ดนตรีสากล
ห้ามลบ ขอให้เจ้าของผลงานประกวด แก้ไขข้อมูลได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 23.30 น.
หากเลยกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว ท่านเข้ามาแก้ไขข้อมูล ถือว่าโมฆะในการพิจารณาได้รับรางวัล
ซึ่งระบบของ Thaigoodview สามารถตรวจสอบได้ว่า ผลงานแต่ละชิ้น มีการแก้ไขเวลาใดบ้าง
ครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
เรื่อง ดนตรีสากล
ดนตรีสากล เป็นมารดกทางวัฒนธรรมของชาวตะวันตก เริ่มจากการที่ชาวยุโรปมีการบันทึกทำนองเพลงที่เป็นแบบแผนเดียวกันโดยใช้สัญลักษณะที่เรียกว่า โน้ตสากล และใช้กับเครื่องดนตรีสากลที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง
ดนตรีก่อเกิดเพราะการได้ยินเสียงจากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวของมนุษย์ มีการรับรู้ เลียนแบบ ศึกษาจังหวะ
ระดับเสียงความดัง-เบา ความกลมกลืนและแตกต่างของเสียงแต่ละประเภท จากใกล้ตัวที่สุดคือชีพจรการเต้นของหัวใจ
การเคลื่อนไหวร่างกายไปถึงเสียงจากธรรมชาติและสัตว์นานา
ดนตรีสากลหรือดนตรีตะวันตกมีพื้นฐานจากความมุ่งหวังไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า จากหลักปรัชญากรีกโบราณในราวช่วงปี 800
ก่อนคริสตกาล ที่เน้นความสำคัญของการสร้างร่างกายให้แข็งแรงด้วยการเล่นกีฬา และงดงามของจิตใจด้วยศิลปะ
บทกวี ดนตรี การละครและระบำรำฟ้อน เพื่อสร้างสรรค์ให้มนุษย์สมบูรณ์
ปี 585-479 ก่อนคริสตกาล ชาวกรีกชื่อ ปิธากอรัส คิดค้นทฤษฎีการเกิดเสียงขึ้นจากการคำนวณรอบการสั่นสะเทือน
ของสายเสียง ได้ข้อสรุปว่า "ถ้าสายสั้นกว่าจะได้เสียงที่สูงกว่า ถ้าสายยาวกว่าจะได้เสียงที่ต่ำกว่า" วิชาความรู้และ
แนวคิดนี้กระจายแพร่หลาย ชื่อเสียงปิธากอรัสเลื่องลือทั่วยุโรป
มีการจำแนกเครื่องดนตรีเป็น 4 ประเภท
1. เครื่องสาย-String ได้แก่ ไวโอลิน วิโอลา เชลโล ดับเบิลเบส พิณ กีตาร์ แบนโจ แมนโดลิน
บาลาไลกาสืบประวัติเครื่องตระกูลไวโอลินได้ว่ากำเนิดมาจากต้นตอคือ ซอรีเบ็คและซอวิแอล ซึ่งเป็นซอโบราณ
ในสมัยกลาง และซอลิราดาบรัชโช สมัยเรอเนซองซ์ ค.ศ.1600-1750 นับเป็นยุคทองของการประดิษฐ์
ไวโอลินที่ได้รับการดัดแปลงปรับปรุงจนมีคุณภาพสูงถึงขีดสุดยอด
2. เครื่องเป่าลมไม้ - Woodwind ได้แก่ ฟลุ้ต พิโคโล คลาริเน็ต โอโบ บาสซูน อิงลิชฮอร์น แซ็กโซโฟน
รีคอร์เดอร์ แพนไปพ์ ปี่สกอต ออร์แกน(แบบดั้งเดิม) หีบเพลงปาก ยกตัวอย่างฟลุ้ต เครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุด
พัฒนามาพร้อมกับอารยธรรมมนุษย์ แรกเริ่มทีเดียวมนุษย์ในยุคหินคงหากระดูกสัตว์หรือเขากวางเป็นท่อนกลวง
หรือไม่ก็ปล้องไม้ไผ่มาเจาะรูแล้วเป่าให้เกิดเสียงต่างๆ วัตถุเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่าลมไม้
