เศรษฐกิจยุโรปสมัยกลางตอนปลาย
ในช่วงยุคกลางตอนปลาย บ้านเมืองสงบ การรุกรานและปล้นสะดมจากศัตรูภายนอกถูกปราบปรามลง การค้าจึงเริ่มฟื้นตัวขึ้นในยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองเวนิส และเจนัวในอิตาลี และในดินแดนแฟลนเดอร์ (Flanders) พ่อค้าเริ่มเดินทางค้าขายระหว่างแหล่งการค้าต่างๆ มีการสร้างถนนหนทางและสะพาน การค้าทางทะเลก็ก้าวหน้าควบคู่ไปกับการค้าทางบก มีการตั้งศูนย์กลางการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลเหนือ และทะเลบอลติค สินค้าต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาในยุโรป เช่น ผ้าไหม ข้าว ผลมะเดื่อ ฝ้าย เครื่องเทศ และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ การค้นพบเหมืองทองและเงินในยุโรปภาคกลาง ในช่วงระยะเวลานี้ทำให้มีการผลิตเหรียญกษาปณ์ใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้การค้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความเจริญรุ่งเรืองทางการค้าทำให้บรรดาพ่อค้ามั่งคั่งร่ำรวย มีอำนาจในทางเศรษฐกิจ มีบทบาททางสังคม และสามารถขยายอำนาจของตนสู่การเมือง การปกครองในระยะต่อมา ความก้าวหน้าทางการค้าทำให้สภาพทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เริ่มเกิดชุมชนเมืองซึ่งประกอบด้วยพ่อค้าและผู้ผลิตสินค้าหัตถกรรม นอกจากนี้บรรดาชาวนาและทาสติดที่ดิน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นก็พากันทิ้งที่นาออกมาตั้งหลักแหล่งกันตามชุมชนเมือง ทำอาชีพต่างๆ เช่น เป็นพ่อค้าขายเนื้อสัตว์ เป็นช่างทำขนมปัง หรือผลิตสินค้าหัตถกรรม เป็นต้น
ชุมชนดังกล่าวขยายตัวอย่างรวดเร็วตามบริเวณรอบๆ เมืองเก่าซึ่งซบเซาไปในช่วงระยะที่ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ครอบคลุมไปทั่วยุโรป มีตลาดอันเป็นศูนย์กลางของเมืองเหล่านี้เรียกว่า Faubourg ส่วนตัวเมืองที่เป็นศูนย์กลางเรียก Bourg เป็นที่พำนักของชาวเมือง ส่วนบูร์จัวส์ (Bourgeois) หมายถึงคนเมือง หรือผู้อยู่ในเมือง จำนวนพลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมืองขนาดใหญ่มี 2-3 เมือง เช่น เมืองมิลาน เวนิส และปารีส มีพลเมืองประมาณ 1 ถึง 2 แสนคน ด้วยเหตุนี้พวกพ่อค้ารายใหญ่จึงมักมีโอกาสทำการค้าจากการขูดรีด และแสวงหาผลประโยชน์จากชาวเมือง เช่น กำหนดค่าแรงและราคาสินค้าเอง ให้กู้ยืมเงินเพื่อเก็บอัตราดอกเบี้ย มีบ้านในเมืองไว้ให้เช่า และนำเงินไปซื้อที่ดินตามชนบท พวกพ่อค้าเหล่านี้รวมกันบริหารเมืองและเรียกเก็บภาษีสูงจากชาวเมือง ดังนั้นในช่วงระยะเวลาที่เมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว ก็ปรากฏว่ามีการลุกฮือของชาวเมืองที่ยากจนเพื่อต่อต้านชาวเมืองที่มั่งคั่งร่ำรวย บรรดาชาวเมือง หรือ Bourgeois กลายเป็นชนชั้นอีกชนชั้นหนึ่งในสังคม ชนชั้นนี้มีความเป็นอิสระจะไปไหนมาไหนได้ตามสะดวกไม่ต้องทำงานติดที่ดินหรือขึ้นอยู่กับขุนนางเจ้าที่ดินเหมือนแต่ก่อน กล่าวคือ ชีวิตของชาวเมืองเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการค้าเป็นสำคัญ ถึงแม้ชาวเมืองจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น มีความสำคัญขึ้น มีความมั่งคั่งร่ำรวยจากการค้า และมีอิทธิพลอยู่ในเมือง แต่ยังมีฐานะไม่เท่าเทียมกับชนชั้นขุนนาง ซึ่งยังคงมีฐานะผู้นำทางสังคมอยู่
ถึงแม้ว่าปลายยุโรปสมัยกลางจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ที่ทำให้ยุโรปมีความเจริญก้าวหน้าไปสู่ระบบใหม่ดังได้กล่าวมาแล้ว แต่ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนั้น ชาวยุโรปก็ต้องประสบกับภัยพิบัติและความยากลำบากในเหตุการณ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ การเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง (The Great Famine) และเกิดกาฬโรคระบาด (The Black Death) การเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงในปี ค.ศ. 1315 – 1317 เกิดจากภาวะอากาศเลวร้าย การบุกเบิกที่ทำกินใหม่เป็นระยะเวลายาวนานในสมัยกลาง ทำให้เกิดการแห้งแล้งและฝนตก น้ำท่วมจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ พืชพันธุ์ธัญญาหารขาดแคลน คนอดอยากกันทั่วไป มีสถิติระบุว่า 10% ของคนในแฟลนเดอร์ตายในเวลา 6 เดือน เนื่องจากภาวะข้าวยากหมากแพง
ตรวจแล้ว