาน เผาทั้งเป็นและหากลงโทษขั้นอุกฤษฏ์ คือ การอาบยาทั้งเป็น
การเป็นพยานเท็จถือว่าเป็นโทษถึงตาย หากกระทำผิดเล็กๆน้อยๆก็อาจให้นำของมาคืนหรือถูกปรับ 2 เท่าหรือ 3เท่าของราคา ส่วนคดีแพ่งเรื่องที่ดินและสืบมรดกให้เป็นหน้าที่ของวิเซียร์
2.ด้านเศรษฐกิจ
2.1การเกษตรกรรม การเพาะปลูกของอิยิปต์ต้องพึ่งน้ำจากแม่น้ำไนล์ เพราะว่าไม่มีฝนช่วงฤดูร้อนน้ำจะท่วม 3 เดือน จนเมื่อน้ำลดประมาณเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธัวาคมชาวนาก็จะเริ่มไถและหว่านพืช แล้วใช้สัตว์ พวกแกะ หรือหมูเหยียบย่ำเมล็ดพืชให้จมส่วนการเก็บเกี่ยวก็จะทำกันประมาณเดือนมีนาคมหรือเมษายน พืชที่ปลูกก็มีข้าวสาลี ลูกเดือยหรือผัก ผลไม้ ต้นป่านและฝ้าย
ในฤดูแล้งชาวนาจะซ่อมเขื่อน ขุดลอกคลอง ระหว่างฤดูน้ำหลาก ชาวนาอาจจะถูกเกณฑ์ไปช่วยงานในโครงการต่างๆของฟาโรห์ ชีวิตของชาวนาอียิปต์เมื่อเทียบกับชาวนาของอาณาจักรอื่นในสมัยเดียวกันมีสภาพดีกว่า
2.2การค้าขาย นอกจากจะเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่ากันแล้ว ยังเป็นวิธีการสำคัญในการแลกเปลี่ยนอารยธรรมระหว่างประเทศและเป็นสิ่งที่จะให้การศึกษาของคนยุคโบราณได้
2.3การอุตสาหกรรม ก็มีความสำคัญเท่ากับการค้าขาย ประมาณปี 3,000 ก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์จำนวนมากเป็นช่างฝีมือดีและเป็นศิลปินผู้มีความสามารถ เช่น ช่างทอง ช่างเพชรพลอย คนทอผ้า ช่างทำเครื่องเรือน ช่างต่อเรือ ต่อมามีการสร้างโรงงานขึ้น มีการจ้างคนงานมากกว่า 20 คนในโรงงานหนึ่งและอาจมีการแบ่งงานกันทำ อุตสาหกรรมชั้นนำ คือ อู่ต่อเรือและโรงงานทำเครื่องปั้นดินเผา เครื่องแก้วและสิ่งทอ
จากการค้าขายของชาวอียิปต์ที่มีมานานแล้ว จึงทำให้อียิปต์ได้พัฒนาเครื่องมือในธุรกิจต่างๆขึ้น คือชาวอียิปต์รู้จักการทำบัญชี นอกจากนี้ยังมีการทำสัญญาสำหรับทำทรัพย์สมบัติ เช่น หนังสือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรและพินัยกรรม แม้จะยังไม่มีเหรียญกษาปณ์ใช้ในการแลกเปลี่ยน แต่ชาวอียิปต์ได้ใช้ห่วงทองแดงหรือทองคำตามน้ำหนักในการแลกเปลี่ยน ซึ่งนับว่าเป็นเงินตราที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์อารยธรรมโลก ส่วนชาวนาและชาวบ้านยังคงใช้ระบบสินค้าแลกเปลี่ยนกัน
เศรษฐกิจของชาวอียิปต์โบราณ เป็นการร่วมมือกันโดยรัฐบาลเป็นผู้ผูกขาด ฉะนั้นชาวอียิปต์จึงถูกฝึกให้รู้จักการทำงานร่วมกันตั้งแต่การดำรงชีวิตร่วมกันและการชลประทานเพื่อการเพาะปลูก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สภาพสังคมมีความสุขและสนุกสนานร่าเริง ความสนใจของบุคคลและความสนใจของสังคมเป็นสิ่งเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไป ชาวนาจำนวนมากก็ได้เป็นชาวนาเสรี รัฐบาลยังเปิดทำเหมืองขุดหินและเมืองต่างๆเพื่อสร้างพีระมิด วัด และทำไร่ในที่ดินของฟาโรห์