3. เครื่องเป่าทองเหลือง - Brass ได้แก่ ทรัมเป็ต คอร์เนท เฟรนช์ฮอร์น ทรอมโบน ทูบา ซูซาโฟน ยูโฟเนียม
ยกตัวอย่าง ทรัมเป็ต ประวัติมาไกลถึงแถบเอเชียซึ่งปรากฏหลักฐานว่าชาวจีนเคยใช้แตรที่มีลักษณะคล้ายทรัมเป็ต
มานานกว่า 4,000 ปี ขณะชาวยุโรปใช้แตรที่มีลำโพงงอเป็นขอในกองทัพ สมัยโบราณยุโรปถือว่าทรัมเป็ต
เป็นของสูง ผู้ที่จะมีได้หากไม่ใช่พระเจ้าแผ่นดิน เจ้านาย ก็เป็นนักรบชั้นแม่ทัพ
4. เครื่องกระทบ - Percussion ได้แก่ กลองเล็ก กลองใหญ่ กลองเทเนอร์ กลองบองโก กลองทิมปานี ไชนีส
บ็อกซ์ กรับสเปน ฉาบ ไซไลโฟน ยกตัวอย่างกลองทิมปานี มีต้นกำเนิดแถวอาระเบีย ชาวอาหรับสมัยก่อนจะผูกกลอง 2
ลูกบนหลังอูฐ สำหรับตีประโคมเวลายกทัพออกศึกหรือยามเคลื่อนคาราวาน แขกมัวร์เป็นผู้นำกลองชนิดนี้เข้ายุโรป
กลายพันธุ์เป็นเครื่องดนตรีสากลด้วยประการฉะนั้น
เปียโน [Piano]
เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายในปลายคริสตศตวรรษที่18เสียงของเปียโนเกิดจากการสั่นสะเทือนของสาย
ที่ถูกฆ้อนเล็กๆตีสายซึ่งขึงอยู่ข้างในเมื่อผู้เล่นกดคีย์และเมือผู้เล่นยกนิ้วขึ้นสักหลาดชิ้นเล็กๆจะกลับ
ทาบลงบนสายทำให้หยุดความสั่นสะเทือนเสียงก็จะหยุด เปียโนสามารถทำให้เสียงยาวได้โดย
เหยียบ Pedalเปียโนมีช่วงเสียงกว้างมากสามารถเล่นให้มีเสียงดัง-เบาได้
ตามความแรงของนิ้วที่กดลงบนคีย์ ชื่อเรียกเต็มคือ เปียโนฟอร์เต้ (Piano-forte)
เป็นภาษาอิตาเลี่ยน หมายความว่าเล่นได้ทั้งเบาและดัง (piano แปลว่าเบา forte แปลว่าดัง)
ฮาร์พซิคอร์ด [Harpsichord]
เป็นต้นตระกูลของเปียโนนิยมเล่นกันแพร่หลายในคริสตศตวรรษ ที่ 16, 17 และ18มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
Claveein (ฝรั่งเศส) Clavicembalo (อิตาเลียน)และ Virginal (อังกฤษ)
มีคีย์คล้ายๆ เปียโนแต่โดยมากมักจะมี 2 ชั้นเสียงเกิดขึ้นเพราะวัตถุคล้าย Prectrum
ของกีต้าร์ เมื่อเวลาผู้เล่นกดคีย์เสียงคล้ายเสียงของ สแปนิชกีต้าร์ สามารถเล่นได้รวดเร็วและชัดเจนแจ่มใส
แต่เสียงไม่ค่อยจะดังมากนัก
ซินธิไซเซอร์ [Synthesizer]
ซินธิไซเซอร์เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งที่จัดว่าเป็นเครื่องดนตรีอีเลคโทรนิคที่ปรับปรุงใหม่ซึ่งให้เสียงแตกต่างกันมากมาย
ภายในเครื่องเดียวสร้างความสะดวกให้ผู้เล่นสามารถค้นหาเสียงได้มากมาย
แอคคอร์เดี้ยน [Accordian]
ดัดแปลงมาจากออร์แกน ใช้หลักการสร้างลมเป่าในหลอดทำเสียงด้วยวิธีชักเข้าและชักออกของถุงลม
แล้วกดบังคับเสียงจากลิ่มนิ้วเหมือนออร์แกนหีบเพลงชักมีมากมายหลายแบบจนนับไม่ถ้วน
รำมะนา [Tambourine]
มีรูปร่างคล้ายกลองแบนๆ
ขึงด้วยหนังหน้าเดียวขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ10นิ้วรอบๆ ขอบมีลูกกระพรวนติดอยู่เป็นระยะๆ
เพื่อทำให้เกิดเสียงกรุ๋งกริ๋งเวลาผู้เล่นเขย่าเป็นเครื่องประกอบจังหวะที่พวกเสปน ยิปซี ใช้ประกอบการเต้นรำมาช้านาน
