การแสดงออกทางศิลปะของชาวอียิปต์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์และในสมัยประวัติศาสตร์ ทัศนศิลป์
ในทางอารยธรรมอียิปต์ซึ่งอาชีพของคนส่วนใหญ่ ทำการกสิกรรม เพาะปลูก ซึ่งต้องอาศัยธรรมชาติเป็นสำคัญ หากฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล การเพาะปลูกก็จะได้ผลดี แต่หากปีใดฝนฟ้าวิปริตผิดปกติไปพืชผลก็จะเสียหายนำความเดือดร้อนมาสู่มนุษย์ ชาวอียิปต์จะไม่สามารถหาคำอธิบายความผิดปกติในธรรมชาติได้ จึงอ้างเทพเจ้าหรืออำนาจในธรรมชาติ (Nature Spirit) จึงเกิด เทพเจ้าขึ้นหลายองค์ นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากษัตริย์ หรือฟาโรห์ทรงเป็นทั้งเทพเจ้าและมนุษย์ในเวลาเดียวกัน และยังมีอมตภาวะอีกด้วย ซึ่งถ้าตายแล้วก็สามารถเกิดใหม่ในร่างเดิมได้ ดังนั้นวิญญาณจึงต้องมีร่างกายไว้รอการกลับมาเกิด จึงเกิดการรักษาพระศพ และการสร้างสถานที่เก็บพระศพ เรียกว่า ปิรามิด มีการตกแต่งห้องเก็บพระศพเหมือนที่อยู่อาศัย เกิดมีศิลปะการตกแต่ง และจิตรกรรมขึ้น
มาสตาบา (Mastaba) รูปร่างคล้ายปิรามิดขนาดเล็ก ยอดตัดแบนเป็นที่เก็บศพพวกขุนนาง ศิลปกรรม
จุดมุ่งหมายของศิลปะเปลี่ยนแปลงไปตามการเมืองและสังคม ศิลปกรรมในสมัยราชอาณาจักรเก่า ซึ่งมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายไปแล้ว และศิลปะจะเน้นที่ตามลัทธิชาตินิบมมีดังนี้
1.สถาปัตยกรรม นับว่ามีพัฒนาการสูงมาก ผลงานที่สำคัญคือ
1.1พีระมิด มีชื่อเสียงมาก เป็นสิ่งมหัศจรรย์อันหนึ่งของโลกทั้งในโบราณและในสมัยปัจจุบัน พีระมิดแรกสร้างขึ้นประมาณ 2,270 ก่อนคริสต์ศักราช ที่เมืองซัคคารา (Sakkara) ในช่วงสมัยแรก ๆ จะมีลักษณะเป็นขั้น ๆ บันไดขึ้นไป 6 ขั้น เรียกว่า Step Pyramid สร้างโดย ฟาโรห์โซเซอร์ (Zoser) แห่งราชวงศ์ที่ 3 ซึ่งนับเป็นงานที่ใช้แรงงานและฝีมือมนุษย์จำนวนมากมาย พีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ พีระมิดของฟาโรห์คูฟูหรือคีออปส์ Khufu หรือ Cheops สูง 481 ฟุต ฐานกว้างด้านละ 75 ฟุต และมีมุม 50 องศา
ตามการคาดคะเนของนักโบราณคดี เชื่อว่าการสร้างพีระมิดนี้มีประมาณ 70,000 คน สร้างในช่วงฤดูน้ำหลาก คือช่าวงฤดูร้อนสร้างไปเรื่อย ๆ หินก้อนโตหนักประมาณ 2.5 ตัน และเป็นความมหัศจรรย์ที่ไม่มีเครื่องมือขุดเจาะและเครื่องมือผ่อนแรง มีแต่เชือก พื้นลาก และลูกรอกเท่านั้น ด้วยชาวอียิปต์เชื่อว่าฟาโรห์เป็นเทพเจ้าที่จุติบนโลกมนุษย์ เป็นเชื้อสายของเทพเจ้า ประชาชนต้องสนองให้ท่านพอใจเพื่อที่เขาจะรับความสุขในชีวิตนี้และชีวิตหน้าตามความเชื่อของศาสนาในสมัยโบราณ ความเชื่อในการนำไปสู่การทำมัมมี่ และการสร้างพีระมิดเพื่อเก็บรักษาพระศพไว้