3.ด้านสังคม
ในอียิปต์แม้จะมีการแบ่งชนชั้น แต่ก็ไม่มีระบบชนชั้นที่ถาวร สังคมอียิปต์แบ่งประชาชนออกเป็น 5 ชนชั้นคือ
1.ราชวงศ์
2.พระ
3.ขุนนาง
4.เสมีย พ่อค้า ช่างฝีมือต่างๆและชาวไร่ชาวนาที่ร่ำรวย
5.ชาวนา ซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของสังคม
แต่ในสมัยจักรวรรดิมีทหารอาชีพขึ้นมา เมื่อฟาโรห์มีนโยบายจะขยายอำนาจและอาณาเขต และได้เชลยศึกมาเป็นทาสจำนวนมากจากการรบชนะ ทำให้อียิปต์มีชนชั้นเพิ่มอีก 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นที่ 6 ทหารอาชีพ และชนชั้นที่ 7 ทาส
ทหารจะถูกเกณฑ์ไปทำงานในเหมืองหินและที่ดินของวัด ต่อมาก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารและบ้างก็ไปรับใช้ฟาโรห์ ในอาณาจักรสมัยเก่า พระและขุนนางมีอำนาจมากอยู่ใต้ฟาโรห์ สมัยอาณาจักรกลาง สามัญชนเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง พ่อค้าและชาวไร่ชาวนา ได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาล การสร้างอาณาจักรมีผลทำให้เกิดขุนนางชนชั้นใหม่ขึ้นคือข้าราชการ
ขุนนางที่ร่ำรวยจะอาศัยอยู่ในบ้านตากอากาศที่หรูหราติดกับสวนที่มีกลิ่นดอกไม้ อาหารมีจำนวนหลากหลาย เช่น อาหารประเภทเนื้อ ไก่ ขนมต่างๆ ผลไม้ เหล้าองุ่นแฃะของหวานชนิดต่างๆ ภาชนะที่ใช้ทำด้วยอลาบาสาคอร์ ทองคำและเงินแต่งกายราคาแพงและประดับเพชรพลอยราคาสูง ตรงกันข้ามกัขชีวิตของคนยากจนที่น่าสงสาร บ้านของคนจนในเมืองนั้นจะแออัด สร้างด้วยโคลน ส่วนชาวนาที่อาศัยในทุ่งนาผืนใหญ่ จะอยู่ในบ้านที่ไม่แออัดเท่าในเมืองแต่มีชีวิตไม่สะดวกสบาย
สถานภาพสตรีของชาวอียิปต์ ห้ามมีสามีภารยาหลายคน แม้แต่ฟาโรห์ซึ่งสามารถมีฮาเร็มที่มีสนมและนางบำเรอจำนวนมากอาศัยอยู่ แต่ฟาโรห์ก็มีมเหสีองค์เดียว สตรอียิปต์ยังไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของชายทั้งหมดทีเดียว ภรรยาจะไม่ถูกแบ่งแยกแต่สตรีสามารถมีกรรมสิทธิ์รับมรดกและประกอบธุรกิจได้
ระบบการศึกษา มีโรงเรียนรัฐบาลไว้ฝึกหัดการเป็นเสมียน เมื่อสำเร็จแล้วนักเรียนสามารถบันทึกหลักฐานข้อความ ทำบัญชีและช่วยงานบริหารในงานราชการ เปิดรับสมัครนักเรียนทั่วไปไม่จำกัดชนชั้น เด็กที่ยากจนที่สนใจก็สามารถเข้าเรียนได้ รัฐเป็นผู้ออกค้าใช้จ่ายให้ผู้เรียนหมด ทั้งนี้เนื่องจากรัฐมีความต้องการเสมียนที่มีความรู้ความสามารถด้านนี้สูง
ตรวจแล้ว