• user warning: Duplicate entry '536306482' for key 'PRIMARY' query: INSERT INTO accesslog (title, path, url, hostname, uid, sid, timer, timestamp) values('บัญชีผู้ใช้', 'user/login', '', '3.128.171.203', 0, '2525658d5070bc7517311ea4391de06d', 127, 1716124442) in /home/tgv/htdocs/modules/statistics/statistics.module on line 63.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: SELECT data, created, headers, expire, serialized FROM cache_filter WHERE cid = '3:fd7e54490b70c93c9c3bd40bd016c7bf' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 27.
  • user warning: Table 'cache_filter' is marked as crashed and should be repaired query: UPDATE cache_filter SET data = '<!--paging_filter--><p align=\"center\">\n<span style=\"color: #ff0000\"><strong>ห้ามลบ</strong> </span><span style=\"color: #0610f8\">ขอให้เจ้าของผลงานประกวด แก้ไขข้อมูลได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 23.30 น.<br />\nหากเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ท่านเข้ามาแก้ไขข้อมูล ถือว่าโมฆะในการพิจารณาได้รับรางวัล<br />\nซึ่งระบบของ Thaigoodview สามารถตรวจสอบได้ว่า ผลงานแต่ละชิ้น มีการแก้ไขเวลาใดบ้าง</span> <br />\nครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล\n</p>\n<p align=\"center\">\n<span style=\"color: #330000\"><span style=\"color: #660000\"><span style=\"font-size: xx-large; color: #330000; font-family: trebuchet ms,geneva\"><span style=\"font-size: xx-large; font-family: comic sans ms,sans-serif\"><span style=\"font-size: xx-large; font-family: comic sans ms,sans-serif\">Chocolate</span></span> </span> </span></span>\n</p>\n<div style=\"text-align: center\">\n</div>\n<div style=\"text-align: center\">\n<img border=\"0\" width=\"419\" src=\"/files/u4802/6a00d83453c52669e200e5516e58d48833-800wi.jpg\" height=\"335\" style=\"width: 225px; height: 167px\" />\n</div>\n<div align=\"left\" style=\"text-align: center\">\n<span style=\"color: #330000\"><span style=\"font-size: small; font-family: trebuchet ms,geneva\"><span style=\"color: #330000\"><span style=\"font-size: small\">\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"font-family: comic sans ms,sans-serif\">       </span><span style=\"color: #660000\"><span style=\"font-family: comic sans ms,sans-serif\"> The  Aztecs of Mexico knew about chocolate a long time ago. They made it into a drink. Sometimes they put hot chill peppers with the chocolate. They called the drink xocoatl, which means “bitter juice.” This is where the word chocolate comes from.<br />\n        The Spanish went to Mexico and took the drink from the land of the Aztecs back to spain. The Spanish didn’t like peppers, so they added sugar. They drink became very popular in Europe. People added different things like eggs to the chocolate drink. But everybody’s favorite was chocolate in milk instead of water.<br />\n       There was still no hard chocolate until around 1850. Then the British made the first chocolate bar. Twenty-five years later, two men in Switzerland mixed milk with the hard chocolate. Milk chocolate soon become a favorite all over the world.<br />\n Is chocolate good for you? For hundreds of year, people thought that chocolate was good for health. Doctors told people to have a chocolate drink for headaches and many other problems. Today, there is good news for chocolate lovers. Scientists think that a little bit of chocolate is good for you! It gives you energy and has vitamins to keep your body healthy.<br />\n        The Aztecs believed that chocolate made you intelligent. Today, we do not believe this. But chocolate has a special chemical called phenylethylamine. This is <br />\nThe same chemical the body makes when a person is in love. Which do you prefer—eating chocolate or being in love?