สุภาษิตไทย
ห้ามลบ ขอให้เจ้าของผลงานประกวด แก้ไขข้อมูลได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 23.30 น.
หากเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ท่านเข้ามาแก้ไขข้อมูล ถือว่าโมฆะในการพิจารณาได้รับรางวัล
ซึ่งระบบของ Thaigoodview สามารถตรวจสอบได้ว่า ผลงานแต่ละชิ้น มีการแก้ไขเวลาใดบ้าง
ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
สุภาษิตไทย
สุภาษิต คือ คำพูดที่พูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นทำนองสำนวนโวหาร หรือคำพังเพย แต่มีเนื้อความหรือความหมายที่ดี เป็นคำตักเตือนสั่งสอน และสะกิดใจให้ระลึกถึงอยู่เสมอ มีอยู่ 2 ประเภท คือ
1. คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือเข้าใจเนื้อความได้ทันที โดยไม่ต้องแปลความหมาย ตีความหมายเช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
2. คำสุภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรือฟังแล้วยังไม่เข้าใจเนื้อความนั้นในทันที ต้องนึกตรึกตรอง ต้องแปลความ ตีความหมายเสียก่อนจึงจะทราบเนื้อแท้ของคำเหล่านั้น เช่น ผีบ้านไม่ดีผีป่าก็พลอย
ตัวอย่างคำสุภาษิตไทย
กินน้ำใต้ศอก : หมายไปในทางที่ว่าถึงจะได้อะไรสักอย่างก็ไม่เทียมหน้าหรือไม่เสมอหน้าเขา เช่นหญิงที่ได้สามี แต่ต้องตกไปอยู่ในตำแหน่งเมียน้อย ก็เรียกว่า "กินน้ำใต้ศอกเขา" ที่มาของสำนวนนี้ คนในสมัยก่อนอธิบายว่า คนหนึ่งเอาสองมือกอบน้ำมากิน มากิน อีกคนหนึ่งรอหิวไม่ไหวเลยเอาปากเข้าไปรองน้ำที่ไหลลงมาข้อศอก ของคนกอบน้ำกินนั้นเพราะรอหิวไม่ทันใจ
กว่าถั่วจะสุก งาก็ไหม้ : สำนวนพังเพยนี้ มาจากการคั่วถั่วกับงาในกระทะเดียวกัน ถั่วเป็นของสุกช้างาสุกเร็วมัวรอไห้ถั่วสุก งาก็ไหม้เสียก่อน สำนวนนี้หมายถึงการทำอะไรสองอย่างพร้อมกันหรือทำอะไรสักอย่างที่ไม่รอบคอบ มัวคิดแต่จะได้ทางหนึ่งต้องเสียทางหนึ่งในความหมายอีกแง่ก็แปลว่าการทำอะไรมัวรีรออยู่ ไม่รีบลงมือทำเสียแต่แรกครั้นพอลงมือจะทำ ก็ไม่ทันการเสียแล้วเพราะคนอื่นเขาเอาไปทำเสียก่อน
ขี่ช้างจับตั๊กแตน : หมายความว่า ลงทุนเสียมากมายเพื่อทำงานเล็ก ๆ เท่านั้น เป็นทำนองว่าผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ้มกับที่ลงทุน หรือทำให้เป็นการใหญ่โตเลย หรือแปลความหมายสั้น ๆ "ทำงานใหญ่เกินตัว"
เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า : สำนวนนี้ เวลาพูดมักจะใช้คำตรง ๆ ว่า "เขียนด้วยมือลบด้วยตีน" เป็นความเปรียบเปรยถึง คนที่แต่แรกทำความดีจนเป็นที่เชื่อถือไว้แล้ว แต่ภายหลัง กลับทำความชั่วลบล้างความดีของตนเสียง่าย ๆ หรือเปรียบอีกทางหนึ่งถึงคนที่ออกคำสั่ง หรือให้สัญญาไว้แต่แรกอย่างหนึ่ง แล้วปุบปับกลับเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือสัญญานั้นเสีย ให้อยู่ในลักษณะตรงข้ามโดยไม่มีเหตุผล
คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย : สำนวนนี้เป็นที่เข้าใจกันว่า เมื่อเวลาไปไหนคนเดียวไม่ปลอดภัยนัก อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เรียกว่า "หัวหาย" ถ้าไปด้วยกันสองคน ก็อาจจะช่วยขจัดเหตุร้ายหรือเป็นเพื่อนอุ่นใจได้ดีกว่าไปคนเดียว.
คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล : สำนวนนี้ มีความหมายหรือคำบรรยายอยู่ในตัวแล้ว คือคบคนชั่ว คนชั่วก็ชักพาเราให้พลอยไปทำชั่วด้วย ถ้าคบคนดีมีความรู้ ก็ทำให้เราได้รับผลดีหรือได้รับความรู้ดีตามไปด้วย
ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก : สำนวนนี้หมายถึง การที่จะทำงานใหญ่ ๆ เพื่อประโยชน์ที่จะได้รับจำนวนมาก ๆ แล้ว ก็อย่าเสียดายเงินทองหรือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องเสียที่เดียวนัก เปรียบเหมือนฆ่าควายทั้งตัวเพื่อจะปรุงอาหารมาก ๆ ก็อย่าเสียดายพริกที่จะต้องใช้แกงหรือผัด มิฉะนั้นอาหารจะเสียรสเพราะเนื้อควายกับพริกแกงไม่ได้สัดส่วนกัน.
ฆ่าช้างเอางา : หมายความว่า ลงทุนลงแรงเพื่อทำลายของหรือสิ่งสำคัญใหญ่ ๆ โต ๆ เพียงเพื่อต้องการจะได้ของสำคัญชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่สมกับค่าของ ๆ ที่ถูกทำลายลงไป เช่นทำลายชีวิตคน เพื่อต้องการทรัพย์สิน หรือของมีค่าเล็กน้อยของคนผู้นั้นมาเป็นประโยชน์ของตน โดยไม่คิดว่าชีวิตของผู้นั้นมีค่ากว่าทรัพย์สินก้อนนั้น หรือเป็นการไม่สมควรเพราะผิดกฎหมายร้ายแรง เช่นนี้ก็เรียกว่า "ฆ่าช้างเอางา" ได้เช่นเดียวกัน
งมเข็มในมหาสมุทร : สำนวนนี้เปรียบเทียบ มหาสมุทรซึ่งเป็นสถานที่กว้างใหญ่ลึกลับ เมื่อเข็มเย็บผ้าเพียงเล่มเดียวที่ตกลงไปยังก้นมหาสมุทร จึงย่อมค้นหาไม่ใช่ของง่ายนัก หรือไม่อาจจะค้นหาได้ เปรียบได้กับการที่เราจะค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่งที่อยู่ในวงกว้าง ๆ ไม่มีขอบเขต ย่อมสุดวิสัยที่เราจะค้นหาได้ง่าย.
งูเห็นนมไก่ ไก่เห็นตีนงู : คำพังเพยสำนวนนี้ จะพูดสลับกัน คือเอาประโยคหลังขึ้นก่อนก็ได้ว่า "ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" เพราะความหมายสัมพันธ์กัน ซึ่งตามธรรมชาติแล้วเราจะไม่เคยได้เห็น "ตีนงู" หรือ "นมไก่" เลย เพราะงูไม่มีตีนและไก่ก็ไม่มีนม ความหมายของสำนวนจึงแปลว่า คนสองคนต่างคนต่างเห็นหรือรู้เรื่องเดิมหรือรู้ความในกันดี แต่คนอื่นอาจไม่เห็น หรือไม่รู้เรื่องของคนสองคนนี้เลย เช่น คนสองคนทำตนเป็นคนมั่งมีหรือมีความรู้สูงเพื่ออวดคนอื่น ๆ แต่ทั้งสองคนนี้ต่างรู้ไส้กันดีว่าแท้จริงแล้วต่างคนต่างไม่มีเงิน หรือไม่มีความรู้เลยเมื่อมาพบกันเข้าจึงเท่ากับว่า "ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่"
จุดไต้ตำตอ : สำนวนนี้ หมายถึงการพูดกล่าวขวัญหรือทำอะไรสักอย่าง โดยผู้พูดหรือผู้ทำไม่รู้จักคนผู้นั้นครั้นพอรู้ความจริง ผู้พูดหรือผู้ทำกลายเป็นคน "ห้าแต้ม" ไปเลย ถ้าเป็นการพูดกล่าวขวัญในทางร้ายหรือนินทาด่าคนผู้นั้นเข้า ดีไม่ดีก็ต้องเคราะห์ร้ายเปรียบเหมือนจุดไต้ไปตำเข้ากับตอถึงไฟดับ สำนวนนี้เข้าใจว่า มาจากการจุดไต้ให้ไฟสว่างของคนสมัยโบราณ ซึ่งใช้เป็นไฟฉายส่องทาง แล้วเอาไต้ไฟไปชนเข้ากับต่อถึงดับ
