เนื่องจากเกษตรกรรมมีความสำคัญต่อจักรวรรดิเป็นอย่างมาก ดังนั้นเกษตรกรจึงมีความสำคัญและได้รับความคุ้มครองจากรัฐ ทั้งนี้เพราะรัฐต้องการส่งเสริมการผลิตทางการเกษตรให้ได้ผลผลิตสูง เพื่อจะได้เรียกเก็บภาษีจากเกษตรกรให้ได้มากที่สุด เพราะรายได้จากภาษีเป็นรายได้หลักของจักรวรรดิ ส่วนใหญ่การทำไร่ทำนาในจักรวรรดิไบแซนไทน์เป็นการทำไร่นาขนาดใหญ่ มีขุนนางและพระเป็นเจ้าของที่ดิน และมีชาวนาทำงานอยู่ภายใต้การควบคุมและคุ้มครองของเจ้าของที่ดิน ดังนั้นการเพาะปลูกในแมนเนอร์มีวิธีการเพาะปลูก 2 วิธีการ คือ
1.ระบบนา 2 ทุ่ง (Two – Field System) ด้วยวิธีการแบ่งที่ดินเพื่อการเพาะปลูกออกเป็น 2 ทุ่ง ปีแรกทำการเพาะปลูกเพียงทุ่งเดียว ส่วนอีกทุ่งหนึ่งพักไว้และใช้เป็นทุ่งเลี้ยงปศุสัตว์ สำหรับปีต่อไปก็จะทำการเพาะปลูกในทุ่งที่พักไว้ และพักทุ่งที่ใช้ปีที่แล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกๆ ปี
2.ระบบนา 3 ทุ่ง (Three – Field System) เป็นการถือครองที่ดินในลักษณะวิเลนเนเจี้ยม (Villenagium) หมายถึงที่ดินของขุนนางที่ให้ชาวนาและทาสติดที่ดินไปทำกัน นับเป็นส่วนที่ไม่ค่อยจะอุดมสมบูรณ์ จึงต้องมีการแบ่งทำการเพาะปลูกในระบบที่เรียกว่า Three – Field System คือ แบ่งที่นาออกเป็น 3 ส่วน กล่าวคือ ในปีแรกจะทำนาเพียงแปลงที่ 1 และแปลงที่ 2 คือ แปลงฤดูใบไม้ผลิและแปลงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น เก็บแปลงที่ 3 (แปลงที่ได้ไถเอาไว้ก่อน) ต่อมาจะทำนาในแปลงที่ 2 และแปลงที่ 3 (คือ แปลงฤดูใบไม้ร่วง และแปลงที่ได้ไถเอาไว้) โดยเก็บแปลงที่ 1 (แปลงฤดูใบไม้ผลิ) เอาไว้ผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แปลงส่วนที่ทิ้งเอาไว้ใช้ปลูกพืชชนิดอื่นบำรุงดินเอาไว้ จะช่วยทำให้ดินไม่จืด อุดมด้วยอาหารพืช ดังนั้นในการทำการเกษตรในสมัยกลางไม่มีการใช้ปุ๋ยกันอย่างแพร่หลาย บางทีก็ทิ้งดินไว้เฉยๆ จะเป็นการเปิดโอกาสให้สัตว์ที่เลี้ยงไว้จะเข้าไปถ่ายมูลไว้จะกลายเป็นปุ๋ย ซึ่งในสมัยนี้เรียกว่าปุ๋ยคอก วิธีการทำนาแบบนี้เริ่มในยุโรปตะวันตกราวๆ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 วิธีการทำนาในแมนเนอร์ใช้ระบบนาเปิด (Open Field System) คือ การที่ขุนนาง (Lord) แบ่งที่ดินที่เป็น ทรัพย์สินของตนให้ชาวนาทำการเพาะปลูกในพื้นที่นาที่ไม่มีการล้อมรั้ว แต่อาจจะมีก้อนอิฐวางไว้ หรือต้นหญ้าปลูกไว้เป็นเส้นแบ่งเขต ชาวนาแต่ละคนจะมีที่นาคนละ 30 เอเคอร์ต่อมาชาวนาได้เปลี่ยนสภาพมาเป็นทาสติดที่ดิน (Serf) มากขึ้น จะต้องทำงานรับใช้ขุนนางตามส่วน คือ ต้องทำงานให้ขุนนางสัปดาห์ละสองวันหรือสามวัน งานที่ทำรับใช้ขุนนาง ได้แก่ การไถนาในไร่ดีมินส์ การหว่านข้าว การเก็บเกี่ยว การตัดไม้ การตัดฟอกขนแกะ การซ่อมแซมรั้ว และงานอื่นๆ วันที่เหลือทาสติดที่ดินยังต้องทำงานส่วนตัวเพื่อเลี้ยงชีพของตนเอง เช่น เป็นกรรมกรรับจ้าง เป็นช่างฝีมือดีเยี่ยมของแมนเนอร์และเป็นผู้ผลิตสินค้าต่างๆ เพื่อใช้ในแมนเนอร์เอง และขายไปยังแมนเนอร์อื่นๆ
สร้างโดย:
น.ส.อนุสรา เส็งเล็ก เลขที่28 ชั้น ม.6/3 โรงเรียนศีลาจารพิพัฒน์
แหล่งอ้างอิง:
http://econ.bu.ac.th/paper/EC213/1-2.doc
ตรวจแล้ว