</span> </span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\"><strong><u><span style=\"font-size: medium\">ตำนานช็อคโกแลต</span></u></strong><br />\n          ช็อคโกแลตของหวานแสนอร่อยและกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เคียงข้างไปกับดอกกุหลาบช่อโต สำหรับของขวัญวันวาเลนไทน์จากคนรักสู่คนรักนั้นมีความเป็นมาอย่างไร ประวัติยาวไกลหลายหมื่นลี้ค่ะ มีมานานมากแล้ว ถ้าเปรียบเทียบแบบไทยๆ เราก็คงเรียกว่า ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาโน่นเลยแหละค่ะ &quot;ช็อคโกแลต&quot; ค้นพบครั้งแรกเมื่อ 4000 ปีที่แล้ว ในอาณาจักร Aztec และ Maya ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ผสมขึ้นมาจากเมล็ดของต้นโกโก้ และเรียกชื่อว่า Cocoatl ซึ่งEmperor Montezuma นิยามว่าเป็น เครื่องดื่มจากสรวงสวรรค์เลยทีเดียว เมื่อปี 1528 เป็นปีที่สเปนมีชัยชนะต่ออาณาจักร Aztec และ Maya จึงได้นำ Cocoatl กลับไปยังสเปนด้วยและเรียกชื่อใหม่ว่า cho-co-LAH-tay และในปี 1615 ช็อคโกแลตก็ได้เผยโฉมต่อสังคมของอายรธรรมใหม่ครั้งแรก ในงานสมรสของเชื้อพระวงศ์แห่งฝรั่งเศสและจากนั้นก็จึงแพร่หลายเข้าสู่อังกฤษในเวลาต่อมาในปี 1765 ช็อคโกแลตได้เดินทางไกลอีกครั้งไปสู่สหรัฐอเมริกาโดยการชักนำเข้าสู่วงการของ John Hanan ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก Dr. James Baker ในด้านการวิจัยและการผลิต ไม่นานโรงงานผลิตช็อคโกแลตก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอเมริกานั่นเอง ในช่วงแรกๆ นั้นผู้ที่จะได้ลิ้มรสช็อคโกแลตจะเป็นเพียงผู้สูงศักดิ์หรือ ระดับเศรษฐีเท่านั้นเพราะว่าราคาแพงมากและถือเป็นของหายากชนิดหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาสู่ยุคอารยธรรมใหม่ มีการปฏิวัติในฝรั่งเศสทำให้ระบบศักดินาล่มสลายลง และช็อคโกแลตก็เข้าถึงประชาชนทั่วไปมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบว่า ช็อคโกแลตสามารถรักษาอาการเกี่ยวกับช่องท้องได้ทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น</span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\"><span style=\"font-size: medium\"><strong><u>ชนิดของช็อคโกแลต</u></strong></span><br />\n           ช็อคโกแลตในโลกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ชนิดเดียว แต่มีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีรสชาดและความหอมหวานที่แตกต่างกันไป รวมทั้งสีก็ต่างกันในแต่ละชนิด มีทั้งที่เป็นสีน้ำตาลอย่างที่เราคุ้นเคยกันอยู่ และสีขาวที่ไม่น่าจะเป็นสีช็อคโกแลต แต่ก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองมาดูกันซิว่าช็อคโกแลตมีอะไรบ้าง จะน่ากินแค่ไหน<br />\nChocolate Liquor เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ น้ำช็อคโกแลตนี้สามารถทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อคโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ไม่หวาน น้ำช็อคโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัทเตอร์ประมาณ 53%<br />\nSemi-Sweet (แบบหวานน้อย) ช็อคโกแลตชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่ cocoa butter ลงไปด้วย สีของช็อคโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อคโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27%<br />\nMilk Chocolate (ช็อคโกแลตนม) ช็อคโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter , นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาดลงไปด้วย ช็อคโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อคโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อคโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%<br />\nSweet Chocolate (ช็อคโกแลตชนิดหวาน) ช็อคโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อคโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อคโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อคโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่าๆ กับช็อคโกแลตแบบหวานน้อย<br />\nWhite Chocolate ช็อคโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล , cocoa butter , นมสด และ ใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย White chocolate นี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter <br />\nLiquid Chocolate เป็นช็อคโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวดๆ ละ 1ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter ซึ่งเนื้อช็อคโกแลตจะแตกต่างกัน ปกติแล้วช็อคโกแลตชนิดนี้จะมีรสไม่หวาน<br />\nCouverture ช็อคโกแลตชนิดนี้เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือจะเป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของ cocoa butter อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้านที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อคโกแลตอยู่ <br />\nGanache ช็อคโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก เป็นที่นิยมนำไปทำเค้กช็อคโกแลต Ganache ทำโดยการหั่นช็อคโกแลตและใส่วิปปิ้งลงไปตีในครีมร้อนๆ ผสมกันจนช็อคโกแลตละลายและส่วนผสมข้นและแข็งขึ้น <br />\nConfectionery Coating (เคลือบลูกกวาด) เป็นช็อคโกแลตที่ไว้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาดต่างๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของ cocoa butter เหมือนชนิดอื่นๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้</span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"font-size: medium; color: #660000; font-family: tahoma,arial,helvetica,sans-serif\"><strong><u>เมนูช็อคโกแลต</u></strong></span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\"><strong>                                                บราวนี่(Brownies)</strong></span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\"><strong></strong><br />\n<strong>ส่วนผสม</strong><br />\nช็อคโกแลตที่ไม่หวาน 120 กรัม <br />\nแป้งสาลี 1/2 ถ้วยตวง <br />\nกลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา <br />\nเนยจืด 5 ช้อนโต๊ะ <br />\nน้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง <br />\nถั่ววอลนัท (Walnut) 1/2 ถ้วยตวง <br />\nไข่ไก่ 2 ฟอง เกลือ 1 หยิบมือ</span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<br />\n<span style=\"color: #660000\"><strong>วิธีทำ<br />\n</strong>1. เตรียมเปิดเตาอบให้ร้อนไว้ก่อนที่อุณหภูมิ 175-180 องศาเซลเซียส และนำถาดอบที่มีขนาด9x9นิ้วทาภายในด้วยเนย และตัดกระดาษไขวางให้พอดีกับก้นของถาดอบ <br />\n2. นำช็อคโกแลต และเนยมาผสมกัน ใส่หม้อตุ๋นสองชั้น ชั้นล่างใส่น้ำ ตุ๋นจนละลาย <br />\n3. ในอีกภาชนะหนึ่ง นำไข่กับน้ำตาลมาตีให้ฟู จนเป็นสีเหลืองอ่อน เมื่อฟูแล้วนำส่วนผสมช็อคโกแลตและเนย ค่อยๆเทลงไปผสมกับไข่ และน้ำตาล จนหมด <br />\n4. ค่อยๆ เทแป้งที่ร่อนแล้วลงไปในชาม กับไข่ น้ำตาล เนย และช็อคโกแลต ผสมให้เข้ากันแล้วเติมถั่วลงไปครึ่งหนึ่ง ใส่กลิ่นวานิลลา และเกลือลงไป <br />\n5. เมื่อผสมทุกอย่างเข้ากันแล้วเทส่วนผสมนี้ลงไปในถาดขูดก้นชามผสมให้ส่วนผสม ลงไปในถาดอบมากที่สุดนำถั่วที่เหลือมาโรยหน้าเค้ก แล้วนำไปอบที่ชั้นกลางของเตาอบ 25 นาทีหรือจนกว่าจะสุก นำถาดนี้ออก พักไว้ในถาดจนกระทั่งเย็น แล้วจึงเคาะออก หรือตักรับประทาน </span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<br />\n<span style=\"color: #660000\">  </span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\"><strong><u><span style=\"font-size: medium\">ประโยชน์ของช็อคโกแลต</span></u></strong><br />\nนอกเหนือไปจากเป็นของหวานยอดนิยมของสาวๆ แล้ว ช็อคโกแลตยังจัดเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของวันวาเลนไทน์แสนหวานในทุกๆ ปี ควบคู่ไปกับดอกกุหลาบสีสวย ทั้ง 2 อย่างต่างถูกนำมาใช้เป็นสื่อแทนความในใจของหนุ่มสาวทั่วโลก กระนั้น ช็อคโกแลตก็นับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของสาวๆ ด้วยเหมือนกัน แม้ว่าจะวิจัยกันแล้วว่าของหวานประเภทนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักในการเกิดสิวเสียหน่อย แต่ผู้หญิงจำนวนมากก็ยังเชื่อมั่นว่าช็อคโกแลต = ความอ้วนซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาสำหรับสาวเชฟงามทั้งหลาย ทว่า เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผลการวิจัยอีกกระแสระบุว่า ช็อคโกแลตมีประโยชน์มากกว่าที่คิด กล่าวก็คือในผงช็อคโกแลตดำและผงโกโก้ที่นำมาทำขนมนั้น จะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอล ตัวที่มีประโยชน์และทำให้คอเลสเตอรอลที่เป็นอันตรายลดการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนซึ่งแปลว่าจะช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าต้องบริโภคช็อคโกแลตเป็นประจำในปริมาณพอสมควรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการทดลองและวิจัยพบอีกว่า ผู้ที่ดื่มนมช็อคโกแลต เป็นประจำทุกวันนั้น ไม่มีปริมาณคอเลสเตอรอลที่เป็นอันตรายเพิ่มขึ้น<br />\nทั้งที่บริโภคไขมัน (จากนม) เข้าไปเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ช็อคโกแลตยังอุดมไปด้วยสารเคมีที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายใจ สดชื่นและมีความสุข เช่น เซโรโทนินและเอนดอร์ฟิน ก็แปลว่าช็อคโกแลตมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าที่คาดไว้ ทีนี้ สาวๆ ที่เป็นช็อคโกแลต เลิฟเวอร์ส ทั้งหลายจะได้กินช็อคโกแลตกันอย่างสบายใจและสบายปากมากขึ้น โดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือกลัวอ้วนมากจนเกินเหตุเสียที อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า ในช็อคโกแลตสำเร็จรูปที่วางขายกันทั่วไปนั้น มีการแต่งกลิ่นและสีรวมทั้งเพิ่มน้ำตาลเข้าไปไม่น้อยเพื่อให้ขนมมีรสหวานมากๆ และการรับประทานช็อคโกแลตจำนวนมากๆ บ่อยๆ ก็เท่ากับว่าเราได้รับน้ำตาลมากเกินควร ซึ่งทำให้เกิดโรคนานาชนิดได้เช่นกัน ทางเลี่ยงก็คือลดปริมาณการทานลง เลือกรับประทานช็อคโกแลตแบบไม่หวาน หรืออาจดูที่ส่วนผสมว่ามีปริมาณน้ำตาลเกินสมควรหรือไม่</span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\"><strong><u><span style=\"font-size: medium\">ความลับของช็อคโกแลต</span></u></strong> </span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\">            มีข้อกล่าวหามากมายเกี่ยวกับช็อคโกแลต อีกทั้งความเชื่อผิดๆ ที่ว่าช็อคโกแลตเป็นบ่อเกิดของสิว เพราะจริงๆ แล้วการเกิดสิวนั้น ไม่มีผลมาจากการรับประทานอาหารชนิดใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า ช็อคโกแลตมีคาเฟอีนนั้น จริงๆ แล้ว มีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้นค่ะ โดยอัตราส่วนช็อคโกแลต 1.4 ออนซ์ จะมีคาเฟอีนแทรกอยู่เพียง 6 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับจำนวนของ คาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟแบบดีแคฟค่ะ และสำหรับไวท์ ช็อคโกแลตนั้น ไม่มีคาเฟอีนอยู่เลยค่ะ </span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\">      โดยรวมๆ แล้วช็อคโกแลตสามารถเรียกได้ว่า เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ อย่างดีทีเดียวนะคะ เพราะในต่างประเทศ ได้มีการพิสูจน์แล้วว่า สารประกอบในช็อคโกแลต มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดมะเร็งและลดอัตราการเกิดโรคหัวใจค่ะ เพราะในตัวช็อคโกแลตนั้น มีสารที่ชื่อว่า ฟีโนลิค อยู่ในปริมาณสูงฟีโนลิค เป็นสารซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือดค่ะ ที่สำคัญยังช่วยให้แก่ช้าได้อีกด้วยหล่ะค่ะ <br />\nสาวๆ คะ กรุณาอย่าข้ามย่อหน้านี้ค่ะ รู้ไหมว่าช็อคโกแลตนั้น สามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์ต่อมรักได้ด้วยนะคะ ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วช็อคโกแลตมักมีเอี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อยู่เสมอไม่ใช่แค่เพียง การมอบช็อคโกแลตให้กัน ในวันวาเลนไทน์เท่านั้น แต่มีเรื่องเล่าขานกันมาว่า นายมองเตชูมา นักรบผู้พิชิตแห่งเสปน มักจะดื่มช็อคโกแลตเป็นประจำเสมอ ก่อนไปหาเหล่าภรรยา(หลายคน) ของเขาค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อให้ช่วยกระตุ้นอารมณ์รัก อย่างที่บอกยังไงล่ะคะ เป็นเรื่องจริงที่ว่า ช็อคโกแลตทำให้อยากมีเซ็กส์มากขึ้นค่ะ เพราะในช็อคโกแลตมีสารกระตุ้น ที่มีผลต่อหัวใจและระบบประสาทเมื่อรับประทานช็อคโกแลต หัวใจจะเต้นแรงขึ้น รู้สึก hyper บางทีรู้สึกคึกคัก อยากกระโดดโลดเต้น อาจจะมึนนิดๆ นี่แหละค่ะ เป็นตัวที่จะไปกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาที่ค้างคาอยู่ให้โหมขึ้นไงล่ะคะ อีกทั้งเคยมีคนพูดว่า อารมณ์ตอนทานช็อคโกแลตนั้น เหมือนอารมณ์ตอนตกหลุมรักค่ะ เพราะร่างกายเราจะหลั่งสารชนิดเดียวกันออกมา มีข้อต่างกันก็ตรงที่ เราหาซื้อความรักไม่ได้ แต่เราสามารถหาซื้อช็อคโกแลตได้ ถ้ามีร้านค้าอยู่ใกล้ๆค่ะ </span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\"></span>\n</p>\n<p align=\"justify\">\n<span style=\"color: #660000\"></span>\n</p>\n<p></p></span></span></span></span>\n</div>\n', created = 1716124452, expire = 1716210852, headers = '', serialized = 0 WHERE cid = '3:fd7e54490b70c93c9c3bd40bd016c7bf' in /home/tgv/htdocs/includes/cache.inc on line 112.