โจรปล้น ๑๐ ครั้งไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว : สำนวนนี้มีความหมายอธิบายอยู่ในตัวแล้ว ถึงแม้คนเราจะถูกโจรขึ้นปล้นบ้านสัก ๑๐ ครั้งหรือมากกว่านั้น ก็ยังไม่ทำให้ข้าวของ หรือทรัพย์สินบางอย่างภายในบ้านเราถึงขนาดหมดเกลี้ยงตัวเลยทีเดียวนัก แต่ไฟไหม้ครั้งเดียว เผาผลาญทั้งทรัพย์สิน และที่อยู่เราวอดวายเป็นจุลไปหมด โบราณจึงว่า "โจรหรือขโมยขึ้นบ้านสัก ๑๐ ครั้งไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว"
ช้า ๆ ได้พร่าเล่มงาม : สำนวนพังเพยนี้ หมายถึง การทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ถ้ามุ่งจะให้ได้ประโยชน์สมบูรณ์ก็ต้องทำด้วยความรอบคอบ หรือไม่รีบร้อนจนเกินไปนัก หรือไม่หมายความว่าจะทำให้งาน "ล่าช้า" จนเกินไป แต่มีความหมายว่า ให้ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ทำ สำนวนนี้ คนในสมัยปัจจุบันยังข้องใจอยู่ว่าจะขัดกับสำนวนพังเพยที่ว่า "น้ำขึ้นให้รีบตัก" ซึ่งแปลว่าให้รีบฉกฉวยโอกาส ตรงกันข้ามกับสำนวนนี้ที่ว่า "ได้พร้าเล่มงาม" แต่แท้จริงแล้ว เป็นคำพังเพยที่เตือนให้เราเลือกปฏิบัติให้เหมาะสมต่างหาก จะช้าหรือรีบร้อนจึงต้องแล้วแต่โอกาส
ชักใบให้เรือเสีย : หมายถึง การพูดหรือทำอะไรให้เป็นที่ขวาง ๆ หรือทำให้เรื่องในวงสนทนาต้องเขวออกนอหเรื่องไป โดยไม่คิดว่าเรื่องที่เขากำลังพูดหรือทำอยู่นั้นจะมีความสำคัญขนาดไหน
ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ : สำนวนทำนองนี้ มีอยู่ด้วยกันหลายประโยค และมีความหมายไปในทำนองเดียวกัน เช่น "ดูวัวให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่" "ดูข้างให้ดูหน้าหนาว ดูสาวให้ดูหน้าร้อน" ดังที่ได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่สำนวนที่ว่า "ดูช้างให้ดูหาง" นี้ มุ่งให้ดูหางช้าง ที่บอกลักษณะว่าเป็นช้างดีหรือช้างเผือก เพราะที่ปลายหางของมันยังเหลือให้เห็นสีขาวอยู่ตามเรื่องที่เล่าว่า เวลาช้างพังตกลูกเป็นช้างเผือกสีประหลาด พวกช้างพลายและช้างพังจะช่วยกัน "ย้อม" กลายลูกมันเสีย ด้วยการใช้ใบไม้หรือขี้โคนดำ ๆ พ่นทับ เพื่อมิให้คนรู้ว่าเป็นช้างเผือกแล้วมาจับไป หรืออย่างไรไม่แน่ชัด แต่การย้อมลูกของมันด้วยสีเผือกให้เป็นสีนิลนั้น ก็ยังเหลือร่องรอยอยู่อย่างหนึ่ง คือที่ปลายหางเป็นสีขาว เหตุนี้เขาจึงให้สังเกตลักษณะของช้างเผือกที่ตรงหางไว้เป็นหลักสำคัญ
