นิทานอีสป
ห้ามลบ ขอให้เจ้าของผลงานประกวด แก้ไขข้อมูลได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 23.30 น.
หากเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ท่านเข้ามาแก้ไขข้อมูล ถือว่าโมฆะในการพิจารณาได้รับรางวัล
ซึ่งระบบของ Thaigoodview สามารถตรวจสอบได้ว่า ผลงานแต่ละชิ้น มีการแก้ไขเวลาใดบ้าง
ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
นิทานอีสป
เรื่องภูเขาจะออกลูก
กาลครั้งหนึ่งในยุคดึกดำบรรพ์ ภูเขาลูกหนึ่งได้พ่นควันออกทางรอยแยกซึ่งอยู่บนยอด เมื่อชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงสังเกต เห็นได้พากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนาน อยู่ต่อมาไม่นานพื้นแผ่นได้เกิดสั่นสะเทือนผู้คนในหมู่บ้านจึงพากันเดินทาง ไปที่ภูเขาเพื่อต้องการดูให้เห็นกับตาว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์สำคัญอะไรขึ้นครั้นเมื่อเห็นด้านหนึ่งของภูเขาเกิดรอยแยกเป็นทางยาว ชายผู้หนึ่งจึงคาดเดาว่าเป็นเช่นนี้เพราะภูเขากำลังจะออกลูกตามบัญชาของเทพเจ้าคนอื่นๆมีความเห็นคล้อยตามต่างพากันคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงและรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานนักก็มีหนูตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากรอยแยกนั้น ครั้นเห็นผู้คนมาชุมนุมกันอยู่เป็นจำนวนมาก หนูจึงตกใจวิ่งหนีหายไปท่ามกลางดงไม้และแนวก้อนหิน “เสียเวลาเปล่าๆเลยทีเดียว” ชายคนหนึ่งกล่าว “เห็นส่งเสียงคำราม แผ่นดินไหวสะเทือนเลื่อนลั่น แต่สุดท้ายหาได้มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ผู้ที่มักคุยโวโอ้อวดชอบแสดงตนว่ามีความเก่กล้า สามารถ มักจะมีผลงานออกมาเล็กนิดเดียวเหมือนภูเขาลูกนี้
เรื่อง ราชสีห์กับวัวสี่ตัว |
ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายมีเพียงวัวสี่ตัว ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันเท่านั้นที่ไม่กลัวเกรงราชสีห์ผู้เป็นเจ้าป่า ทั้งนี้เพราะวัวทุกตัวต่างมีความสามัคคีรักใคร่กลมเกลียวกัน เมื่อใดที่ราชสีห์หมายจะจู่โจมเข้าสังหาร วัวทั้งสี่ตัวจะรีบหันหลังชนกันหันหัวซึ่งมีเขาอันแหลมคมออกเผชิญหน้ากับเจ้าป่าไม่เปิดช่องว่างให้ราชสีห์กระโจนเข้าเล่นงานได้ไม่ว่าจะมาจากทิศทางใด“เป็นเพราะเขาอันแข็งแกร่งของข้าต่างหาก” วัวอีกตัวหนึ่งแย้งขึ้นด้วยต่างคิดว่าตนเองมีความสำคัญเหนือผู้อื่น ในที่สุดวัวทุกตัวต่างก็เกิดหมางใจแตกสามัคคีจึงแยกกันออกหากินไม่รวมกลุ่มเหมือนก่อน เป็นเหตุให้ถูกราชสีห์จับกินเป็นอาหารจนหมดทั้งสี่ตัว