Chocolate

ห้ามลบ ขอให้เจ้าของผลงานประกวด แก้ไขข้อมูลได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 23.30 น.
หากเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ท่านเข้ามาแก้ไขข้อมูล ถือว่าโมฆะในการพิจารณาได้รับรางวัล
ซึ่งระบบของ Thaigoodview สามารถตรวจสอบได้ว่า ผลงานแต่ละชิ้น มีการแก้ไขเวลาใดบ้าง

ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล

Chocolate 

        The  Aztecs of Mexico knew about chocolate a long time ago. They made it into a drink. Sometimes they put hot chill peppers with the chocolate. They called the drink xocoatl, which means “bitter juice.” This is where the word chocolate comes from.
        The Spanish went to Mexico and took the drink from the land of the Aztecs back to spain. The Spanish didn’t like peppers, so they added sugar. They drink became very popular in Europe. People added different things like eggs to the chocolate drink. But everybody’s favorite was chocolate in milk instead of water.
       There was still no hard chocolate until around 1850. Then the British made the first chocolate bar. Twenty-five years later, two men in Switzerland mixed milk with the hard chocolate. Milk chocolate soon become a favorite all over the world.
 Is chocolate good for you? For hundreds of year, people thought that chocolate was good for health. Doctors told people to have a chocolate drink for headaches and many other problems. Today, there is good news for chocolate lovers. Scientists think that a little bit of chocolate is good for you! It gives you energy and has vitamins to keep your body healthy.
        The Aztecs believed that chocolate made you intelligent. Today, we do not believe this. But chocolate has a special chemical called phenylethylamine. This is
The same chemical the body makes when a person is in love. Which do you prefer—eating chocolate or being in love?

ตำนานช็อคโกแลต
          ช็อคโกแลตของหวานแสนอร่อยและกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เคียงข้างไปกับดอกกุหลาบช่อโต สำหรับของขวัญวันวาเลนไทน์จากคนรักสู่คนรักนั้นมีความเป็นมาอย่างไร ประวัติยาวไกลหลายหมื่นลี้ค่ะ มีมานานมากแล้ว ถ้าเปรียบเทียบแบบไทยๆ เราก็คงเรียกว่า ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาโน่นเลยแหละค่ะ "ช็อคโกแลต" ค้นพบครั้งแรกเมื่อ 4000 ปีที่แล้ว ในอาณาจักร Aztec และ Maya ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ผสมขึ้นมาจากเมล็ดของต้นโกโก้ และเรียกชื่อว่า Cocoatl ซึ่งEmperor Montezuma นิยามว่าเป็น เครื่องดื่มจากสรวงสวรรค์เลยทีเดียว เมื่อปี 1528 เป็นปีที่สเปนมีชัยชนะต่ออาณาจักร Aztec และ Maya จึงได้นำ Cocoatl กลับไปยังสเปนด้วยและเรียกชื่อใหม่ว่า cho-co-LAH-tay และในปี 1615 ช็อคโกแลตก็ได้เผยโฉมต่อสังคมของอายรธรรมใหม่ครั้งแรก ในงานสมรสของเชื้อพระวงศ์แห่งฝรั่งเศสและจากนั้นก็จึงแพร่หลายเข้าสู่อังกฤษในเวลาต่อมาในปี 1765 ช็อคโกแลตได้เดินทางไกลอีกครั้งไปสู่สหรัฐอเมริกาโดยการชักนำเข้าสู่วงการของ John Hanan ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก Dr. James Baker ในด้านการวิจัยและการผลิต ไม่นานโรงงานผลิตช็อคโกแลตก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอเมริกานั่นเอง ในช่วงแรกๆ นั้นผู้ที่จะได้ลิ้มรสช็อคโกแลตจะเป็นเพียงผู้สูงศักดิ์หรือ ระดับเศรษฐีเท่านั้นเพราะว่าราคาแพงมากและถือเป็นของหายากชนิดหนึ่ง แต่เมื่อเข้ามาสู่ยุคอารยธรรมใหม่ มีการปฏิวัติในฝรั่งเศสทำให้ระบบศักดินาล่มสลายลง และช็อคโกแลตก็เข้าถึงประชาชนทั่วไปมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์ค้นพบว่า ช็อคโกแลตสามารถรักษาอาการเกี่ยวกับช่องท้องได้ทำให้เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น