เป็นเสียงที่ให้ความรู้สึกครึกครื้น สนุกสนาน
ฉาบ [Cymbals]
เป็นเครื่องประกอบจังหวะที่มีลักษณะเหมือนฉาบของไทย แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก เป็นจานทองเหลืองบางๆ 2 อัน
มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 10-24 นิ้ว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง15-16 นิ้ว เป็นขนาดที่ใช้ในวงดุริยางค์ ใช้ตีกระทบกัน
เป็นเครื่องประกอบจังหวะที่ให้เสียงอึกทึกที่สุด
กลองชุด [Drumkit]
ประกอบด้วยกลองหลายใบรวมอยู่ด้วยกัน เช่น Bass,Tenor,Snare,Cymbals ใช้ผู้เล่น
คนเดียวสำหรับBass Drum และ Cymbals ผู้เล่นใช้เท้าเหยียบกระเดื่อง มือทั้งสองถือไม้ตีกลองใบอื่น
และฉาบด้วย
กลองทิมปานี [Timpani]
ทิมปานีเป็นกลองที่ปรับระดับเสียงได้รูปร่างคล้ายกระทะ ตั้งอยู่บนฐาน ตัวกลองทำด้วยทองแดง
ใช้หนังลูกวัวขึง มีสกรูอยู่รอบๆ ขอบกลองเพื่อใช้บังคับหนังกลองให้ตึงมากน้อยให้เกิดระดับเสียงที่ต้องการ
นอกจากสกรูแล้วที่ฐานยังมีกระเดื่องไว้ให้ผู้เล่นเหยียบเปลี่ยนระดับเสียงอุปกรณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ
ไม้ตีกลอง (Drum Sticks)ซึ่งมีขนาดแตกต่างกัน (ล็ก กลาง ใหญ่) หัวไม้ตีกลอง
มักจะหุ้มด้วยสักหลาด ผ้า สำลี ไม้ก๊อก หรือ ฟองน้ำเสียงของทิมปานี จะทุ้มมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเส้นผ่าศูนย์กลาง
ของหน้ากลอง ถ้าเส้นผ่าศูนย์กลางยาวมากเสียงก็จะทุ้มมากถ้าเส้นผ่าศูนย์กลางสั้น เสียงจะมีความทุ้มน้อย
เสียงของกลองทิมปานี เทียบได้กับเสียงเบสเป็นเสียงที่แสดงอำนาจตื้นเต้น เร้าใจ กลองทิมปานีใช้ในวงซิม
โฟนีออร์เคสตร้ามานานแล้ว
ระนาดฝรั่ง [Glockenspiel]
มีรูปร่างคล้าย Xylophone แต่เล็กกว่า บรรจุไว้ในกระเป๋าคล้ายกระเป๋าเดินทาง เวลาใช้
จะตั้งบนโต๊ะผู้เล่นยืนเล่นลูกระนาดทำด้วยแผ่นเหล็กมีไม้ตี มีเสียงดังกังวาน คล้ายระฆังเล็กมีวิวัฒนาการมาจาก
ระฆังในโบสถ์ หลายๆใบเรียงกัน
ระนาดฝรั่ง [Xylophone]
ลูกระนาดทำด้วยไม้ขนาดสั้นยาวลดหลั่นกัน วางตามแนวนอนมีขาตั้งติดมากับตัว ลูกระนาดวางราบบนรางที่มีหมุดตรึงไว้
ไม้ตีเป็นไม้นวมหรือไม้มีผ้าหุ้ม หรืออาจจะเป็นกระดาษพิเศษใต้ลูกระนาดจะมีหลอดยาวต่อลงมาเพื่อให้เสียงดังกังวาน
ไพเราะเพิ่มขึ้นระนาดฝรั่งต่างจากระนาดไทยคือ ระนาดไทยจะเรียงติดกันเป็นพืดแต่ระนาดฝรั่งจะแบ่งออกเป็น 2 ชั้น
ชั้นล่างเป็นเสียงปกติชั้นบนจะเป็นเสียงห่างครึ่งเสียงเหมือนKeyboard ชึ่งจะทำให้มีช่วงเสียงกว้างมากขึ้น
Xylophone มีเสียงแกร่งสั้น ห้วน และชัดเจนมีขนาดใหญ่กว่า Glockenspiel
คลาริเนต [Clarinet]
เป็นเครื่องเป่าลมไม้ที่มีลิ้นเดี่ยว(Single Reed)ประดิษฐ์ขึ้นในเยอรมันนี เมื่อต้นคริสตศตวรรษ ที่ 17
เสียงของคลาริเนตมีความกว้างมากหวานกังวานไม่แพ้เครื่องเป่าชนิดใดถือเป็นตัวเอกในบรรดาเครื่องลมไม้