ความสำคัญของพีระมิด มีผู้สันนิษฐานเหตุผลการสร้างพีระมิดดังนี้ คือ
1.เหตุผลทางการเมือง ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า หลุมฝังศพที่แข็งแรงของฟาโรห์ จะเป็นหลักประกันความเป็นอมตะของประชาชน เพราะชาวอียิปต์เปรียบฟาโรห์เป็นชีวิตของชาติ หลุมฝังศพยังเป็นสัญลักษณ์การบูชาดวงอาทิตย์ อีกทั้งยังเป็นการควบคุมประชาชนให้ใกล้ชิด และทำงานร่วมกัน
2.เหตุผลทางเศรษฐกิจ ฟาโรห์สร้างโอกาสการทำงานให้แก่ประชาชนของพระองค์ เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้น
3.เหตุผลทางศาสนา ในสมัยราชอาณาจักรเก่า การก่อสร้างพีระมิดเป็นความเชื่อของฟาโรห์และประชาชน เพื่อให้รัฐมีความมั่นคงและยั่งยืน
1.2วัด เนื่องจากในสมัยอาณาจักรกลางและสมัยจักรวรรดินิยม ความเชื่อดังกล่าวจึงเปลี่ยนไป เพราะความเชื่อในฟาโรห์และชาติให้ยั่งยืน ใช้ค่าใช้จ่ายและแรงงานมาก ฟาโรห์จึงหันมาสร้างวัดแทนพีระมิด วัดที่สำคัญ เช่น วัดที่เมืองคาร์นัด (Karnak) และวัดที่ลุกซอร์ (Luxor) ในสมัยจักรวรรดิ
แม้ว่าชาวอียิปต์จะนิยมสร้างวัดใหญ่โตและแข็งแรง แต่ไม่มีความสง่างาม ไม่ได้สัดส่วน เน้นแต่ความสมดุล ใหญ่โตและความแข็งแรง ศิลปะส่วนใหญ่เน้นประโยชน์ใช้สอยมากกว่าความงามแบบสุนทรีย์ มีรูปแบบเป็นแอบสแตรค (Abstrad) มากกว่าภาพเหมือนจริงหรือความเป็นจริงตามธรรมชาติ จุดมุ่งหมายที่แม้จริงในการก่อสร้างอาคารและวัตถุเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อ ในความภาคภูมิใจในชาติอียิปต์ ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ ความแข็งแรงและความยั่งยืนของรัฐ
ความคิดของชาวอียิปต์มีอิทธิพลต่อชาติต่าง ๆ ซึ่งนิยมสร้างอาคารและรูปปั้นใหญ่โต เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความภูมิใจในชัยชนะของพวกเขา
2.ประติมากรรม
งานประติมากรรมมีลักษณะแข็ง ตรง ใบหน้าวางเฉย ดวงตาฝังด้วยแก้ว จ้องไปข้างหน้า รูปร่างบอบบาง แต่มีรูปร่างสัดส่วนผิดธรรมชาติ เช่น ต้นขาสั้นไป ไหล่ทั้งสองข้างยกตั้งขึ้นมาก เช่น รูปแกะสลักฟาโรห์เมนเคอร์และพระมเหสี (Menkure and his Queen) เป็นต้น
ผลงานที่ไม่เป็นธรรมชาติที่เด่นชัดที่สุดคือ รูปสฟิงซ์ (Sphinx) รูปร่างเป็นสิงโต แต่ใบหน้าเป็นฟาโรห์ จุดมุ่งหมายของการสร้างสฟิงซ์ดูว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของฟาโรห์ผู้ทรงพลัง กล้าหาญ เข้มแข็ง และแข็งแรง
