ขี้เหล็ก
ขี้เหล็ก
ขี้เหล็ก ชื่อวิทยาศาสตร์ Senna siamea (Lam.) Irwin & Barneby จัดอยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE และอยู่ในวงศ์ย่อย CEASALPINIOIDEAE
ขี้เหล็ก ชื่อภาษาอังกฤษ Siamese senna, Siamese cassia, Cassod tree, Thai copperpod
ขี้เหล็กมีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ขี้เหล็กแก่น (ราชบุรี), ขี้เหล็กบ้าน (ลำปาง,สุราษฎร์ธานี), ผักจี้ลี้ แมะขี้แหละพะโด (แม่ฮ่องสอน), ยะหา (ปัตตานี), ขี้เหล็กใหญ่ (ภาคกลาง), ขี้เหล็กหลวง (ภาคเหนือ), ขี้เหล็กจิหรี่ (ภาคใต้) เป็นต้น
ลักษณะของต้นขี้เหล็ก เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร ลำต้นมักคดงอ เปลือกมีสีเทาถึงน้ำตาลดำแตกเป็นร่องตื้น ๆตามยาว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแคบ ส่วนลักษณะของผลขี้เหล็ก มีลักษณะเป็นฝักแบนกว้าง 1.4 เซนติเมตร ยาว 15-23 เซนติเมตร มีความหนามีสีน้ำตาล มีเมล็ดหลายเมล็ด
แหล่งที่มา : https://earthmeifucan.files.wordpress.com/2010/08/cassia_1.jpg
แหล่งอ้างอิง:https://www.youtube.com/watch?v=lpvA5byYyvE
แหล่งข้อมูล http://frynn.com/ขี้เหล็ก
แหล่งข้อมูล sites.google.com ขี้เหล็ก
ลักษณะของใบขี้เหล็ก เป็นใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับกัน ใบเป็นสีเขียวเข้ม มีใบย่อยรูปรี 5-12 คู่ กว้างประมาณ 1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ที่ปลายสุดเป็นใบเดี่ยว ปลายใบเว้าตื้น โคนใบมน ขอบและแผ่นใบเรียบ โดยใบขี้เหล็ก 100 กรัมจะมีเบต้าแคโรทีน 1.4 มิลลิกรัม, ธาตุแคลเซียม 156 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 190 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 5.8 มิลลิกรัม, เส้นใยอาหาร 5.6 กรัม, โปรตีน 7.7 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 10.9 กรัม, พลังงาน 87 กิโลแคลอรี่
ลักษณะของดอกขี้เหล็ก จะออกดอกเป็นช่อแยกแขนงที่ปลายกิ่ง มีดอกสีเหลือง กลีบเลี้ยงกลมมี 3-4 กลีบ ปลายมน กลีบดอกมี 5 ลกีบ ปลายคนโคนเรียว หลุดร่วงง่าย ก้านดอกจะยาว 1-1.5 เซนติเมตร และมีเกสรตัวผู้หลายอัน และในบรรดาผักผลไม้ไทยทั้งหลายดอกขี้เหล็กก็จัดเป็นผักที่มีวิตามินซีสูงมากที่สุดเป็นอันดับ 1 โดยมีวิตามินซีมากถึง 484 มิลลิกรัมต่อดอกขี้เหล็ก 100 กรัม และยังมีเบต้าแคโรทีน 0.2 กรัม, ธาตุแคลเซียม 13 มิลลิกรัม, ธาตุฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, ธาตุเหล็ก 1.6 มิลลิกรัม, เส้นใยอาหาร 9.8 กรัม, โปรตีน 4.9 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 18.7 กรัม และให้พลังงาน 98 กิโลแคลอรี่
โทษของขี้เหล็ก การรับประทานขี้เหล็กในลักษณะที่นำใบขี้เหล็กไปตากแห้งแล้วบรรจุเป็นเม็ด อาจทำให้เกิดการเสื่อมและการตายของเซลล์ตับ หรืออาจทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ ทำให้เกิดโรคตับได้ ซึ่งการรับประทานขี้เหล็กอย่างปลอดภัย ต้องเลือกใบเพสลาดหรือตั้งแต่ยอดอ่อนถึงใบขนาดกลาง และนำไปต้มให้เดือดเทน้ำทิ้งสัก 2-3 น้ำ แล้วค่อยนำมาปรุงอาหารหรือนำไปทำเป็นยา ซึ่งวิธีการแบบพื้นบ้านนี้จะช่วยฆ่าฤทธิ์และทำลายสารที่เป็นอันตรายต่อตับได้ และยังช่วยลดความขมลงอีกด้วย
ประโยชน์ของขี้เหล็กใบขี้เหล็กมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง (ใบ)
- ดอกขี้เหล็กมีวิตามิน ที่ช่วยบำรุงและรักษาสายตา (ดอก)
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันหวัด ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น (ดอก)
- ช่วยบำรุงธาตุ (ราก)
- แก้ธาตุพิการ แก้ไฟ ทำให้ตัวเย็น (แก่น)
- ช่วยเจริญธาตุไฟ (ราก)
- ช่วยแก้โรคกระษัย (ราก,ลำต้นและกิ่ง,เปลือกต้น,ทั้งต้น)
- ช่วยรักษาอาการตัวเหลือง (ทั้งต้น)
- ช่วยรักษาโรคเบาหวาน (ใบ,แก่น)
- ช่วยลดความดันโลหิตสูง (ใบ)
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ 13 Destinations สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
แกงขี้เหล็ก เมนูโปรดของคนรุ่นเก๋าที่มีชื่อเมนูไม่ชวนรับประทานเท่าไหร่นัก แต่เรื่องรสชาติของแกงขี้เหล็กถ้วยนี้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านคอนเฟิร์มมาแล้วว่า เจ๋งจริง !
แกงขี้เหล็กถือเป็นอาหารโบราณที่นิยมกินกันมานานมาก แต่ในสมัยนี้อาจจะหากินยากไปสักนิด เพราะไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไหร่แล้ว ส่วนมากแกงขี้เหล็กจะนิยมใส่ปลาย่าง หรือหมูย่าง แต่สูตรแกงขี้เหล็กที่เรานำมาฝากจาก คุณ 13 Destinations สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จะประยุกต์ให้ง่ายขึ้นเพียงแค่ใส่กากหมู หรือแคปหมูลงไปแทน ได้แกงขี้เหล็กแบบใหม่ ๆ น่าลิ้มลอง
นาง ประครอง ทวีสัตย์
http://www.thaigoodview.com/comment/reply/192503#comment-form ส่งงานแล้ว