เป็นเครื่องเป่าสำคัญขนิดหนึ่งในวงออร์เคสตร้า และวงโยธวาทิต
แซกโซโฟน [Saxophone]
เป็นเครื่องเป่าลมไม้ที่มีลิ้นเดี่ยว(Single Reed)ปากทำด้วยไม้ แต่ตัวทำด้วยทองเหลือง
มีลักษณะผสมผสานระหว่างเครื่องเป่าลมไม้กับเครื่องทองเหลืองตามประวัติว่ามีนักเป่าคลาริเนตคนหนึ่ง
ชื่อว่านายSaxเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นจึงให้ชื่อว่า Saxophone ใช้ในวงOrchestraในบางโอกาส
ที่ใช้มากในวง Jazz , Big band และวงโยธวาทิตจริงแล้ว Saxophone มีหลายชนิด
คือ Soprano, alto, tenor, Baritone และ Bass ซึ่งเรียงลำดับ
จากเสียงสูงสุด จนถึงต่ำสุด
โอโบ [Oboe]
จัดอยู่ในจำพวกที่มีลิ้นคู่(Double Reed)มีเสียงที่ไพเราะ สะกดใจคนได้มาก
ตามประวัติเกิดในฝรั่งเศสประมาณ ศตวรรษที่ 17ปัจจุบันเป็นเครื่องเป่าชั้นนำในวงออร์เคสตร้า
มีลักษณะคล้ายคลาริเนตยกเว้นตรงปากเป่าจะเป็นท่อยาว ตัวความยาวประมาณ 2 ฟุต
ประโยชน์อย่างหนึ่งของโอโบคือ ใช้เป็นเครื่องเทียบหรือแต่งเสียงในวงออร์เคสตร้า
บาซูน [Bassoon]
เป็นเครื่องลมไม้ที่จัดอยู่ในประเภทลิ้นคู่ (Double Reed)และให้เสียงที่ต่ำที่สุด ไม่แจ่มใส ให้ความรู้สึกหม่นหมอง
เสียงแหบเหมือนผี มักไม่ค่อยมีใครนำมาบรรเลงเดี่ยวในประวัติมีเพียง โมสาร์ท เพียงคนเดียว
ที่กล้านำมาใช้ในเพลงคอนแชร์โต้ส่วนใหญ่ใช้เป็นเสียงประสานหรือทำเสียงประหลาด ๆ
น่ากลัวบาสชูน มีท่อลมใหญ่ และมีความยาวถึง 109 นิ้ว ผู้ประดิษฐ์จึงเอามาทบกันจนมีความยาว
เหลือเพียง 50 นิ้ว และเนื่องจากมีน้ำหนักมาก จึงจำเป็นต้องใช้เชือกถักติดกับตัวปี่แล้วคล้องคอผู้เล่น
พิคโคโล [Piccolo]
เป็นเครื่องเป่าลมไม้ที่จัดอยู่ในจำพวกไม่มีลิ้นลักษณะเหมือนฟลุตแต่เล็กกว่า ความยาวประมาณ 12 นิ้ว
จึงทำให้เสียงที่ออกมาสูง แหลมคมกว่าฟลุต ให้ความรู้สึกร่าเริง พริ้วไหวเสียงจะได้ยินชัดเจนแม้อยู่ในวงโยธวาทิต
ซึ่งกำลังบรรเลงด้วยเครื่องเป่าอื่นๆ มากมาย วิธีการจับขลุ่ยปิคโคโล จับยึดด้วยมือทั้งสองให้ตัวขลุ่ย
ปัดหางไปทางขวา เป่าลมไปที่รูอยู่เกือบริมซ้าย
รีคอร์ดเดอร์ [Recorder]
เป็นเครื่องลมไม้ชนิดที่ไม่มีลิ้น มีหลายระดับเสียงมากมาย ตั้งแต่ Sopranino, Soprano,
Alto, Tenor และ Bass ขนาดก็จะลดหลั่นกันลงมาจากเสียงต่ำสุด จะใหญ่สุด
เสียงสูงสุดก็จะเป็นตัวที่เล็กสุด เวลาจะเป่าใช้ปากอมส่วนที่เป็นปากแล้วจึงเป่าออกไป
ต้องการเสียงใดก็ขยับนิ้วที่ปิดรูอยู่ข้างๆ
เฟร้นช์ฮอร์น [French Horn]
ทำเลียนแบบมาจากเขาสัตว์ที่นักล่าสัตว์และคนเลี้ยงแกะใช้เป่ามาแต่โบราณต่อมาทำด้วยทองเหลือง
ได้มีการปรับปรุงทำเสียงให้กว้างนอกจากจะใช้ริมฝีปากแล้วยังมีเครื่องบังคับเสียงเป็นพิเศษ
อยู่ที่ตัวฮอร์นผู้บรรเลงจะใช้นิ้วกดลงบนแป้นเล็กๆเสียงสดใสและแหลมเล็กจะเล่นให้อ่อนหวานก็ได้
