อารยธรรม (สมัยจักรวรรดิ)
2.กองทหารที่ใหญ่โตที่ขับไล่พวกฮิคโซสออกจากอียิปต์ ถูกยกเลิกไปทันที
จึงต้องการให้ฟาโรห์ต่อๆ มา ได้ขยายอาณาเขตออกไปกว้างขาวง ฟาโรห์องค์ต่อๆมา ได้เริ่มโจมตีอาณาจักรปาเลสไตน์และอ้างสิทธิเหนือซีเรีย และขยายดินแดนไปจนถึงลุ่มแม่น้ำยูแฟรทิสทางตะวันออก และทางใต้ถึงแก่งน้ำตก (cataracts) ในอียิปต์ของแม่น้ำไนล์ แต่จุดอ่อนของการขยายอาณาเขตคือไม่สามารถนำผู้แพ้ให้มาจงรักภักดีได้ จึงทำให้เกิดกบฏทั่วไปในดินแดนต่างๆ เช่น ที่ซีเรีย แม้ว่าฟาโรห์องค์ต่อมาจะสามารถปราบพวกกบฏและรวมอยู่ใต้อาราจักรได้ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถขจัดอันตรายได้ รวมทั้งทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากข้าศึกกลับทำให้ทหารอียิปต์โกงกัน และใช้จ่ายกันอย่างฟุ่มเฟือย ประกอบกับการก่อกบฏเสมอๆ ของผู้แพ้สงคราม ยิ่งทำให้อียิปต์ต้องไปปราบและทำให้อ่อนแอไปเรื่อยๆ และฟื้นตัวยาก ในศตวรรษที่12 ก่อนคริสต์ศักราช อียิปต์ได้สูญเสียดินแดนส่วนใหญ่ที่ตีมาได้ไป
2.ราชินีแฮทเชฟสุท (Hatshepsut) ในสมัยราชวงศ์ที่ 18 ระยะแรกทรงปกครองในนามธุสโมสที่ 3 พระสวามีซึ่งทรงพระเยาว์ ต่อมาก็ปกครองเองเป็นฟาโรห์ ทรงเป็นราชินีที่มีพระปรีชาสามารถ ทรงมีข้าราชการที่สำคัญเป็นผู้ช่วยเหลือและทรงสร้างวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่เดร์ เอล-บารี่ (Dier el-Bahri) และทรงค้าขายกับต่างประเทศแถบพุนท์ (Punt) คงเป็นแถบโซมาลีแลนด์ในแอฟริกา
3.ธุทโมสที่ 3 หรือ “นโปเลียนแห่งอียิปต์” (Thutmuse III, Napoleon of Egypt) ทรงได้ขยายอำนาจเด็ดขาดและปกครองต่อมา ทรงขยายอำนาจไปถึงปาเลสไตน์และซีเรียจนสิ้นพระชนม์
จักรวรรดิอียิปต์ในสมัยของพระองค์ได้ขยายการปกครองไปครอบคลุมตั้งแต่ซีเรียจนถึงซูดานในปัจจุบัน บางเขตก็ปกครองเด็ดขาด เช่น ลิเบีย บางแห่งก็ปกครองเป็นดินแดนในอาณัติ เช่น ปาเลสไตน์ ซีเรีย คือให้เจ้าของท้องถิ่นปกครองเอง แต่ถ้ามีข้าหลวงชาวอียิปต์ควบคุมอยู่ที่เมืองกาซา (Gaza) ทรงใช้วิธีนำลูกหลานของผู้ใต้อำนาจการปกครองมาเป็นตัวประกันหรือรับการอบรมในอียิปต์ สมัยของพระองค์ อียิปต์ได้ติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้น ทรงวางระเบียบให้อาณาจักรอียิปต์มั่นคงต่อมาอีกหลายศตวรรษ
จักรวรรดิอียิปต์ในสมัยของพระองค์ได้ขยายการปกครองไปครอบคลุมตั้งแต่ซีเรียจนถึงซูดานในปัจจุบัน บางเขตก็ปกครองเด็ดขาด เช่น ลิเบีย บางแห่งก็ปกครองเป็นดินแดนในอาณัติ เช่น ปาเลสไตน์ ซีเรีย คือให้เจ้าของท้องถิ่นปกครองเอง แต่ถ้ามีข้าหลวงชาวอียิปต์ควบคุมอยู่ที่เมืองกาซา (Gaza) ทรงใช้วิธีนำลูกหลานของผู้ใต้อำนาจการปกครองมาเป็นตัวประกันหรือรับการอบรมในอียิปต์ สมัยของพระองค์ อียิปต์ได้ติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้น ทรงวางระเบียบให้อาณาจักรอียิปต์มั่นคงต่อมาอีกหลายศตวรรษ
4.อเมนโฮเทปที่ 3 (Amenhotep III) สมัยนี้ราชวงศ์ที่ 18 เจริญสูงสุด อยู่ในสภาวะสงบสุขการค้ารุ่งเรือง มีการก่อสร้างสถานที่และราชสำนัก รูปสลักใหญ่โต วิหารสำหรับทำพิธีพระศพวิหารบูชาเทพเจ้าที่งดงามที่สุด คือที่ลุกซอร์ (Luxor)
5.อเมนโฮเทปที่ 4 (Amenhotep IV) พระองค์ทรงหันมานับถือเทพเจ้าองค์เดียว คือ อตอน แทนเทพเจ้าอมอน เป็นการปฎิรูปศาสนาและได้ทรงเปลี่ยนชื่อของพระองค์มาเป็น อัคนาตันหรืออิคนาตัน (Akhenaton, Ikhanaton ) แปลว่าพระเจ้าอตอนพอใจ (Aton is satisfied ) และทรงย้ายเมืองหลวงจากธีบส์ (Thebes) ไปเมืองวัด (a temple city) ปัจจุบันคือเมืองแทลอัล-อมาร์นา (Tellal-Amarna) แต่หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ฟาโรห์องค์ต่อมา คือ ทุทังคามัน (TutangKhamen) ก็ทรงหันไปนับถือเทพเจ้าอมอนอีกตามเคย
7.ฟาโรห์แรมเซสที่ 2 (Ramses II) เป็นสมัยที่ยิ่งใหญ่ช่วงสุดท้ายของอียิปต์ ทรงรวมอำนาจภายในและภายนอกอียิปต์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระองค์ได้เสด็จไปทำสงครามแถบซีเรียและปาเลสไตน์ เนื่องจากพวกฮิทไทท์บุกรุก ตอนนั้นฟาโรห์แรมเซสที่ 2 ทรงได้นำชาวยิวมาเป็นเชลยของอียิปต์ และมีเรื่องราวปรากฏในคัมภีร์ของศาสนายิวเกี่ยวกับการหนีของชาวยิวกลับไป ที่เรียกว่าเอคโซดัส (Exodus) ไปยังดินแดนที่พระเจ้าประทาน คือ ปาเลสไตน์
ต่อมาฟาโรห์แรมเซส ได้ทรงทำสัญญาตกลงกับพวกฮิทไทท์ โดยให้พวกฮิทไทท์ครองแถบซีเรีย ส่วนพระองค์ปกครองแถบปาเลสไตน์ นับเป็นสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรทางการทูตครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกมนุษย์