การรับประทานอาหารเพื่อป้องกันโรค
ไมเกรน
- ควรรับประทาน กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเล จำพวกปลาทู แซลมอน ทูน่า และซาร์ดีน
- ควรรับประทานแมกนีเซียมซึ่งมีมากในเมล็ดธัญญพืชเต็มรูป เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง ผักโขม บรอกโคลี คะน้า
- ควรรับประทานแคลเซียมและวิตามินดี พบมากในผักใบเขียว และถั่ว
- การรับประทานไรโบฟลาวินหรือวิตามินบี 2 ทุกวัน จะช่วยลดจำนวนครั้งการเป็นไมเกรนลง 50% ซึ่งพบมากในธัญพืช ข้าวซ้อมมือ และมันฝรั่ง
- ควรหลีกเลี่ยงนม ถึงแม้นมจะมีแคลเซียมสูง แต่เป็นตัวนำไมเกรนชั้นยอด
ปวดเข่า (ไม่ใช่โรคเกาต์)
-ควรรับประทานอาหารที่ทำด้วยขิงจะช่วยลดอาการอักเสบ เช่น หมูผัดขิง ต้มส้มปลากระบอก ปลาเจี๋ยน น้ำพริกขิง เมี่ยงคำ เมี่ยงปลาทู
ท้องผูก
-ควรรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ข้าวกล้อง ผักที่มีเส้นใยสูง เช่น มะระขี้นก สะเดา มะเขือพวง ใช้ต้มจิ้มน้ำพริกหรือทำน้ำพริกมะเขือพวง ผัดมะระขี้นกกับไข่ แกงส้มดอกแค แกงเลียงตำลึงหัวปลี สะเดาลวกน้ำปลาหวาน แกงเลียงชะอมปลาย่าง ยำมะเขือพวง แกงป่าขี้เหล็กหมูย่างผักพื้นบ้านที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เช่น ยอดขี้เหล็ก กินมะละกอสุกเป็นประจำ
-ต้มน้ำมะขามเปียกดื่มเป็นเครื่องดื่มประจำ
คอเลสเตอรอลสูง
-หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ อาหารทะเล กุ้ง หอย ปู หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์
โรคเบาหวาน
-ควรลดอาหารหวาน มัน เค็มจัด หันมารับประทานข้าวกล้อง ผักใบ เช่น น้ำพริกจิ้มผักบุ้งต้ม หัวปลีต้ม ดอกแค ยอดแคต้ม มะระขี้นกต้ม รับประทานปลา กุ้ง อาหารประเภทยำ เช่น ยำใบบัวบก ยำผักกูด ยำยอดกระถิน แกงส้มผักบุ้ง แกงส้มผักกระเฉด ต้มยำหัวปลี
-รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ไขมันต่ำ รสไม่หวาน
ความดันสูง
-จำกัดอาหารไขมัน อาหารหวาน อาหารรสเค็ม
-ควรรับประทานข้าวกล้อง ลดอาหารที่ใส่กะทิใช้ผักที่มีเส้นใยสูงทำอาหาร เช่น มะเขือพวง มะระขี้นก สะเดา กระเฉด ชะอม หัวปลี ใบบัวบก กระถิน โดยรัประทานวันละประมาณ 200 กรัม และทำอาหารใส่กระเทียมให้มากกว่าปกติ
โรคเกาต์
-งดเครื่องในสัตว์ทุกชนิด รับประทานปลาเป็นหลัก ใช้ผักใบทำอาหารเอายอดออก เอาเมล็ดออก
-ผักประเภทหน่อ เมล็ด ยอด จะเพิ่มความปวดให้มากขึ้น แตงกวารับประทานแต่เปลือก ตำลึงเด็ดยอดออก ถั่วงอกเอาหัวออก
- ดื่มน้ำตะไคร้ และดื่มน้ำสะอาดวันละประมาณ 8-10 แก้ว
นอนไม่หลับ
-รัประทานข้าวกล้องเป็นประจำ ทานผักสดผลไม้สดมากใน 1 วัน เช่น ใน 1 วัน ผัก ประมาณ 200 กรัม ผลไม้ ส้ม 1 ลูก มะละกอ 1 จาน 8 คำ สับปะรด 1 จาน 8 คำ ใช้ใบขี้เหล็กลวกจิ้มน้ำพริก หรือใช้ใบขี้เหล็กแกงกับปลาย่าง
ท้องอืด
-ควรรับประทานผักพื้นบ้านที่มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร เช่น ตำลึงจิ้มน้ำพริก แกงเลียง แกงจืด จะช่วยย่อยอาหารประเภทแป้ง ทานสับปะรดเป็นอาหารหวานหลังทานข้าว สับปะรดช่วยย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ทานเนื้อสัตว์ควบคู่กับผักที่เป็นสมุนไพรช่วยย่อย เช่น กระชาย ตะไคร้ กะเพรา พริกไทย เป็นต้น
ท้องเสีย
- รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่ายและมีกากน้อยก่อน เช่น ข้าวต้ม แกงจืดเต้าหู้ โจ๊กหมูสับ ขนมปังนิ่มๆ
- งดผักและผลไม้สด อาหารหมักดอง อาหารรสจัด มีกลิ่นฉุน อาหารทอดต่างๆ
โรคริดสีดวงทวาร
-หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทยและพริก
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพราะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
-ควรรับประทานพืชตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ
โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
-ควรรับประทานอาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่น ๆ
โรคมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด
-ควรรับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน มีมากในพืชผักสีแดง เหลือง ส้ม หรือเขียวเข้ม เช่น หัวแครอท บีทรูท บรอคโคลี่ ลูกพรุน ยอดมะยม ผักโขม ตำลึง กระถิน ยอดแค ชะพลู ผักชีฝรั่ง และผลไม้ที่มีวิตามินเอสูง เช่น ผลไม้สีเขียว สีเหลือง
โรคมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร
-ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่าง ๆ
โรคมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ปอดและลำคอ
-ควรรับประทานผลไม้และผักที่มีสีเขียวจัด (Dark green)
โรคมะเร็งกะเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ
- ควรรับประทาน กะเทียม หอมหัวใหญ่ ผักชี มะเขือเทศ
โรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่
- ควรรับประทานข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี
- ลดรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง
โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ ( Thyroid cancer )
- ควรรับประทานผักบรอคโคลี ถั่วงอก กะหล่ำปลี
โรคมะเร็งปอด และโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
-ควรรับประทานสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) จากพืชสีเหลือง สีส้ม เช่น แครอท มะละกอสุก ฟักทองฯ พืชที่มีรสเปรี้ยว (Vitamin C) น้ำมันปลาทะเลบางชนิด (Vitamin E, Omega-3, 6) พืชที่มีเม็ดเล็กๆ เช่น องุ่น แอปเปิ้ลเขียวและแดง(รับประทานทั้งเปลือก) ลูกหม่อน ลูกบลูเบอร์รี่
โรคถุงลมโป่งพองเรื้อรัง
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดก๊าซในทางเดินอาหาร เช่น ถั่ว แกง ของหมักดอง เครื่องเทศ
- เลือกอาหารกลุ่มโปรตีนที่ย่อยง่าย เช่นไข่ ปลา
- เลือกอาหารไฟเบอร์ที่เตรียมง่ายแต่มีคุณค่าต่อร่างกายให้ได้ 25-30 กรัมต่อวัน ซีเรียล ชีส นม โยเกิร์ต
โรคหัวใจ
-ควรรับประทานเนื้อห่านและเนื้อเป็ดจะมีไขมันต่ำ
-ให้รับประทานนมที่พร่องมันเนยหรือโยเกิร์ตแทนนมสดหรือไอศกรีม
-ควรรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียม(มีมากในผักและผลไม้)และแมกนีเซียมสูง(มีมากในพวกถั่ว ธัญพืช)
-หลีกเลี่ยงของทอดเช่น ปาท่องโก๋ ไก่ทอด มันทอด อาหารที่ทำจากเนย เช่น เค้ก ขนมพาย อาหารที่ทำจากไข่แดง และไขมันอิ่มตัว เช่นทองหยิบฝอยทอง เครื่องในสัตว์เช่น ตับ ไต สมอง อาหารประเภทไส้กรอก กุนเชียง ฮอทดอก
-งดน้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม
-ไม่ควรรับประทานหนังไก่
โรคฟันผุ
- งดอาหารหวาน ลูกอม ท๊อฟฟี่ หรือถ้ารับประทานแล้วควรบ้วนปาก แปรงฟันทุกครั้ง
- แปรงฟันให้ถูกวิธี
- ใช้ฟลูออไรด์ เพื่อช่วยให้ฟันคงทนต่อกรด
- พบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อไม่ให้การผุลุกลาม
โรคหอบหืด
-ควรรับประทาน ชา แอปเปิล หัวหอม ไวน์แดง
-หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกนม ถั่วลิสง ถั่วอื่นๆ ข้าวสาลี ปลา หอย และอาหารประเภทโปรตีน
โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
- ควรรับประทาน Silenium เป็นสารต้านอนุมูลอิสระพบได้มากในพวก ปลา อาหารทะเล ไก่ ธัญพืช ถั่วต่างๆ
- ควรรับประทานอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง
- ควรรับประทานวิตามินอี
โรคต้อกระจก
-ควรรับประทานผักคะน้า เพราะอุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ โฟเลต และสาร “ลูทีน” ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่รับประทาน นอกจากนี้การรับประทานคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านม
โรคตับอักเสบจากไวรัสบี (Hepatitis B)
-ควรรับประทานเห็ดหอม เพราะมีสารเลนติเนน (lentinan) ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้หยุดยั้ง หรือป้องกันการเติบโตของเซลล์เนื้องอกต่างๆ
โรคกระดูกพรุน
-ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จะป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น
ชะลอความแก่
-ควรรับประทานองุ่น โดยต้องเคี้ยวเมล็ดด้วยเพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร “โอพีซี” (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย
อาหารที่ไม่ควรบริโภคมากเกินไป
1. ไข่เยี่ยวม้า ถ้ารับประทานมากและบ่อยอาจเกิดพิษจากสารตะกั่ว การดูดซึมแคลเซียมลดน้อยลง ขาดแคลเซียม ทำให้ฟันผุ
2. ปาท่องโก๋ ใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่ว เป็นพิษต่อเซลล์สมอง ความจำเสื่อม คอแห้ง เจ็บคอ
3. เนื้อสัตว์ย่าง เกิดสารไบโซไพริน ก่อมะเร็ง
4. ผักดอง เกิดการสะสมเกลือโซเดียม หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูง เป็นโรคหัวใจง่าย
5. ตับหมู 1 กิโลกรัม มีคอเรสเตอรอลกว่า 400 มิลลิกรัม ถ้ารับประทานมากและเป็นเวลานานทำให้หลอดเลือดแข็งตัวเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือดทางสมอง มะเร็ง
6. ผักโขม ผักปวยเล้ง มีกรดออกซาเลตมาก ทำใการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมากเกิดภาวะขาดแคลน
7. บะหมี่สำเร็จรูป ทำให้ขาดสารอาหาร เกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย
8. เมล็ดทานตะวัน มีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัว ถ้ารับประทานมากจะทำให้มีการสะสมไขมันที่ตับได้
9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ การหมักมีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรค และมีสารย่อยโปรตีน ไฮโดรเจน ซัลไฟต์ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
10. ผงชูรส ไม่ควรรับประทานเกิน 6กรัมต่อวัน จะทำให้เกิดกรดกลูตามิกในเลือดสูงซึ่งมีผลต่อการทำงานของประจุแคลเซียมและแมกนีเซียม ทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์
http://www.geocities.com/dentqsnich/dent_12_2.htm
http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_04897.php
http://pha.narak.com/topic.php?No=09907
http://www.horapa.com/content.php?Category=News&No=860
http://gotoknow.org/blog/dmtheptarin/39599
http://guru.sanook.com/answer/question/
http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.lifedd.net/images/ffood.jpg&imgrefurl
http://www.halalthailand.com/healthy/subindex.php?page=content&category=&subcategory=2&id=5
http://campus.sanook.com/teen_zone/senior_04899.php