ชนิดของช็อคโกแลต
           ช็อคโกแลตในโลกนี้ไม่ได้มีอยู่แค่ชนิดเดียว แต่มีอยู่มากมายหลายชนิด แต่ละชนิดก็มีรสชาดและความหอมหวานที่แตกต่างกันไป รวมทั้งสีก็ต่างกันในแต่ละชนิด มีทั้งที่เป็นสีน้ำตาลอย่างที่เราคุ้นเคยกันอยู่ และสีขาวที่ไม่น่าจะเป็นสีช็อคโกแลต แต่ก็อร่อยไม่แพ้กัน ลองมาดูกันซิว่าช็อคโกแลตมีอะไรบ้าง จะน่ากินแค่ไหน
Chocolate Liquor เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ น้ำช็อคโกแลตนี้สามารถทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อคโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ไม่หวาน น้ำช็อคโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัทเตอร์ประมาณ 53%
Semi-Sweet (แบบหวานน้อย) ช็อคโกแลตชนิดนี้อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่ cocoa butter ลงไปด้วย สีของช็อคโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อคโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27%
Milk Chocolate (ช็อคโกแลตนม) ช็อคโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter , นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาดลงไปด้วย ช็อคโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อคโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อคโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%
Sweet Chocolate (ช็อคโกแลตชนิดหวาน) ช็อคโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อคโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อคโกแลตอย่างน้อย 15 % ช็อคโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่าๆ กับช็อคโกแลตแบบหวานน้อย
White Chocolate ช็อคโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของ cocoa butter แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล , cocoa butter , นมสด และ ใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย White chocolate นี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter
Liquid Chocolate เป็นช็อคโกแลตที่ไม่หวาน ส่วนใหญ่จะบรรจุขายเป็นขวดๆ ละ 1ออนซ์ และเนื่องจากมันไม่ละลายจึงสะดวกในการใช้มาก โดยพัฒนาขึ้นมาสำหรับใช้ทำขนมอบ อย่างไรก็ดีเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำมันพืชมากกว่า cocoa butter ซึ่งเนื้อช็อคโกแลตจะแตกต่างกัน ปกติแล้วช็อคโกแลตชนิดนี้จะมีรสไม่หวาน
Couverture ช็อคโกแลตชนิดนี้เป็นชนิดที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือจะเป็นมันเงา โดยปกติจะมีส่วนผสมของ cocoa butter อย่างน้อยที่สุด 32% ทำให้มันสามารถคงตัวอยู่ในรูปของไขได้ดีกว่าชนิดเคลือบ ปกติแล้วจะใช้เฉพาะในร้านที่ทำขนมหวานเท่านั้น ส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรูปของส่วนที่เคลือบอยู่ภายนอกผลไม้หรือหุ้มไส้ช็อคโกแลตอยู่
Ganache ช็อคโกแลตชนิดนี้จะมีลักษณะข้นมาก เป็นที่นิยมนำไปทำเค้กช็อคโกแลต Ganache ทำโดยการหั่นช็อคโกแลตและใส่วิปปิ้งลงไปตีในครีมร้อนๆ ผสมกันจนช็อคโกแลตละลายและส่วนผสมข้นและแข็งขึ้น
Confectionery Coating (เคลือบลูกกวาด) เป็นช็อคโกแลตที่ไว้เคลือบลูกกวาด โดยนำไปผสมกับน้ำตาล นมผง น้ำมันพืช และสารปรุงแต่งรสชาดต่างๆ มีสีสันหลากหลาย ลูกกวาดที่ได้นี้ผงโกโก้จะมีไขมันต่ำ แต่จะไม่มีส่วนผสมของ cocoa butter เหมือนชนิดอื่นๆ จึงแยกออกมาเป็นอีกประเภทหนึ่งได้

เมนูช็อคโกแลต

                                                บราวนี่(Brownies)


ส่วนผสม
ช็อคโกแลตที่ไม่หวาน 120 กรัม
แป้งสาลี 1/2 ถ้วยตวง
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
เนยจืด 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
ถั่ววอลนัท (Walnut) 1/2 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 2 ฟอง เกลือ 1 หยิบมือ


