~~THE EARTH~~
กำเนิดโลก
เมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว กลุ่มก๊าซในเอกภพบริเวณนี้ ได้รวมตัวกันเป็นหมอกเพลิงที่มีชื่อว่า "โซลาร์เนบิวลา" แรงโน้มถ่วงทำให้กลุ่มก๊าซยุบตัวและหมุนตัวเป็นรูปจาน ใจกลางมีความร้อนสูงเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบฟิวชั่น กลายเป็นดาวฤกษ์ที่มีชื่อเรียกว่า ดวงอาทิตย์ ส่วนวัสดุที่อยู่รอบๆมีอุณหภูมิต่ำกว่า รวมตัวเป็นกลุ่มๆมีมวลสารและมีความหนาแน่นมากขึ้นเป็นชั้นๆและกลายเป็นดาวเคราะห์ในที่สุด รวมถึงดาวเคราะห์โลกด้วย
โลกในยุคแรกเป็นของเหลวหนืดร้อน ถูกกระหน่ำชนด้วยอุกกาบาตตลอดเวลา องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุหนัก เช่น เหล็ก และนิกเกิล จมตัวลงสู่แก่นกลางของโลก ขณะที่องค์ประกอบซึ่งเป็นธาตุเบา เช่น ซิลิกอน
ลอยตัวขึ้นสู่เปลือกนอก ก๊าซต่างๆ เช่น ไฮโดรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ พยายามแทรกตัวออกจากพื้นผิวก๊าซไฮโดรเจนถูกลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ทำลายให้แตกเป็นประจุ ส่วนหนึ่งหลุดหนีออกสู่อวกาศ อีกส่วนหนึ่งรวมตัวกับออกซิเจนกลายเป็นไอน้ำ เปลือกนอกตกผลึกเป็นของแข็ง ไอน้ำในอากาศควบแน่นเกิดฝน น้ำฝนได้ละลายคาร์บอนไดออกไซด์ลงมาสะสมบนพื้นผิว เกิดทะเลและมหาสมุทร
โลกมีลักษณะเป็นวงรี โดยในแนวดิ่งเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 12,711 กม. ในแนวนอนยาว 12,755 กม. ต่างกัน 44 กม. มีพื้นน้ำ 3 ส่วน หรือ 71% และมีพื้นดิน 1 ส่วน หรือ 29% แกนโลกจะเอียง 23.5 องศา
โครงสร้างและส่วนประกอบของโลก
เปลือกโลก
เปลือกโลก(crust) เป็นชั้นนอกสุดของโลกที่มีความหนาประมาณ 60-70 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่บางที่สุดเมื่อเปรียบกับชั้นอื่นๆเสมือน เปลือกไก่ไข่ หรือ เปลือกหัวหอม
เปลือกโลกประกอบไปด้วยแผ่นดินและแผ่นน้ำ ซึ่งเปลือกโลกส่วนที่บางที่สุดคือ ส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทร ส่วนเปลือกโลกที่หนาที่สุดคือ เปลือกโลกส่วนที่รองรับทวีปที่มีเทือกเขาที่สูงที่สุดอยู่ด้วย นอกจากนี้ เปลือกโลกยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ
1. ชั้นหินไซอัล(sial) เป็นเปลือกโลกชั้นบนสุด ประกอบด้วยซิลิกาและอะลูมินาซึ่งเป็นหินแกรนิตชนิดหนึ่ง สำหรับบริเวณผิวของชั้นนี้จะเป็นหินตะกอน ชั้นหินไซอัลนี้ มีเฉพาะเปลือกโลกส่วนที่เป็นทวีปเท่านั้น ส่วนเปลือกโลกที่อยู่ใต้ทะเลและมหาสมุทรจะไม่มีหินชั้นนี้
2. ชั้นหินไซมา(sima) เป็นชั้นที่อยู่ใต้หินชั้นไซอัลลงไป ส่วนใหญ่เป็นหินบะซอลต์ ประกอบด้วยแร่ซิลิกา เหล็กออกไซด์และแมกนีเซียม ชั้นหินไซมานี้ห่อหุ้มทั่วทั้งพื้นโลกอยู่ในทะเลและมหาสมุทร ซึ่งต่างจากหินชั้นไซอัลที่ปกคลุมเฉพาะส่วนที่เป็นทวีป และยังมีความหนาแน่นมากกว่าชั้นหินไซอัล