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เมื่อความขาดสามัคคีเกิดขึ้นในหมู่คณะใด หมู่คณะนั้นย่อมพบกับภัยพิบัติ
หมาป่า หมาจิ้งจอก และ ม้า
หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งอายุยังน้อย แม้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่เนื่องจากมีประสบการณ์ไม่มากนัก เมื่อได้พบม้าเป็นครั้งแรกมันจึงไม่รู้จัก “ข้าพบสัตว์อะไรก็ไม่รู้ ตัวมันสูงใหญ่สง่างามแต่กินหญ้าเป็นอาหาร” หมาจิ้งจอกวิ่งมาบอก กับหมาป่าเพื่อนของมันซึ่งอยู่ในวัยไล่ๆกัน “รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไรล่ะ” หมาป่าซัก
“บอกไม่ถูกหรอก เจ้าตามข้าไปดูเอาเองดีกว่า” เมื่อหมาจิ้งจอกพาเพื่อนของมันมาพบกับม้า ตอนแรกม้าตกใจจะวิ่งหนี แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียกจึงหยุดยืนรั้งรออยู่เพื่อดูท่าที “ท่านมีชื่อเรียกเผ่าพันธุ์ว่าอย่างไร” หมาจิ้งจอกเอ่ยถาม “ช่วยบอกให้เรารู้หน่อยเถอะ” ม้าแสยะยิ้มเพราะเมื่อได้ยินคำถามก็รู้ว่าทั้งสองยังไม่ค่อยเดียงสานัก “ชื่อของข้าน่ะรึ มาดูใกล้ๆเท้านี่ซิ ช่างทำเกือกม้าได้สลักชื่อของข้าไว้ตรงนี้ไง” เมื่อเห็นม้ายกเท้าขึ้น หมาจิ้งจอกเกรงอันตรายจึงหันไปกล่าวกับหมาป่าผู้เป็นสหายว่า “ฉันยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเลย เธออ่านหนังสือเก่งไม่ใช่หรือ ลองเข้าไปอ่านหน่อยซิ” “อ้อ ได้เลย ฉันนะสอบได้ที่ 1 เป็นประจำเชียวน่ะ” หมาป่ากล่าวอย่างภาคภูมิ เดินยืดไหล่ชูคอเข้าไปอย่างสง่างาม แต่ทันใดนั้นมันก็ถูกม้าใช้เท้าถีบเข้าใส่อย่างแรงแล้ววิ่งหนีไป
“เพื่อนเอ๋ย หมาจิ้งจอกเข้ามาดูอาการหมาป่าผู้โชคร้าย “คราวหลังก็ระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนฉลาดอาจยอมทำตัวเป็น ผู้โง่เขลาในบางสถานการณ์ แต่คนโง่มัก
อวดตัวว่าฉลาดทุกเวลา
เรื่อง คนตัดไม้กับต้นไม้ |
||||||||||||
วันหนึ่ง ชายคนหนึ่งถือหัวขวานเข้าไปในป่าและได้อ้อนวอนแก่ต้นไม้ทั้งหลายในป่าแห่งนั้นว่า“ได้โปรดมอบกิ่งไม้เล็กๆให้ข้าสักกิ่งหนึ่งเถิด ท่านผู้สูงใหญ่และร่มรื่น”บรรดาต้นไม้ทั้งหลายได้ยินคำอ้อนวอนที่สุภาพและเยินยอ จึงสละกิ่งเล็กๆทิ้งลงมาให้กิ่งหนึ่ง ชายผู้นั้นหลังจากนำมาเสียบทำเป็นด้ามขวานแล้วจึงใช้ขวานของตนโค่นต้นไม้ในป่าแห่งนั้นลงต้นแล้วต้นเล่าบรรดาต้นไม้ทั้งหลายได้แต่เศร้าเสียใจที่ให้อาวุธแก่ศัตรูโดยไม่พิจารณาไตร่ตรอง |
เรื่อง ชาวไร่กับนกกระเรียน |