ให้เสียงกังวานสง่าก็ได้ให้ช้าและโศกเศร้าก็ได้กล่าวกันว่าเสียงของฮอร์นนั้นดังกังวานสง่าผ่าเผย
ยากจะหาเครื่องดนตรีอื่นใดเทียบได้
ทรัมเปต [Trumpet]
เสียงของทรัมเป็ตสูงที่สุดในประเภทเดียวกันมีพลัง ดังชัดแจ๋วและออกจะหนักไปทางแปร๊ดๆ อยู่สักหน่อย
ถ้าเป่าให้ดังลั่นเต็มที่บางคนอาจรู้สึกแสบแก้วหูแต่ก็สามารถเป่าเบา ทำเสียงพร่าๆ เหมือนกระซิบก็ทำได้
นับเป็นลักษณะพิเศษทีเดียวปัจจุบันทรัมเป็ตจัดเข้าอยู่ในวงออร์เคสตร้าวงแจ๊ส และอื่นๆ
ทรอมโบน [Trombone]
ประกอบด้วยหลอดยาวๆ เป็นปากเป่าและปากบาน มีหลอดซ้อนสำหรับชักเข้า-ออก ให้มีระยะยาวสั้น
เพื่อเปลี่ยนเสียงอย่างรวดเร็วฟังตื่นเต้นเร้าใจ ใช้บรรเลงในวงออร์เคสตร้า แจ๊ส และวงเครื่องทองเหลือง
เสียงของทรอมโบนดังคล้ายๆ ฮอร์น แต่มีช่วงกังวาน เนื่องจากเสียงไม่ค่อยจะสดใส จึงเหมาะที่จะทำเป็นเสียงแหบๆ
เหมือนคนเป็นหวัด หรือเสียงอ้อๆแอ้ๆได้ดีมาก ทรอมโบนมีเสียงที่ทุ้มกว่าทรัมเป็ต จึงมีคนกล่าวว่า
เป็นเบสของทรัมเปต
ไวโอลิน [Violin]
เริ่มมีปรากฏใช้ในศตวรรษที่ 17 ไวโอลินมี 4 สายเสียงดังแหลมเล็กกังวาน เป็นเครื่องดนตรีเอก
ในวงซิมโฟนีออร์เคสตร้าซึ่งจะใช้ไวโอลินมากที่สุดถึง 32 คันเป็นไวโอลินมือหนึ่ง(First Violin)
16 คันเป็นไวโอลินมือสอง (Second Violin) อีก 16 คันไวโอลินมือหนึ่งสีทำนอง
ส่วนไวโอลินมือสองคอยประสาน
วิโอลา [Viola]
ลักษณะเหมือนไวโอลินทุกประการ วิธีการเล่นก็เหมือนกันต้องสังเกตุจึงจะทราบว่ามีขนาดใหญ่กว่าเพียงเล็กน้อย
ในแง่น้ำเสียงหรือสีสันของเสียง(Tone Color) เกือบเหมือนกันวิโอล่าใช้เล่นเดี่ยวน้อยกว่าไวโอลิน
กีต้าร์[Guitar]
ตามประวัติมีกำเนิดจากสเปน แล้วแพร่ไปทั่วโลกปัจจุบันยังยอมรับว่ากีตาร์สเปนมีชื่อเสียงที่สุดนิยมบรรเลง
ในวงดนตรีสมัยใหม่ กีตาร์มี 6 สายสายเอก (ที่มีเสียงสูงสุด) ทำด้วยเอ็น หรือไนล่อนสายอื่นๆ
จะทำด้วยไหมพิเศษหุ้มด้วยขดลวดเงินขนาดเล็กปลายสายจะตรึงด้วยหมุดมีปุ่มปรับสายให้ตึงหย่อนตามต้องการ
ต่อมากีตาร์ได้ปรับปรุงเป็นกีตาร์ไฟฟ้า โดยต่อสายจากตัวกีตาร์ ไปยังลำโพงและเครื่องขยายเสียง
ประวัติความเป็นมาของกีตาร์
กีตาร์ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชื่อเรียกและรูปร่างย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย
ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเปอร์เซียและตะวันออกกลางหลายประเทศต่อมาได้เผยแพร่ไปยังกรุงโรมโดยชาวโรมันหรือชาวมัวร์
จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมในสเปน ในยุโรปกีตาร์มักเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และมีเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่ให้ความสนใจ
และศึกษาอย่างเช่น Queen Elizabeth I ซึ่งโปรดกับ Lute ซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ก็ว่าได้
แต่การพัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการที่นักดนตรีได้นำมันไปแสดงหรือเล่นร่วมกับวงดนตรีของประชาชนทั่ว ๆ ไปทำให้มีการ
เผยแพร่ไปยังระดับประชาชนจนได้มีการนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้นบ้านทั่ว ๆ ไปและเกิดแนวดนตรีในแบบต่าง ๆ มากขึ้น
ผู้หนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงเมื่อพูดถึงประวัติของกีตาร์ก็คือ Fernando Sor ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญ
และมีอิทธิพลต่อวงการกีตาร์เป็นอันมากเนื่องจาการอุทิศตนให้กับการพัฒนารูปแบบการเล่นกีตาร์เทคนิคต่าง ๆ และได้แต่งตำราไว้มากมาย
ในปี 1813 เขาเดินทางไปยังปารีตซึ่งเขาได้รับความสำเร็จและความนิยมอย่างมาก จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังลอนดอนโดย
พระราชูปถัมป์ของ Duke of Sussex และที่นั่นการแสดงของเขาทำให้กีตาร์เริ่มได้รับความนิยม จากอังกฤษเขาได้เดินทาง
ไปยังปรัสเซีย รัสเซียและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งที่นั่นเขาได้แต่งเพลงที่มีความสำคัญอย่างมาก
เพลงหนึ่งถวายแก่พระเจ้า Nicolus I จากนั้นเขาก็ได้กลับมายังปารีตจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 1839 หลังจากนั้นได้มีการเรียนี
การสอนทฤษฎีกีตาร์ที่เด่นชัดและสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้กีตาร์ได้รับการพัฒนาอย่างมาก
หลังจากนั้นมีอีกผู้หนึ่งที่มีความสำคัญต่อกีตาร์เช่นกันคือ Francisco Tarrega (1854-1909)
ซึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ด้วยความสามารถด้านดนตรีของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนได้จากการแสดง
ณ Alhambra Theaterจากนั้นเขาได้เดินทางไปยัง Valencia, Lyons และ Paris
เขาได้รับการยกย่องว่าได้รวมเอาคุณสมบัติของเครื่องดนตรี 3 ชนิดมารวมกันคือ ไวโอลิน, เปียโน และ รวมเข้ากับเสียงของกีตาร์
ได้อย่างไพเราะกลมกลืน ทุกคนที่ได้ฟังเขาเล่นต่างบอกว่าเขาเล่นได้อย่างมีเอกลักษณ์และสำเนียงที่มีความไพเราะน่าทึ่ง หลังจาก
เขาประสบความสำเร็จใน London, Brussels, Berne และ Rome เขาก็ได้เดินทางกลับบ้าน
และได้เริ่มอุทิศตนให้กับการแต่งเพลงและสอนกีตาร์อย่างจริงจัง ซึ่งนักกีตาร์ในรุ่นหลัง ๆ ได้ยกย่องว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มการสอนกีตาร์ยุคใหม่
อีกคนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้คือ Andres Sergovia ผู้ซึ่งเดินทางแสดงและเผยแพร่กีตาร์มาแล้วเกือบทั่วโลกเพื่อให้
คนได้รู้จักกีตาร์มากขึ้น (แต่คงไม่ได้มาเมืองไทยนะครับ) ทั้งการแสดงเดี่ยวหรือเล่นกับวงออเคสตร้า จนเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแต่งตำรา
