English Tense
"EnGlisH TensE "
1.Present Continuous Tense
Present Continuous Tense คือ การนำ "verb to be" กริยาช่อง 1 (is,am,are) มาใช้เป็น Helping verb (กริยาช่วย) ควบคู่กับคำกริยาที่แสดงการกระทำต่างๆ ที่เติม "-ing" โดยมีหลักการเติม "-ing" ดังนี้
1.กริยาที่ลงท้ายด้วย "-e" ให้ตัด "-e" ออกแล้วเติม "-ing" เช่น
write ------------ writing
dance ------------ dancing
cycle ------------ cycling
2.กริยาที่เป็นเสียงสั้นให้เติมพยัญชนะตัวสุดท้ายของคำนั้นอีกหนึ่งตัว แล้วจึงเติม "-ing"เช่น
run ------------ running
swim ------------ swimming
sit ------------ sitting
3.กริยาที่ลงท้ายด้วย "-ie" ให้เปลี่ยน "-ie" เป็น "-y" แล้วจึงเติม "-ing" เช่น
lie ----------- lying
die ----------- dying
tie ----------- tying
4.นอกจากกฎ 3 ข้อข้างต้นนี้ กริยาตัวอื่นจะเติม "-ing" ได้เลย เช่น
open -------- openning
draw ---------- drawing
sing ----------- singing
Present Continuous Tense ใช้เมื่อผู้พูดต้องการบอกว่าสิ่งหนึ่งกำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด เช่น
She is reading a book
ประโยคเชิงบอกเล่า : Subject + is, am, are + Verb 1 ing.
ประโยคเชิงปฏิเสธ : Subject + Subject + is, am, are + Verb 1 ing.
ประโยคเชิงคำถาม : Is, Am, Are + Subject + Verb 1 ing. ?
2. Simple Past Tense
Simple Past Tense จะใช้เมื่อ
1.แสดงให้เห็นความจริง (ภาพที่ 2)
2.แสดงให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันเป็นกิจวัตรประจำวัน หรือเกิดขึ้นเป็นประจำ โดยจะมีตัวกำหนด เช่น everyday, always, usually, sometimes, often, never (ภาพที่ 1)
I comb my hair every morning. (ภาพที่ 1)
The sun rises in the east. (ภาพที่ 2)
ให้สังเกตการณ์ใช้กริยาใน Simple Past Tense
ถ้าประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ จะใช้กริยาช่องที่ 1 และต้องเติม “-s” หรือ “-es”
ถ้าประธานของประโยคเป็นหูพจน์ ใช้กริยาช่องที่ 1 ได้เลยโดยไม่ต้องเปลี่ยนรูปหรือเติมอะไร
ถ้าประโยคปฏิเสธให้เติม “does not” หรือ ” do not” และตัด “-s” หรือ “-es” ออกจากกริยาด้วยถ้ามี
ประโยคเชิงบอกเล่า : Subject + Verb 1 (s )
ประโยคเชิงปฏิเสธ : Subject + do / does + not + Verb 1
ประโยคเชิงคำถาม : Do / Does + Subject + Verb 1?
3. Present Perfect Tense
Present Perfect TenseI ใช้เพื่อบอกว่าเหตุการณ์หนึ่งได้เสร็จสิ้นลงแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าเหตุการณ์นั้นๆใช้เวลานานแค่ไหน โดยใช้คำว่า “just” และ “already” ซึ่งบอกเพียงว่าเพิ่งจะทำไป หรือได้ทำไปแล้วเท่านั้น เช่น
I have just finished my breakfast.
They have done their homework.
กริยา 3 ช่องมีที่มาดังนี้
1. มีรูปมาจากการเติม ed ที่ท้ายคำกริยา เช่น
ช่องที่ 1 |
ช่องที่ 2 |
ช่องที่ 3 |
walk |
walked |
walked |
move |
moved |
moved |
opened |
opened |
opened |
clean |
cleaned |
cleaned |
2. มีรูปมาโดยการผัน ซึ่งมีการกำหนดไว้โดยเจ้าของภาษา เช่น
ช่องที่ 1 |
ช่องที่ 2 |
ช่องที่ 3 |
see |
saw |
seen |
make |
made |
made |
speak |
spoke |
spoken |
sell |
sold |
sold |
go |
went |
gone |
ประโยคเชิงบอกเล่า : Subject + have , has + Verb 3
ประโยคเชิงปฏิเสธ : Subject + have , has + not + Verb 3
ประโยคเชิงคำถาม : Have, Has + Subject + Verb 3 ?
4. Simple Past Tense
Simple Past Tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และทราบว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยใช้กริยาช่องที่ 2 เช่น
They went to the park last week.
หลักการเติม ed ที่คำกริยา
1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love - loved
move - moved
hope - hoped
2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น
cry -cried
try - tried
marry - married
** ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ใหเติม ed ได้เลย เช่น
play - played
stay - stayed
enjoy - enjoyed
obey - obeyed
3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
plan - planned
stop - stopped
beg - begged
4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
concur - concurred
occur - occurred
refer - referred
permit - permitted
** ข้อยกเว้น ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น
cover - covered
open - opened
5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น
walk - walked
start - started
worked - worked
ประโยคเชิงบอกเล่า : Subject + Verb 2
ประโยคเชิงปฏิเสธ :Subject + did + not + Verb 1
ประโยคเชิงคำถาม : Did + Subject + Verb 1
5. Past Continuous Tense
Past Continuous Tense ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต เช่น
The children were playing all yesterday morning.
นอกจากนี้ยังใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่เหตุการณ์อย่างหนึ่งกำลังดำเนินในอดีต โดยจะใช้ “while” ซึ่งแปลว่า ในขณะที่ นำหน้าส่วนของประโยคที่กำลังดำเนินอยู่ในอดีต เช่น
While he was playing football yesterday, he got accident.
ประโยคเชิงบอกเล่า : Subject + was , were + Verb 1 ing
ประโยคเชิงปฏิเสธ :Subject + was, were + not + Verb1 ing.
ประโยคเชิงคำถาม : Was , Were + Subject + Verb 1 ing. ?
6. Simple Future Tense
Simple Future Tense ใช้เพื่อแสดงการกระทำในอนาคต โดยมักใช้ “shall” กับสรรพนาม “I” และ“we” และใช้ “will”กับสรรพนาม “he”, “she”, “it” ,“you”, “they”และคำนามอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมี การใช้ “to be going to” ในการกล่าวถึงสิ่งที่กระทำในอนาคตที่ผู้กระทำได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำ (ภาพที่ 1) และเหตุการณ์ที่ทราบว่าจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน (ภาพที่ 2) Simple Future Tense
She is going to write a letter.(ภาพที่ 1)
It is going to rain.(ภาพที่ 2)
ประโยคเชิงบอกเล่า :Subject + will, shall + verb 1
ประโยคเชิงปฏิเสธ :Subject + will, shall + not + verb 1
ประโยคเชิงคำถาม : Will,Shall + Subject + verb 1 ?