วิธีทำ
1. เตรียมเปิดเตาอบให้ร้อนไว้ก่อนที่อุณหภูมิ 175-180 องศาเซลเซียส และนำถาดอบที่มีขนาด9x9นิ้วทาภายในด้วยเนย และตัดกระดาษไขวางให้พอดีกับก้นของถาดอบ
2. นำช็อคโกแลต และเนยมาผสมกัน ใส่หม้อตุ๋นสองชั้น ชั้นล่างใส่น้ำ ตุ๋นจนละลาย
3. ในอีกภาชนะหนึ่ง นำไข่กับน้ำตาลมาตีให้ฟู จนเป็นสีเหลืองอ่อน เมื่อฟูแล้วนำส่วนผสมช็อคโกแลตและเนย ค่อยๆเทลงไปผสมกับไข่ และน้ำตาล จนหมด
4. ค่อยๆ เทแป้งที่ร่อนแล้วลงไปในชาม กับไข่ น้ำตาล เนย และช็อคโกแลต ผสมให้เข้ากันแล้วเติมถั่วลงไปครึ่งหนึ่ง ใส่กลิ่นวานิลลา และเกลือลงไป
5. เมื่อผสมทุกอย่างเข้ากันแล้วเทส่วนผสมนี้ลงไปในถาดขูดก้นชามผสมให้ส่วนผสม ลงไปในถาดอบมากที่สุดนำถั่วที่เหลือมาโรยหน้าเค้ก แล้วนำไปอบที่ชั้นกลางของเตาอบ 25 นาทีหรือจนกว่าจะสุก นำถาดนี้ออก พักไว้ในถาดจนกระทั่งเย็น แล้วจึงเคาะออก หรือตักรับประทาน


 

ประโยชน์ของช็อคโกแลต
นอกเหนือไปจากเป็นของหวานยอดนิยมของสาวๆ แล้ว ช็อคโกแลตยังจัดเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของวันวาเลนไทน์แสนหวานในทุกๆ ปี ควบคู่ไปกับดอกกุหลาบสีสวย ทั้ง 2 อย่างต่างถูกนำมาใช้เป็นสื่อแทนความในใจของหนุ่มสาวทั่วโลก กระนั้น ช็อคโกแลตก็นับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของสาวๆ ด้วยเหมือนกัน แม้ว่าจะวิจัยกันแล้วว่าของหวานประเภทนี้ไม่ใช่สาเหตุหลักในการเกิดสิวเสียหน่อย แต่ผู้หญิงจำนวนมากก็ยังเชื่อมั่นว่าช็อคโกแลต = ความอ้วนซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาสำหรับสาวเชฟงามทั้งหลาย ทว่า เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผลการวิจัยอีกกระแสระบุว่า ช็อคโกแลตมีประโยชน์มากกว่าที่คิด กล่าวก็คือในผงช็อคโกแลตดำและผงโกโก้ที่นำมาทำขนมนั้น จะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอล ตัวที่มีประโยชน์และทำให้คอเลสเตอรอลที่เป็นอันตรายลดการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนซึ่งแปลว่าจะช่วยลดการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ทั้งนี้มีข้อแม้ว่าต้องบริโภคช็อคโกแลตเป็นประจำในปริมาณพอสมควรเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการทดลองและวิจัยพบอีกว่า ผู้ที่ดื่มนมช็อคโกแลต เป็นประจำทุกวันนั้น ไม่มีปริมาณคอเลสเตอรอลที่เป็นอันตรายเพิ่มขึ้น
ทั้งที่บริโภคไขมัน (จากนม) เข้าไปเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ช็อคโกแลตยังอุดมไปด้วยสารเคมีที่ทำให้ร่างกายรู้สึกสบายใจ สดชื่นและมีความสุข เช่น เซโรโทนินและเอนดอร์ฟิน ก็แปลว่าช็อคโกแลตมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าที่คาดไว้ ทีนี้ สาวๆ ที่เป็นช็อคโกแลต เลิฟเวอร์ส ทั้งหลายจะได้กินช็อคโกแลตกันอย่างสบายใจและสบายปากมากขึ้น โดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือกลัวอ้วนมากจนเกินเหตุเสียที อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ลืมว่า ในช็อคโกแลตสำเร็จรูปที่วางขายกันทั่วไปนั้น มีการแต่งกลิ่นและสีรวมทั้งเพิ่มน้ำตาลเข้าไปไม่น้อยเพื่อให้ขนมมีรสหวานมากๆ และการรับประทานช็อคโกแลตจำนวนมากๆ บ่อยๆ ก็เท่ากับว่าเราได้รับน้ำตาลมากเกินควร ซึ่งทำให้เกิดโรคนานาชนิดได้เช่นกัน ทางเลี่ยงก็คือลดปริมาณการทานลง เลือกรับประทานช็อคโกแลตแบบไม่หวาน หรืออาจดูที่ส่วนผสมว่ามีปริมาณน้ำตาลเกินสมควรหรือไม่