และบทเพลงของกีตาร์ขึ้นมาอีกมากมาย อันเนื่องมาจากการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกีตาร์อย่างเปิดเผยและจริงจังของเขาผู้นี้
นอกจากนี้ผลงานต่าง ๆของเขาได้ทำให้ประวัติศาสตร์กีตาร์เปลี่ยนหน้าใหม่เพราะทำให้นักีตาร์ได้มีโอกาสแสดงใน concert hall
มากขึ้น และทำให้เกิดครูและหลักสูตรกีตาร์ขึ้นในโรงเรียนดนตรีอีกด้วย
สำหรับการร้องไปพร้อมกับกีตาร์ได้เริ่มมีขึ้นเมื่อสามารถปรับให้ระดับเสียงของกีตาร์นั้นเข้ากับเสียงร้องได้
ซึ่งผมเข้าใจว่าในอดีตกีตาร์มีไว้บรรเลงมากกว่าแต่เมื่อสามารถผสมผสานเสียงของกีตาร์กับเสียงร้องได้การร้องคลอไปกับกีตาร์
จึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น นักร้องนักกีตาร์(คือทั้งเล่นทั้งร้อง) น่าจะมาจากนักร้องในยุคกลางซึ่งเป็นชนชั้นสูงได้ปลีกตัวไปทำงาน
ในแบบที่เป็นอิสระและอยากจะทำจึงมีการผสมกันกับรูปแบบของดนตรีพื้นบ้านมากขึ้น ซึ่งงานดนตรีจึงแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. เป็นงานประพันธ์เพื่อจรรโลกโลกหรือมีความจริงจังในทางดนตรีเพื่อการแสดงเป็นส่วนใหญ่ ก็คือเพลงคลาสสิกนั่นเอง
2. งานที่สร้างจากคนพื้นบ้านจากการถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูกลูกสู่หลาน เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสภาพความเป็นอยู่
แสดงถึงวิถีการดำเนินชีวิต ใช้ในการผ่อนคลายจากการงานความทุกข์ความยากจน เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ อันได้มาจากประสบการณ์
หรือสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวขณะนั้นจึงมีความเป็นธรรมชาติอยู่มากและโดยที่ทั้ง 2 ส่วนดังกล่าวได้มีการแลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้
ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลาจากอดีตถึงปัจจุบันจนมีการซึมซับเข้าไปยังเนื้อเพลงและทำนองเพลงทำให้เกิดรูปแบบของดนตรีในแบบใหม่ ๆ
มากขึ้นเรื่อย ๆ
ในอเมริกา ผู้ที่เข้าไปอาศัยได้นำเอาดนตรีและการเต้นรำของพวกเขาเข้ามาด้วยเช่นพวกทหาร นักสำรวจ พวกเคาบอยหรือคนงาน
เหมืองทำให้มีการผสมผสานกันในรูปแบบของดนตรีและที่สำคัญที่สุดคือพวก อเมริกัน นิโกร ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในฐานะทาสซึ่งเป็น
ผู้ให้กำเนิดเพลงบลูส์นั่นเองซึ่งส่วนใหญ่แสดงถึงความยากลำบาก ความยากจนถ่ายทอดมาในบทเพลงสไตล์ของพวกเขาเพื่อได้ผ่อนคลาย
จากความเหนื่อยยากและเล่นง่าย ๆ ด้วยกีตาร์กับเม้าท์ออร์แกนเป็นต้น ซึ่งเพลงบลูส์นั่นเองที่เป็นพื้นฐานของดนตรีอีกหลาย ๆ ประเภท
ไม่ว่าจะเป็นเพลงร็อคหรือแจ๊สในปัจจุบัน จนเดี๋ยวนี้กีตาร์มีความสำคัญกับดนตรีแทบทุกชนิด
แม้ว่ากีตาร์จะถูกสร้างมาหลายรูปแบบแต่แบบที่ถือว่าดีที่สุดคงเป็นแบบ สแปนนิช 6 สาย ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีอย่างมาก