ชาวไร่ผู้หนึ่งนำข่ายไปวางดักนกยางที่ลงมาจิกกินข้าวโพดในไร่ของตน ครั้นตกบ่ายจึงออกมาดูพบว่านอกจากนกยางหลายตัวแล้ว ยังมีนกกระเรียนตัวหนึ่งติดข่ายอยู่ด้วยและมันพยายามอ้อนวอนขอชีวิต “โปรดปล่อยข้าไปเถิด ท่านก็รู้นี่ว่านกกระเรียนอย่างเข้าไม่ได้กินข้าวโพดในไร่ของท่านเป็นอาหารเลยแม้แต่เมล็ดเดียว แล้วอย่างนี้ท่านมีเหตุผลใดที่จะต้องสังหารข้าด้วย” แต่ชาวไร่ส่ายหน้าปฏิเสธ “ในเมื่อข้าจับเจ้าได้พร้อมกับพวกนกยางที่ลงมากินข้าวโพดในไร่ของข้าเจ้าก็ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกัน” |
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ผู้ใดเข้าไปอยู่ร่วมกลุ่มปะปนกับคนชั่ว ย่อมไม่มีใครคิดว่าเขามิใช่คนชั่ว
เรื่อง ชายชรากับหมี |
ในป่าแห่งหนึ่ง มีหมีตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำของตนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย มันรู้สึกเงาและว้าเหว่เพราะไม่มีเพื่อน วันหนึ่งหมีจึงเดินออกจากถ้ำเพื่อจะหาเพื่อนคุยแก้เหงา ในป่าแห่งนั้นมีชายชราผู้หนึ่งซึ่งอยู่ตามลำพังเช่นกัน วันๆได้แต่พูดคุยกับต้นไม้ดอกไม้ไปตามประสา เมื่อรู้สึกเบื่อหนายที่ต้องอยู่คนเดีวจังเดินเที่ยวชมต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อยเปื่อยครั้นได้พบหมีเข้าโดยบังเอิญ ชายชรารู้สึกตกใจแต่เห็นว่าจะวิ่งหนีก็คงไม่ทัน จึงทำใจกล้ากล่าวทักทายหมีรู้สึกดีใจที่ได้เพื่อนพูดคุย แก้เหงา ในที่สุดทั้งสองก็สนิทสนมกันในเวลาอันรวดเร็ว หมีจึงชวนให้ชราชราไปเที่ยวที่ถ้ำของตน แต่ชายชราปฏิเสธและชวนให้หมีเป็นฝ่ายไปเที่ยวที่บ้านของตนแทน “ระยะทางไปบ้านของข้าใกล้กว่าถ้ำของเจ้ามาก ไปเป็นแขกของข้าดีกว่า” ชายชราให้เหตุผล หมีเห็นด้วยจึงตกลงมาเที่ยวที่บ้านของชายชรา และในที่สุดก็ย้ายมาอยู่กับชายชราตามคำเชิญ นับแต่นั้นมาชีวิตของทั้งสองก็มีความสุขมากขึ้น เพราะมีเพื่อนคอยให้คำปรึกษาให้คำพูดจากันไม่เงียบเหงาเหมือนเมื่อก่อน อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองนอนพักกลางวันอยู่ใต้ร่มไม้ หมีเห็นแมลงตัวหนึ่งบินมาแกะที่จมูกของชายชรา ด้วยความปรารถนาดี อยากให้เพื่อนของตนนอนหลับอย่างมีความสุข มันจึงตะปบอุ้งเท้าใส่แมลงเต็มแรง แมลงบินหนีไปได้อย่างหวุดหวิด แต่ศรีษะของชายชรากลับเป็นแผลเหวอะหวะเพราะกรงเล็บอันแหลมคมและทรงพลังของหมี
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ความปรารถนาดีของเพื่อนที่โง่เขลามักเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
เรื่อง ลากับรูปเคารพ |
ลาตัวหนึ่งมีหน้าที่บรรทุกเทวรูปเข้าร่วมขบวนแห่ทางศาสนาระหว่างทางมันเห็นผู้คนที่ยืนอยู่สองฟากถนนยกมือไหว้ ทำความเคารพลาเข้าใจว่าใครๆต่างนับถือยกย่องตัวมัน จึงหยุดยืนทำท่ายืดตัวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าโง่” ผู้เป็นนายเอาไม้ฟาดใส่หลังของลา “นี่หลงเข้าใจว่าใครๆยกมือไหว้เจ้างั้นหรือ เขาไหว้เทวรูปบนหลังเจ้าต่างหาก รีบเดินตามขบวนเร็วเข้า”