ความลับของช็อคโกแลต

            มีข้อกล่าวหามากมายเกี่ยวกับช็อคโกแลต อีกทั้งความเชื่อผิดๆ ที่ว่าช็อคโกแลตเป็นบ่อเกิดของสิว เพราะจริงๆ แล้วการเกิดสิวนั้น ไม่มีผลมาจากการรับประทานอาหารชนิดใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า ช็อคโกแลตมีคาเฟอีนนั้น จริงๆ แล้ว มีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้นค่ะ โดยอัตราส่วนช็อคโกแลต 1.4 ออนซ์ จะมีคาเฟอีนแทรกอยู่เพียง 6 มิลลิกรัม ซึ่งเท่ากับจำนวนของ คาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟแบบดีแคฟค่ะ และสำหรับไวท์ ช็อคโกแลตนั้น ไม่มีคาเฟอีนอยู่เลยค่ะ

      โดยรวมๆ แล้วช็อคโกแลตสามารถเรียกได้ว่า เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ อย่างดีทีเดียวนะคะ เพราะในต่างประเทศ ได้มีการพิสูจน์แล้วว่า สารประกอบในช็อคโกแลต มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดมะเร็งและลดอัตราการเกิดโรคหัวใจค่ะ เพราะในตัวช็อคโกแลตนั้น มีสารที่ชื่อว่า ฟีโนลิค อยู่ในปริมาณสูงฟีโนลิค เป็นสารซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และป้องการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือดค่ะ ที่สำคัญยังช่วยให้แก่ช้าได้อีกด้วยหล่ะค่ะ
สาวๆ คะ กรุณาอย่าข้ามย่อหน้านี้ค่ะ รู้ไหมว่าช็อคโกแลตนั้น สามารถช่วยกระตุ้นอารมณ์ต่อมรักได้ด้วยนะคะ ตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้วช็อคโกแลตมักมีเอี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อยู่เสมอไม่ใช่แค่เพียง การมอบช็อคโกแลตให้กัน ในวันวาเลนไทน์เท่านั้น แต่มีเรื่องเล่าขานกันมาว่า นายมองเตชูมา นักรบผู้พิชิตแห่งเสปน มักจะดื่มช็อคโกแลตเป็นประจำเสมอ ก่อนไปหาเหล่าภรรยา(หลายคน) ของเขาค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อให้ช่วยกระตุ้นอารมณ์รัก อย่างที่บอกยังไงล่ะคะ เป็นเรื่องจริงที่ว่า ช็อคโกแลตทำให้อยากมีเซ็กส์มากขึ้นค่ะ เพราะในช็อคโกแลตมีสารกระตุ้น ที่มีผลต่อหัวใจและระบบประสาทเมื่อรับประทานช็อคโกแลต หัวใจจะเต้นแรงขึ้น รู้สึก hyper บางทีรู้สึกคึกคัก อยากกระโดดโลดเต้น อาจจะมึนนิดๆ นี่แหละค่ะ เป็นตัวที่จะไปกระตุ้นอารมณ์ปรารถนาที่ค้างคาอยู่ให้โหมขึ้นไงล่ะคะ อีกทั้งเคยมีคนพูดว่า อารมณ์ตอนทานช็อคโกแลตนั้น เหมือนอารมณ์ตอนตกหลุมรักค่ะ เพราะร่างกายเราจะหลั่งสารชนิดเดียวกันออกมา มีข้อต่างกันก็ตรงที่ เราหาซื้อความรักไม่ได้ แต่เราสามารถหาซื้อช็อคโกแลตได้ ถ้ามีร้านค้าอยู่ใกล้ๆค่ะ

สร้างโดย: 
กาญจนา นาชัยเริ่ม

มหาวิทยาลัยศรีปทุม ผู้ใหญ่ใจดี
 

 ช่วยด้วยครับ
นักเรียนที่สร้างบล็อก กรุณาอย่า
คัดลอกข้อมูลจากเว็บอื่นทั้งหมด
ควรนำมาจากหลายๆ เว็บ แล้ววิเคราะห์ สังเคราะห์ และเขียนขึ้นใหม่
หากคัดลอกทั้งหมด จะถูกดำเนินคดี
ตามกฎหมายจากเจ้าของลิขสิทธิ์
มีโทษทั้งจำคุกและปรับในอัตราสูง

ช่วยกันนะครับ 
ไทยกู๊ดวิวจะได้อยู่นานๆ 
ไม่ถูกปิดเสียก่อน

ขอขอบคุณในความร่วมมือครับ

อ่านรายละเอียด

ด่วน...... ขณะนี้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 
มีผลบังคับใช้แล้ว 
ขอให้นักเรียนและคุณครูที่ใช้งาน
เว็บ thaigoodview ในการส่งการบ้าน
ระมัดระวังการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย
อ่านรายละเอียดที่นี่ครับ

 

สมาชิกที่ออนไลน์

ขณะนี้มี สมาชิก 0 คน และ ผู้เยี่ยมชม 263 คน กำลังออนไลน์