ประติมากรรมที่สวยงามอีกชั้น คือ พระเศียรของพระนางเนเฟอติตติ (Nefertiti) เป็นรูปแกะสลักครึ่ง องค์ ทรงมีลักษณะยิ้มน้อย ๆ แบบล้อเลียนที่สิงอยู่ ถือเป็นงานประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่ในศิลปะประวัติศาสตร์
คุณค่าประติมากรรมของอียิปต์ทำให้เราสมารถศึกษาชีวิต ความเป็นอยู่ และความนึกคิดของชาวอียิปต์ได้อย่างหนึ่ง
3.จิตรกรรม
เกิดขึ้นหลังจากสถาปัตยกรรมและประติมากรรม งานด้านนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนา ผลงานที่เด่นเกิดในสมัยฟาโรห์วิคนาตัน ซึ่งพระองคเปลี่ยนไปนับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน และเป็นงานที่เน้นความจริงมาก (Realism) ไม่เน้นความใหญ่โตเหมือนสมัยก่อน ๆ รูปภาพที่แสดงความใกล้เคียงธรรมชาติ เน้นการเคลื่นไหว และภาพส่วนใหญ่จะวาดประดับในพีระมิดและวัด ส่วนใหญ่จะเป็นสีน้ำ ซึ่งเป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ มีสีแดง สีเหลือง น้ำตาล และสีดำ โดยนำสีเหล่านี้มาผสมกับยางไม้ให้ติดแน่น ใช่พู่กันทำด้วยกิ่งปาล์ม วาดเป็นสีสองมิติ ภาพอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ถ้าสิ่งใดเกิดก่อนจะจัดไว้เหนือภาพที่เกิดทีหลัง
วรรณคดี
ชาวอียิปต์รู้จักถ่ายทอดภาษาพูดเป็นตัวอักษรประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นตัวอักษรภาพแสดงความหมาย ต่อมาใช้ภาพแทนเสียงของคำที่มีความหมาย และมี
ภาพบนซ้ายและขวาเป็นอักษรภาพ Hieroglyphies ส่วนภาพล่างซ้ายและขวาคือ อักษรหวัด Hieratic ซึ่งใช้เขียนจริงในชีวิตประจำวัน
การดัดแปลงรูปภาพแทนพยางค์ และนำมารวมกันเป็นคำในที่สุด ตัวอักษรภาพนี้ถ้าใช้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ ศาสนา เรียกว่า เฮียโรกลิฟฟิค Hieroglyphic แปลว่าอักษรอันศักสิทธิ์ ส่วนตัวอักษรหวัดที่ใช้ทั่วไป เรียกว่า เฮียราติก Hieratic ซึ่งดัดแปลงมาจากตัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิค นอกจากนี้ชาวอียิปต์ยังรู้จักการทำกระดาษและหมึก การรู้จักการทำกระดาษปาปิรุสทำให้ชาวอียิปต์เผยแพร่วรรณกรรมได้ง่ายขึ้น เพราะกระดาษปาปิรุสม้วนเก็บได้ง่าย ไม่เปลืองเนื้อที่เหมือนการสลักบนแผ่นศิลา บนแผ่นดินเผา แม้ทนทานแต่กรรมวิธียุ่งยากและลงทุนลงแรง มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ชาวอียิปต์ยังมีการแกะสลักตัวอักษาของตนลงบนแผ่นศิลาเช่นเดียวกับชาติอื่น ๆ
ภาพซ้ายเป็นภาพวาดบนกระดาษปาปิรุส
ภาพขวาเป็นภาพต้นปาปิรุส
ความสำเร็จในทางศิลปะของอียิปต์โบราณที่มีต่อโลกมาจนถึงปัจจุบัน มี 2 ด้าน ดังนี้