เดินตามหลังราชสีห์ ดีกว่าเดินตามก้นสุนัข : ไม่ทราบที่มาของสำนวนนี้แน่ชัดนัก แต่เข้าใจว่า เป็นสำนวนที่เพิ่งเกิดขึ้นในยุคปัจจุบันนี้ หรือไม่มีนานมานี้นัก จำได้ว่าอดีตนักศิลปินผู้หนึ่งซึ่งล่วงลับไปแล้ว คือคุณเสน่ห์ โกมรชุนนำมาใช้เป็นมติของเขาครั้งหนึ่ง สมันที่ร่วมวงกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งเรืองอำนาจในสมัยนั้น โดยถือคติยอมเป็นสมัคพรรคพวกของผู้มีอำนาจราชศักดิ์ดีกว่ายอมร่วมวงกับผู้ที่ปราศจากอำนาจราชศักดิ์หรือทรัพย์สิน
ตกกระไดพลอยโจน : สำนวนนี้ทางหนึ่งหมายถึง ว่ากันว่าการทำอะไรที่บังเอิญเกิดผิดพลาดขึ้น โดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง หรือทำไปได้ครึ่งแล้ว ก็จำต้องทำมันต่อไปให้เสร็จสิ้นเสียเลยเรียกว่า "พลอยโจน" อีกทางหนึ่ง คงจะหมายถึงการพลอยผสมโรงหรือพลอยตามไปด้วยกับเขา ทำนองเดียวกับที่ว่า เห็นคนอื่นตกกระได ตนเองก็เลยพลอยโจนตามโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง แต่อีกทางหนึ่ง อาจหมายความได้ว่าการกระทำอะไรบังเอิญผิดพลาด คือ "ตกกระได" ก็เลยใช้วิธีกระโจนลงไปเสีย เพื่อไปตั้งหลักเอาใหม่ดีกว่าปล่อยให้ตกกลิ้งลงไป
ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ : สำนวนนี้ โบราณมักใช้พูดกันมาก หมายถึงการกระทำอะไรสักอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือได้สมดุลกัน หรือใช้จ่ายทรัพย์ลงทุนไปในทางที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เช่นลงทุนเล็กน้อยเพื่อทำงานใหญ่ซึ่งต้องใช้เงินมาก ๆ ย่อมไม่อาจสำเร็จได้ง่าย ต้องสูญทุนไปเปล่า ๆ เปรียบเหมือนตำน้ำพริกเพียงครกเดียว เอาไปละลายในแม่น้ำกว้างใหญ่ เมื่อละลายไปก็จะสูญหายไปหมดสิ้นไปทำให้แม่น้ำเกิดอะไรผิดปกติขึ้น เสียน้ำพริกไปเปล่า ๆ
ถ่มน้ำลายรดฟ้า : สำนวนนี้ใช้เป็นความหมายถึง คนที่คิดร้ายหรือดูหมิ่นบุคคลที่สูงกว่า คำว่า "ถ่มน้ำลาย" เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปเกือบทุกชาติแล้วว่า คือการแสดงกิริยาดูถูกดูหมิ่น และมักใช้เป็นกิริยาแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นได้ชัด เรียก "ถ่ม" หรือ "ถุ่ย" แตกต่างกับลักษณะของการ "บ้วนน้ำลาย" เมื่อพูดว่า "ถ่มน้ำลายลดฟ้า" ก็หมายถึง ดูเหมือนบุคคลที่สูงกว่า การถ่มน้ำลายขึ้นไปที่สูงคือฟ้าน้ำลายนั้นก็ย่อมจะตกลงมาถูกหน้าตาของตนเองความหมายจึงอยู่ที่ว่า การดูหมิ่น หรือคิดร้ายต่อบุคคลที่สูงกว่าหรือที่เคารพทั่วไป มักจะกลับเป็นผลร้ายหรืออภัยแก่ตนเองได้