ทั้งด้านการประดิษฐ์และด้านเทคนิค ซึ่งสามารถใช้เล่นในงานแสดงคอนเสิร์ท(หมายถึงดนตรีคลาสสิก) หรือเล่นเพลงทั่ว ๆ ไป
ทำให้รูปทรงกีตาร์แบบนี้เป็นที่นิยมจนปัจจุบัน เริ่มจากในศตวรรษที่ 18 ได้มีการเปลี่ยนจากสายที่เป็นสายคู่มาเป็นสายเดี่ยวและเปลี่ยนจาก
5 สายเป็น 6 สาย ช่างทำกีตาร์ในยุคศตวรรษที่ 19 ได้ขยายขนาดของ body เพิ่มส่วนโค้งของสะโพกลดส่วนผิวหน้าที่นูนออกมา
และเปลี่ยนแปลงโครงยึดภายใน ลูกบิดไม้แบบเก่าถูกเปลี่ยนเป็นแบบใหม่ ในยุคเดียวกันนี้ Fernando Sor ซึ่งได้กล่าวมา
ในข้างต้นแล้วเป็นผูที่พัฒนาและทำให้เครื่องดนตรีนี้เป็นที่ยอมรับและใช้ในการแสดงได้จนกระทั่งมาถึงยุคของ Andres Segovia
ได้คิดดัดแปลงให้สามารถใช้กับไฟฟ้าได้ ซึ่งเป็นความพัฒนาอีกระดับของเพลงป๊อปในอเมริกาในช่วง 1930 กีตาร์ไฟฟ้าต้นแบบช่วงนั้น
เป็นแบบทรงตันและหลักการนำเสียงจากกีตาร์ไปผสมกับกระแสไฟฟ้าแล้วขยายเสียงออกมานั้นทำให้นักดนตรีและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน
ซึ่งชื่อเขาพวกเรารู้จักกันดีในนามของโมเดลหนึ่งของกิ๊บสันนั่นก็คือ Les Paul ได้พัฒนาจากต้นแบบดังกล่าว มาเป็นแบบ
solid body กีตาร์ หรือกีตาร์ไฟฟ้าที่เราเห็นในปัจจุบันนั่นแหละครับซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากของดนตรียุคนั้นและทำให้กีตาร์
เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงปี 1940
หลังจากนั้นในต้นปี 1940 นักประดิษฐ์ชาวแคลิฟอเนียอีกคนซึ่งเราก็รู้จักชื่อเขาในนามของยี่ห้อกีตาร์ที่สุดยอดอีกยี่ห้อหนึ่งนั่นก็คือ
Leo Fender เขาได้ประดิษฐ์กีตาร์และเครื่องขยายเสียงในร้านซ่อมวิทยุของเขา เขาได้สร้างเครื่องขยายเสียงแต่ขณะนั้นไม่มี
ปุ่มคอนโทรลต่าง ๆ เช่นปัจจุบัน และใช้กับกีตาร์ของเขาซึ่งมีปุ่มควบคุมเสียงดังเบาและทุ้มแหลมซึ่งเป็นต้นแบบกีตาร์ไฟฟ้ายุคใหม่
เขาไม่ได้หยุดแค่นั้นด้วยเทคโนโลยีขณะนั้นเขารู้ว่าเขาน่าจะดัดแปลงกีตาร์โปร่งให้สามารถใช้กับเครื่องขยายเสียงได้และความพยายาม
เขาก็สำเร็จจนได้ในปี 1948 และได้กีตาร์ที่ชื่อว่า Telecaster (คงคุ้นหูกันนะครับ) ซึ่งชื่อเดิมที่เขาใช้เรียกคือ
Broadcaster แต่คำว่า tele เป็นที่ติดปากกันมากกว่าและถือว่าเป็นกีตาร์ไฟฟ้าทรงตันในรูปทรงสแปนนิสรุ่นแรกที่ซื้อขายกัน
ในเชิงพานิชย์และได้รับความนิยมอย่างมากจนกระทั่งปัจจุบัน
ปัจจุบันสำหรับกีตาร์มีพร้อมแล้วทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นรูปร่างรูปทรงประเภทต่าง ๆ ให้เลือกเล่นตามใจชอบ สไตล์เพลงหลากหลายสไตล์
โรงเรียนสอน ตำราต่าง ๆ ให้ศึกษามากมายแต่แนนอนการพัฒนาย่อมไม่มีวันหยุดไม่แน่ในอนาคตคุณอาจเป็นคนหนึ่งที่สร้างอะไรใหม่ ๆ
ให้กีตาร์จนโลกต้องบันทึกไว้ก็ได้
ทำไมไม่มีพวก
ดับเบิ้ลเฟรชฮอร์น ออโตฮอร์น อิงลิชฮอร์น อีแฟล็ทอัลโตฮอร์น บีแฟรตฮอร์น
อ่ะครับ