เนื้อโลก
เนื้อโลก(mentle) เป็นชั้นที่อยู่ถัดลงไปจากชั้นเปลือกโลก ส่วนมากเป็นของแข็ง มีความลึกประมาณ 2,900 กิโลเมตร นับจากฐานล่างสุดของเปลือกโลก จนถึงตอนบนของแก่นโลก ชั้นเนื้อโลกส่วนบนเป็นหินที่เย็นตัวแล้วและบางส่วนมีรอยแตกเนื่องจากความเปราะ ชั้นเนื้อโลกส่วนบนกับชั้นเปลือกโลกรวมกันเรียกว่า "ธรณีภาค(lithosphere)" มีความหนาประมาณ 100 กิโลเมตร นับจากผิวโลกลงไป ชั้นเนื้อโลกถัดลงไปที่ความลึก 100-350 กิโลเมตร เรีบกว่า "ชั้นฐานธรณีภาค(asthenosphere)" เป็นชั้นของหินหลอมละลายร้อน หรือหินหนืดที่เรียกว่า แมกมาซึ่งหมุนวนอยู่ภายในโลกอย่างช้าๆ ชั้นเนื้อโลกที่อยู่ถัดลงไปอีกเป็นชั้นล่างสุดอยู่ที่ความลึกตั้งแต่ 350-2,900 กิโลเมตร เป็นชั้นที่เป็นของแข็งร้อนแต่แน่นและหนืดกว่าตอนบน เมื่ออุณหภูมิสูงตั้งแต่ประมาณ 2,250-4,500 องศา
แก่นโลก
ความหนาแน่นของดาวโลกโดยเฉลี่ยคือ 5,515 กก./ลบ.ม. ทำให้มันเป็นดาวเคราะห์ที่หนาแน่นที่สุดในระบบสุริยะ แต่ถ้าวัดเฉพาะความหนาแน่นเฉลี่ยของพื้นผิวโลกแล้ววัดได้เพียงแค่ 3,000 กก./ลบ.ม. เท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดข้อสรุปที่ว่า ต้องมีวัตถุอื่นๆที่หนาแน่นกว่าอยู่ในแก่นโลกแน่นอน ระหว่างการเกิดขึ้นของโลก ประมาณ 4.5 พันล้านปีมาแล้ว การหลอมละลายอาจทำให้เกิดสสารที่มีความหนาแน่นมากกว่าไหลเข้าไปในแกนกลางของโลก ในขณะที่สสารที่มีความหนาแน่นน้อยกว่าคลุมเปลือกโลกอยู่ ซึ่งทำให้แก่นโลก(core) มีองค์ประกอบเป็นธาตุเหล็กถึง 80% รวมถึงนิกเกิลและธาตุที่มีน้ำหนักที่เบากว่าอื่นๆ แต่ในขณะที่สสารที่มีความหนาแน่นสูงอื่นๆ เช่น ตะกั่วและยูเรเนียม มีอยู่น้อยเกินกว่าที่จะผสานเข้ากับธาตุที่เบากว่าได้ และทำให้สสารเหล่านั้นคงที่อยู่บนเปลือกโลก แก่นโลกแบ่งออกได้เป็น 2 ชั้น ได้แก่
1.แก่นโลกชั้นนอก (outer core) มีความหนาจากผิวโลกประมาณ 2,900-5,000 กิโลเมตร ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิกเกิลในสภาพที่หลอมละลาย และมีความร้อนสูง มีอุณหภูมิประมาณ 6,200-6,400 องศา มีความหนาแน่นสัมพัทธ์ 12.0 และส่วนนี้มีสถานะเป็นของเหลว
2.แก่นโลกชั้นใน (inner core) เป็นส่วนที่อยู่ใจกลางโลกพอดี มีรัศมีประมาณ 1,000 กิโลเมตร มีอุณหภูมิประมาณ 4,300-6,200 และมีความดันมหาศาล ทำให้ส่วนนี้จึงมีสถานะเป็นของแข็ง ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิกเกิลที่อยู่ในสภาพที่เป็นของแข็ง มีความหนาแน่นสัมพัทธ์ 17.0
สภาพบรรยากาศ
สภาพอากาศของโลก คือ การถูกห่อหุ้มด้วยชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีทั้งหมด 5 ชั้น ได้แก่
1. บรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์ (Troposphere) เป็นบรรยากาศชั้นล่างสุดติดกับผิวโลกขึ้นไปบริเวณศูนย์สูตร บรรยากาศชั้นนี้มีความหนามากกว่าบริเวณขั้วโลก บริเวณศูนย์สูตรโลกมีระดับความสูงประมาณ 16 กิโลเมตร ส่วนบริเวณขั้วโลกมีระดับความสูงประมาณ 8 กิโลเมตร