1.สติปัญญาและศิลปะ ตวามรู้และความสามารถของชาวอียิปต์ที่มีอิทธิพลต่ออารยธรรมตะวันตกและอารยธรรมโลกอย่างมาก ที่สำคัญคือ ปรัชญา วรรณคดี นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีเกี่ยวกับการพิจารณาคดี ทฤษฎีการเมือง เป็นต้น
2.ศาสนาและศีลธรรม ถ้าไม่นับชาวเปอร์เชียแล้ว นับว่าชาวอียิปต์เป็นชาติโบราณที่ได้สร้างศาสนสถานประตำชาติขึ้นภายใต้ทฤษฎีของความเป็นอมตะในชีวิต นับถือพระเจ้าองค์เดียว มีการให้อภัยแก่บาป มีการให้รางวัล และทำโทษภายหลังการตายแล้ว ที่สำคัญคือ ทฤษฎีเกี่ยวกับศีลธรรม มีอิทธิพลต่อศาสนาอื่น ๆ ทั้งในด้านศีลธรรมส่วนบุคคลและสังคม เหล่านี้ล้วนเป็นศาสนาและศีลธรรมของชาวอียิปต์ที่มราอิทธิพลต่อชาวโลก
สรุปได้ว่า ในการที่ชาวอียิปต์โบราณนั้น ชาวอียิปต์เป็นคนที่มีความคิดที่ลึกซึ้ง เป็นคนที่มีความคิดทะลุปุโรง นึกคิดถึงภายหลัง และจะมีความสำคัญต่อโลกในปัจจุบัน อย่างมาก รู้จักคิด วิเคราะห์และมีความเชื่อในส่วนตัวในการนับถือพระเจ้าของเขาถึงแม้จะเป็นความเชื่อที่คนในปัจจุบันไม่ค่อยเชื่อแต่คนในสมัยนั้นเชื่อเพราะมีอิทธิพลต่อตัวเขามาก ชาวอียิปต์ยังมีสถาปัตยกรรมที่สำคัญ เช่น พีระมิด ที่เกิดขึ้นรวมถึงอีก 6 สิ่งมหัศจรรย์ที่ติดอันดับของโลก ที่เป็นสิ่งที่ค้นพบจากการใช้ฝีมือมนุษย์ในการสร้างที่ไม่มีการใช้เครื่องทุนแรง หรือเครื่องจักรใด ๆ เลย และยังมีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับศาสนาในการนับถือความเชื่อในสมัยก่อนของไทยเรา เช่น ภูตผีปีศาจ หรือไม่ว่าจะเป็น เทวดา นางไม้ เจ้าป่าเจ้าเขา พระแม่ธรณี พระแม่คงคา เป็นต้น และยังมีอิทธิพลต่อพระพุทธศาสนาของเราด้วย เช่น การห้ามพูดเท็จ ห้ามการลักขโมย ห้ามฆ่าสัตว์ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี ถ้าผู้อ่านได้เรียนรู้และศึกษา ในการศึกษานี้ยังแฝงไปถึงความรู้ และข้อคิดที่ดี และผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ผู้อ่านนำสิ่งต่าง ๆ ในด้านที่ดี ไปเป็นความรู้ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตของท่านให้ประสบสู่ความสำเร็จได้
ที่มา 1.หนังสืออารยธรรมตะวันออกและตะวันตกผู้แต่ง วีณา ศรีธัญรัตน์และ2.อารยธรรมโลกสมัยโบราณ-สมัยกลางโดย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรองศาสตราจารย์ ดร. ประพิณ มโนมัยวิบูลย์
คณะบดีคณะอักษรศาสตร์
สร้างโดย:
นาย เฉลิมวิทย์ ศรีสุวรรณ ชั้นมํธยมศึกษาปีที่6/4 โรงเรียน ศีลาจารพิพัฒน์
แหล่งอ้างอิง:
1.หนังสืออารยธรรมตะวันออกและตะวันตกและ2.อารยธรรมโลกสมัยโบราณ-สมัยกลาง
ตรวจแล้ว