ถ่านไฟเก่า : สำนวนนี้ มีความหมายโดยเฉพาะสำหรับชายหญิงที่เคยเป็นคู่รักหรือเคยมีสัมพันธ์กันมาก่อนแล้วเลิกร้างกันไป หรือห่างไประยะหนึ่ง เมื่อกลับมาพบกันใหม่ ก็ทำท่าจะตกลงปลงใจ คืนดีกันได้ง่าย เปรียบเหมือนถ่านไฟที่เคยติดแล้วมอดอยู่หรือถ่านดับไปแล้ว แต่พอได้เชื้อไฟใหม่ก็คุติดไฟลุกขึ้นมาได้เร็วกว่าถ่านที่ยังไม่เคยได้เชื้อไฟหลายเท่า
ทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป : สำนวนนี้ หมายความว่า การทำคุณหรือการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเจตนาดี แต่กลับกลายเป็นได้รับโทษตอบแทนหรือเข้าทำนองที่ว่า ยุ่งไม่เข้าเรื่องอะไรทำนองนั้นสำนวนนี้นิยมใช้ประโยคแรกประโยคเดียวพูดก็เป็นที่เข้าใจกัน
เทศน์ตามเนื้อผ้า : แปลว่า จะพูดหรือสั่งสอนใครก็พูดเรื่อยไปตามตำราหรือแบบแผน ไม่มีการดัดแปลงให้เข้ากับคนฟังหรือให้เหมาะสมกับกาลเทศะจึงย่อมจะมีผู้ฟังบางคนไม่เข้าใจก็ได้
น้ำขึ้นให้รีบตัก : เป็นสำนวนสุภาษิตที่หมายถึงว่า เมื่อมีโอกาสหรือได้จังหวะ ในการทำมาหากินหรือช่องทางที่จะทำให้ได้ผลประโยชน์แก่ตนแล้ว ก็ควรจะรีบคว้าหรือรีบฉวยโอกาสอันดีนี้เสีย อย่าปล่อยโอกาสหรือจังหวะเวลาให้ผ่านพ้นไปอย่างน่าเสียดาย สำนวนนี้เอาไปเปรียบกับอีกสำนวนที่ว่า "ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม" แล้ว หากคุณไม่เข้าใจความหมายก็อาจจะทำให้พะวักพะวงใจอยู่บ้าง เพราะไม่รู้ว่าจะเชื่อสำนวนไหนดี อย่างไรก็ควรดูคำแปลความหมายของอีกสำนวนนั้นเสียก่อน
น้ำนิ่งไหลลึก : เป็นสำนวนที่หมายถึง คนที่ดูภายนอกสงบเสงี่ยมหรือเป็นคนหงิม ๆ ไม่ค่อยพูดจา แต่มักจะเป็นคนมีความคิดฉลาด หรือทำอะไรได้แคล่วคล่องว่องไว เปรียบเหมือนน้ำที่ดูตอนผิวหนังที่สงบนิ่ง แต่ลึกลงไปข้างใต้นั้นกลับไหลแรง
เบี้ยล่าง เบี้ยบน : สำนวนนี้เปรียบเทียบเอาว่า "เบี้ยบน" คือฝ่ายที่กำชัยชนะ หรือมีอำนาจอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเปรียบเหมือน "เบี้ยล่าง" เรียกว่า เบี้ยบนเป็นต่อกว่าเบี้ยล่าง หรือเบี้ยล่างเป็นรองเบี้ยบน สำนวนนี้มาจากการเล่นหรือการพนันทั่วไป
บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น : หมายความว่า จะทำอะไรก็ค่อย ๆ พูดจากัน อย่าให้มีเรื่องมีราวเดือดร้อนเกิดขึ้นกีบอีกฝ่ายหนึ่ง
ปลาหมอตายเพราะปาก : หมาถึงคนที่ชอบพูดพล่อย ๆ รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือพูดแสดงความอวดดี จนตัวเองต้องรับเคราะห์ก็เพราะปากของตนเอง สำนวนนี้มาจากปลาหมอที่อยู่ในลำน้ำ มักชอบผุดขึ้นฮุบเหยื่อหรือน้ำบ่อย ๆ จนเป็นที่สังเกตของนักจับปลาได้ว่า ปลาหมออยู่ตรงไหน ก็เอาเบ็ดล่อลงไปรงนั้นไม่ค่อยพลาด จึงเรียกว่า ปลาหมอตายเพราะปาก
ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน : สำนวนนี้มีความหมายอย่างเดียวกันทั้งสองประโยค เป็นสุภาษิตพังเพยที่สอนว่า การทำอะไรก็ตามแต่จะต้องตามใจผู้ที่จะได้รับโดยตรง เช่น พ่อแม่ที่คิดจะหาสามีให้บุตรสาวของตนเอง ก็ควรจะเลือกผู้ชายที่บุตรสาวของตนเอง ก็ควรจะเลือกผู้ชายที่บุตรสาวของตนมีใจสมัคอยู่ด้วย จึงจะชอบ
ผงเข้าตาตนเอง : โดยหลักธรรมดาที่ว่า ผงเข้าตาผู้อื่นเขาวานให้เราเขี่ยผงออก เราย่อมจะทำได้ แต่ถึงคราวที่ผงเข้าตาเราเองเข้าบ้าง เราย่อมไม่มีปัญญาเขี่ยออกได้แน่ ก็ต้องวานคนอื่นเขาเขี่ยบ้างเปรียบได้ว่า ปัญหาของคนอื่นเราแก้ให้เขาได้แต่ถึงคราวเราเกิดมีปัญหาลับคับอกขึ้นมาบ้าง เราเองกลับแก้ไม่ตก
แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา : หมายความว่า แผ่นดินนี้ไม่ใช่จะมีแต่ผู้หญิงหรือผู้ชายคนเดียวเท่านั้นเป็นเชิงสอนมิให้คนเราคิดลุ่มหลงรักใคร่จนเกินไปนัก
ฝากเนื้อไว้กับเสือ : แปลว่า ไว้เนื้อเชื่อใจโดยฝากสิ่งใดไว้กับผู้ที่ชอบสิ่งนั้น สิ่งนั้นก็ย่อมจะสูญได้เช่นฝากสาวงามไว้กับผู้ชายเจ้าชู้ เจ้าชู้ผู้นั้นหรือจะอดได้
ฝนตกอย่าเชื่อดาว มีเมียสาวอย่าไว้ใจแม่ยาย : เป็นสำนวนสุภาษิตที่สอนให้ว่า อย่าไว้ใจอะไรที่เดียวจนเกินไปนัก เปรียบกับที่ว่า เห็นดาวอยู่เต็มท้องฟ้า ไม่มีท่าว่าฝนจะตกลงมาเลย แต่ฝนก็อาจจะตกลงมาได้ ส่วนที่ว่า "มีเมียสาวอย่าไว้ใจแม่ยาย" นั้นคงเข้าทำนองที่ว่า แม่ยายที่มีลูกสาวสวยนั้นก็อย่าเพิ่งไปไว้ใจว่า แม่ยายจะไม่คิดพรากลูกสาว หรือเมียสาวของเราไปให้กลับผู้ชายที่มีฐานะดีกว่า เพราะอาจมีแม่ยายบางคนที่เห็นแก่เงินก็ได้
พิมเสนแลกกับเกลือ : หมายความว่า ยอมลดตัวเองไปทำในสิ่งที่ต่ำกว่า หรือไม่คู่ควรกัน ความหมายของ "พิมเสน" ย่อมมีราคากว่า "เกลือ" การทำตนเองให้มีราคาตัวของตนตกต่ำลงไปก็เท่ากับว่า เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ
แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร : สำนวนนี้ มาจากธรรมเทศนาที่สอนให้คนเรารู้จักอดกลั้นใจ หรือระงับยับยั้งความโกรธในการที่คิดจะสู้กับฝ่ายศัตรู มิให้เป็นเรื่องราวลุกลามใหญ่โตเกิดขึ้น โดยที่ฝ่ายรู้จักคิดอดกลั้นไม่ต่อกรด้วย ถึงจะเป็นผู้แพ้ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้ประเสริฐกว่าผู้ที่คิดจะทำร้ายเขาเพื่อเอาชนะ
ฟังหูไว้หู : หมายถึง การรับฟังคำพูดหรือเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ แต่เพียงรับฟังเท่านั้น อย่าเพิ่งเชื่อไปเสียหมดแปลตามสำนวนก็ว่า ฟังด้วยหูข้างเดียว อีกหูปิดไว้อย่าฟัง หรืออย่าเปิดทั้งสองหูฟังหมด
ฟังไม่ได้ศัพท์ จับเอามากระเดียด : ได้ยินหรือได้ฟังมาไม่ถนัดชัดเจน ก็นำเอามาพูดบอกผิด ๆ ถูก ๆ หรือมาใช้ผิด ๆ พลาด ๆ
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ : เป็นสำนวนที่หมายถึง คนที่ไม่ช่วยเขาทำงานแล้ว ยังไปทำตัวให้เป็นที่กีดขวางเกะกะแก่งานของเขาอีกด้วย เพราะเมื่อเอาเท้าหรือตีนไปราน้ำเวลานั่งเรือที่เขาพายอยู่ด้วยนั้น ก็ย่อมจะทำให้เท้าไปต้านน้ำไว้ ทำให้เรือแล่นช้าลงอีก
ไม่รู้จักเสือ เอาเรือเข้ามาจอด ไม่รู้จักมอดเอาไม้เข้ามาแหย่ : ทั้งสองสำนวนนี้ แปลว่า การทำอะไรที่แสดงความเซ่อเขลาของตนโดยไม่พิจารณาเสียก่อนมักมุ่งหมายไปในทำนองที่ว่า ไปต่อสู้หรือแข่งขันกับคนที่เขาชำนาญกว่าหรือเก่งกว่า โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร เช่นหลงไปเล่นการพนันกับนักพนันที่เก่งและชำนาญเข้าโดยไม่รู้จัก เปรียบได้กับเอาเรือเข้าไปจอดในป่าที่มีเสือดุ ๆ หรือเอาไม้เข้าไปแหย่ให้มอดกัดกินเล่นสบาย
ย้อมแมวขาย : หมายความว่า เอาของไม่ดีมาตบแต่งเสียใหม่ แล้วเอามาหลอกลวงว่าของดี มูลของสำนวนคงมาจากการนิยมเลี้ยงแมวของคนไทยในสมัยก่อนที่มักตกแต่งแมวเลี้ยงของตนเอง ด้วยสีของขมิ้นบ้าง ปูนบ้าง ทำให้เป็นสีต่าง ๆ ก็ได้
ยื่นแก้วให้วานร : หมายถึง เอาของมีค่าหรือของดีไปให้กับคนที่ไม่รู้จักค่าของของนั้น ทำให้เปล่าประโยชน์ความหมายอย่างเดียวกับ "ไก่กับพลอย"
รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี : ถ้ารักวัวก็ให้ผูกล่ามขังไว้ มิฉะนั้นวัวจะถูกลักพาหรือหนีหายไปส่วนรักลูกให้เฆี่ยน ก็หมายถึงให้อบรมสั่งสอนลูกและทำโทษลูกเมื่อผิด
รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ : สำนวนนี้ เป็นสำนวนปริศนาที่ตีความยาก แต่ก็พอมีเค้าให้เข้าใจได้ว่า การทำอะไรก็ตามแต่ ควรทำให้พอดี อย่าให้มากเกินไป ถ้าเห็นว่าจะเกินไปทำให้เป็นที่กระทบกระเทือนต่อผู้อื่น ก็ระงับยับยั้งไปเสียหรือจะทำอะไรที่เรียกว่าง่าย ๆ สั้น ๆ เกินไปก็อย่าด่วนทำควรค่อยคิดค่อยทำต่อไปให้เหมาะสม
เล่นกับหมาหมาเลียปาก เล่นกับสากสากต่อยหัว : สำนวนต่อเนื่องกันทั้งสองประโยคนี้ มีความหมายว่าการลดตัวเองลงไปเล่นหัวคลุกคลีกับคนที่ต่ำกว่าหรือเด็กที่มีอายุน้อยกว่ามาก คนผู้นั้นหรือเด็กนั้นก็อาจจะเลียตีเสมอลามปามเข้าให้ สำนวนที่ว่า "เล่นกับหมาหมาเลียปาก " นั้นมีประสบการณ์ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ เพราะธรรมชาติของหมาเป็นเช่นนั้น
เลี้ยงช้างกินขี้ช้าง : หมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่อะไรก็ตามแต่แล้วพลอยได้มีส่วนผลประโยชน์จากหน้าที่ ที่ตนทำอยู่นั้น โดยไม่บริสุทธิ์นัก หรือไปในทำนองที่ไม่ชอบธรรม สำนวนนี้มาจากสมัยโบราณ ซึ่งคงจะเป็นที่พบเห็นกันว่า คนเลี้ยงช้างของหลวงในสมัยนั้น คงมีผลประโยชน์พลอยได้จากค่าเลี้ยงดูช้างอยู่บ้างก็ได้ แต่คงไม่มากนัก
วัวสันหลังขาด : สำนวนนี้ ยังมีต่อสร้อยด้วยว่า "วัวสันหลังขาด เห็นกาบินผาดก็ตกใจ" มีความหมายถึงคนที่มีอะไรพิรุธหรือมีการกระทำไปแล้ว ในทำนองไม่สู่ดี มักมีอาการคอยหวาดระแวงอยู่เสมอ กลัวว่าจะมีคนรู้เห็นหรือมารื้อฟื้นกล่าวโทษขึ้น สำนวนนี้บางทีก็พูดว่า "วัวสันหลังหวะ" ซึ่งแปลตามสำนวนก็ว่า วัวสันหลังเป็นแผลหวะ หรือมีบาดแผลที่หลัง กาจะบินมาจิกแผลตนเอง
วัวหายล้อมคอก : หมายความว่า เมื่อเกิดเรื่องเกิดราวถึงขั้นเสียหายขึ้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาคิดแก้ภายหลัง หรือไม่คิดหาทางป้องกันไว้แต่แรก ได้คิดก็ต่อเมื่อเกิดการเสียหายขึ้นแล้ว
สอนจระเข้ว่ายน้ำ : หมายถึงการชี้ทางหรือสอนให้คนที่เป็นอยู่แล้วให้เก่งหรือชำนาญขึ้นไปอีก แต่มักมุ่งหมายโดยเฉพาะถึงการสอน หรือแนะนำคนชั่วประพฤติไม่ดีส่วนมาก
สิบคนเข้าไม่เท่าคนหนึ่งออก : สำนวนนี้ หมายถึงคนในครอบครัวเรากับคนภายนอกบ้าน คือคนที่อยู่กับเราภายในบ้านนั้นย่อมมีความสัมพันธ์และคุ้นเคยรู้อกรู้ใจกันมากับเราเป็นอย่างดี หรือเปรียบได้กับคนที่ทำงาน อยู่ในบังคับบัญชาของเรามานาน ๆ ย่อมจะมีความชำนาญในหน้าที่ต่าง ๆ เป็นอย่างดีเมื่อมีคนต้องออกไปแล้ว คนจะหาคนมาอยู่ใหม่ แทนกี่สิบคนก็คงสู้คนเก่าที่ออกไปไม่ได้
หมากัดอย่ากัดหมา : หมายความว่า คนชั่ว คนชั้นต่ำ หรือพวกอันธพาลคิดร้ายหรือประทุษร้ายเราอย่างใดอย่าทำตอบ แต่ควรหลีกเลี่ยงไปเสีย
หมาเห่าใบตองแห้ง : หมายถึง คนที่ชอบเอะอะโวยวายเป็นที่อวดตัวว่า ตนเก่งกล้า แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญกับศัตรู เปรียบได้กับใบตองแห้งที่ติดกับต้นกล้วย เวลาลมพัดมามีเสียงดังแกรกกรากหมาได้ยินเข้าหน่อยก็มักจะเห่าส่งเดช
อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น : สำนวนนี้มีความหมายอธิบายอยู่แล้ว คือเมื่ออาศัยอยู่บ้านใคร ก็อย่าอยู่เปล่า ควรช่วยทำงานทำการให้เป็นประโยชน์ต่อเขาบ้าง เพียงแค่เอาดินมาปั้นเป็นตุ๊กตาให้เด็ก ๆ ลูกหลานในบ้านท่านเล่นก็ยังดี แต่ประโยคนี้ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นว่า เพียงแต่ช่วยดูแลเด็กเล็กในบ้านให้แก่ท่านผู้นั้นก็ถือว่าเป็นประโยชน์ดีกว่าอยู่เปล่าๆ
เอาจมูกคนอื่นมาหายใจ : สำนวนนี้ บางทีก็ว่า "ยืมจมูกคนอื่นเขามาหายใจ" มีความหมายไปในทำนองที่ว่า อาศัยความคิดหรือแรงของคนอื่นมาทำงานให้ตน โดยไม่คิดว่าจะได้รับผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่ากับที่ตนเองทำหรือไม่ และมักจะไม่ได้ผลดังที่ตนต้องการทีเดียวนัก