เนื่องจากบรรยากาศในชั้นนี้อยู่ใกล้กับพื้นผิวโลกมากที่สุด จึงมีความเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของมนุษย์มาก การเปลี่ยนแปลงและปรากฎการณ์ต่าง ๆ ของบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์นี้จะเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิของอากาศและลมฟ้าอากาศที่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
อากาศในบรรยากาศชั้นโทรโพสเฟียร์จะประกอบด้วยละอองน้ำและก๊าซต่าง ๆ ที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น รวมตัวกันเรียกว่า ความชื้น
2. บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์(Stratosphere) บรรยากาศชั้นนี้เป็นชั้นบรรยากาศที่มีอยู่เหนือชั้นโทรโพสเฟียร์ขึ้นไปและสูงจากระดับพื้นดินไม่เกิน 30 กิโลเมตร ลักษณะทั่วไปของบรรยากาศจะมีกระแสอากาศเคลื่อนที่ในแนวนอนและสภาพของอากาศสงบ ตอนล่างของบรรยากาศชึ้นนี้ที่อยู่ติดกบแนวโทรโพรพอสจะไม่มีอากาศแปรปรวน
ดังนั้นนักบินจึงนิยมใช้ระดับเพดานบินของเครื่องบินอยู่ในบรรยกาศชั้นนี้และแนวสูงสุดของบรรยากาศชั้นนี้เรียกว่า สเตรโตพอส ในชั้นนี้อุณหภูมิจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ระยะสูง 20 กิโลเมตรขึ้นไปจนมีอุณหภูมิถึง 20 องศาเซลเซียส ในชั้นบรรยากาศนี้จะมีชั้นของโอโซนก่อตัวเป็นม่านหรือเปลือกครอบคลุมห่อหุ้มโลก อยู่ที่ระยะสูง 30 กิโลเมตร ถึง 40 กิโลเมตร ม่านโอโซนนี้จะทำหน้าที่ดูดกลืนหรือกรองรังสีอุลตร้าไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ ์์์ไม่ให้ส่องลงมาบนผิวโลกโดยตรง หากชั้นโอโซนถูกทำลายลงไปรังสีอุลตร้าไวโอเลตจะส่องตรงลงไปยังผิวโลก ซึ่งทางการแพทย์กล่าวว่าจะเป็นบ่อเกิดของมะเร็งบนผิวหนัง
3. บรรยากาศชั้นมีโซสเฟียร์ (Mesosphere) เป็นชั้นบรรยากาศที่อยู่ถัดจากชั้นสเตรโตสเฟียร์ขึ้นไปและอยู่สูงจากพื้นดินไม่เกิน 80 กิโลเมตร อุณหภูมิของอากาศนี้จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะตอนล่างของบรรยากาศชั้นมีโซสเฟียร์จะมีก๊าซโอโซนปรากฎอยู่ โอโซนนี้จะช่วยดูดซับรังสีอัลตร้าไวโอเลตจากดวงอาทิตย์ส่วนใหญ่เอาไว้
4. บรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ (Ionosphere) เริ่มตั้งแต่ 80-600 กิโลเมตร บรรยากาศชั้นนี้มีอากาศจางมาก โมเลกุลของก๊าซจะแตกตัวเป็นอะตอมที่มีประจุไฟฟ้าเรียกว่า ไอออน อนุภาคที่มีประจุไฟ้ฟ้าเหล่านี้สามารถสะท้อนคลื่นวิทยุได้ จึงใช้ประโยชน์ในการสื่อสาร
5. บรรยากาศชั้นเอ็กโซสเฟียร์ (Exsosphere) เริ่มตั้งแต่ 600 กิโลเมตร จากพื้นขึ้นนไป ก๊าซส่วนมากในบรรยากาศชั้นนี้เป็นไฮโดรเจนกับฮีเลียม เป็นบรรยากาศชั้นนอกสุด ที่มีเขตติดต่อกับอวกาศ จึงไม่อาจจำกัดขอบเขตได้แน่นอน
-The End-