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนพาลมักเข้าใจว่าผู้คนทั่วไปต่างเกรงกลัวและเคารพนับถือตน แต่ความจริงพวกเขาเกรงในยศตำแหน่งและอำนาจ
เรื่อง กากับหงส์ |
กาตัวหนึ่งอยากจะให้ขนตัวเองขาวสวยเหมือนกับหงส์มันเข้าใจว่าคงเพราะหงส์ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้น้ำได้อาบน้ำบ่อยๆจึงทำให้ขนขาวสะอาด ด้วยเหตุนี้กาจึงทิ้งเทวสถานอันเป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารที่แสนอุดม ย้ายไปอยู่ริมสระ พยายามลงอาบและไซ้ขนอยู่เป็นนิตย์ แต่ขนของกาก็มิได้ขาวสะอาดขึ้น ยังคงดำสนิทอยู่เช่นเดิม อีกทั้งมันต้องอดอาหารที่เคยได้กินอย่างสมบูรณ์ ในไม่ช้ากาก็ถึงแก่ความตายนิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า จงพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงวิสัยของตนเป็นสิ่งที่เหลือจะทำได้ |
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
จงพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงวิสัยของตนเป็นสิ่งที่เหลือจะทำได้
เรื่อง นกอินทรีกับกา |
นกอินทรีตัวหนึ่งเกาะอยู่บนหน้าผาครั้นเห็นลูกเกาะตัวหนึ่งเดินห่างจากฝูงจึงบินลงมาโฉบเอาลูกแกะติดกรงเล็บไปได้อย่างง่ายดายด้วยอุ้งเล็บอันแข็งแกร่งของมัน กาตัวหนึ่งเห็นดังนั้นจึงคิดว่าตัวมันก็สามารถทำอย่างนกอินทรีได้ ครั้นเห็นพ่อแกะตัวหนึ่งเดินเข้าใกล้ต้นไม้ที่มันเกาะอยู่ กาจึงโฉบลงไปใช้เล็บจิกหลังแกะเอาไว้ ทำให้ขาของมันติดกับขนแกะพยายามดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด คนเลี้ยงแกะจึงรีบมาจับมันไว้ เมื่อขริบปีกออกจนกาไม่สามารถบินหนีได้แล้วจึงนำไปให้ลูกของตนเล่น“พ่อจ๋า นี่เอานกอะไรมาให้หนู” ลูกคนเลี้ยงแกะเอ่ยถาม ด้วยความสงสัยผู้เป็นพ่อยิ้มหยันที่มุมปากก่อนจะตอบคำถาม “มันคงเข้าใจว่าตัวเองคือนกอินทรี แต่ลูกก็เห็นนี่ว่ามันเป็นเพียงอีกาตัวหนึ่งเท่านั้น”
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ผู้ที่ไม่รู้จักประมาณตน ย่อมพบกับความวิบัติ
เรื่อง คนถูกหมากัด |
ชายคนหนึ่งถูกหมากัดเลือดไหลอาบ พยายามเดินหาหมอรักษาชายอีกคนหนึ่งมาพบจึงให้คำแนะนำเป็นเคล็ดลับให้ว่า“จงนำขนมปังมาชุบเลือดที่แผลให้ชุ่มแล้วเอาไปให้หมาตัวที่กัดท่านกิน แผลของท่านก็จะหายโดยเร็ว”“หากรักษาด้วยวิธีที่ท่านบอก ข้าพเจ้าคงถูกหมาทุกตัวในเมืองนี้รุมกัดเป็นแน่ “ชายผู้ที่ถูกหมากัดกล่าวตอบด้วยความฉุนเฉียว
|
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การให้การอุปถัมภ์เลี้ยงดูศัตรูของตนเอง เท่ากับเป็นการสร้างจำนวนศัตรูให้เพิ่มมากขึ้น