ถอดรหัสพันธุกรรมของสาหร่ายสไปรูไลน่า
สาหร่ายสไปรูไลน่า หรือ สาหร่ายเกลียวทอง
ตำนานสาหร่ายเกลียวทอง (Spirulina)
เรื่องราวของสาหร่ายสไปรูไลน่า ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณชน จากการค้นพบการดำรงชีวิตของชนเผ่าหนึ่งในทวีปแอฟริกาซึ่งยังชีพด้วยการรับประทานสาหร่ายชนิดหนึ่ง ที่ชาวพื้นเมือง
เรียกว่า "ไดฮี"(Dihe) ชาวพื้นเมืองใช้ตะกร้าช้อนเอาสาหร่ายชนิดนี้จากผิวน้ำในทะเลสาบแล้ว
นำไปตากแห้งบดเป็นผงเก็บไว้ทำอาหาร
นักวิทยาศาสตร์ที่พบชาวพื้นเมืองชนเผ่านี้ สงสัยในการดำรงชีพของประชากร เนื่องจากพื้นที่
ดังกล่าวค่อนข้างขาดแคลนแหล่งโปรตีนจำพวกเนื้อสัตว์ แต่เหตุใดประชากรจึงสามารถดำรงชีพ
อยู่ได้
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาและวิจัย จึงพบว่าสาหร่ายที่ชาวพื้นเมืองรับประทานนั้นเป็นสาหร่ายที่มีคุณค่าสูงทางโภชนาการอย่างน่ามหัศจรรย์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการค้นพบอาหารที่ยิ่งใหญ่สำหรับโลกในอนาคต แม้จะมีประวัติอันยาวนานก็ตามแต่ สาหร่ายสไปรูไลน่าเพิ่งจะเป็นที่รู้จักในวงการอุตสาหกรรมสมัยใหม่เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว
"สไปรูไลน่า" เป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า
"Spirulina plantensis"เป็นพืชที่เกิดขึ้นเมื่อ 3,500 ล้านปีมาแล้ว "สไปรูไลน่า" เป็นสาหร่าย
เซลล์เดียวขนาดเล็กที่มองด้วยตาเปล่าแทบไม่เห็น เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหารจัดอยู่ในจำพวกโพรคาริโอท (prokaryotes) ซึ่งยังไม่มีนิวเคลียสที่แท้จริง
"สาหร่ายสไปรูไลน่า" ประกอบด้วยเซลล์รูปทรงกระบอกหลายเซลล์เรียงต่อกันเป็นเส้นสาย
ที่ไม่แตกแขนงเรียกว่า trichome เส้นสายจะบิดเป็นเกลียว รูปร่างที่เป็นเกลียวเป็นลักษณะของสกุล (genus) ความกว้างของเกลียว (helix) ระยะระหว่างเกลียว (pitch) และความยาวของ trichome (length)จะแตกต่างไปตามแต่ชนิด (species) แต่อย่างไรก็ดีสาหร่ายเกลียวทองชนิดเดียวกันเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมต่างกันขนาดและรูปร่างก็อาจจะแตกต่างกัน เช่น ลักษณะที่บิดเป็นเกลียว
อาจเปลี่ยนแปลงไปเป็นเส้นตรง ชนิดที่พบโดยมากมีเม็ดอากาศ (gas vacuoles)เล็กๆจำนวนมาก
อยู่ภายในเซลล์ทำให้สาหร่ายเกลียวทองลอยตัวได้ดี เม็ดอากาศแต่ละเม็ดอยู่ภายในถุง ซึ่งเป็น
เยื่อบางๆและเยื่อนี้เป็นสารจำพวกโปรตีน สาหร่ายเกลียวทองเคลื่อนที่ได้แบบเลื่อนไถล (gliding)โดยมีการหมุนรอบ trichome
จากการวิจัยพบว่า สาหร่ายที่พบในแหล่งน้ำจืดของประเทศเป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะ
ในประเทศไทย จึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าและวิจัยสาหร่ายสายพันธุ์นี้เรื่อยมาและพบว่า สามารถเลี้ยงให้ได้คุณภาพ เนื่องจากสาหร่ายชนิดนี้ เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกว่ามีประสิทธิภาพและมี
คุณค่าสูง นักวิจัยของไทยในยุคแรกจึงมุ่งประเด็นความเป็นไปได้ที่จะนำสาหร่ายชนิดนี้ มาเป็นอาหารเสริมสำหรับประชากรในอนาคต
สาหร่ายเกลียวทองในประเทศไทย
สำหรับในประเทศไทย พบสาหร่ายเกลียวทองเป็นครั้งแรกที่เขื่อนอุบลรัตน์ พ.ศ. 2509
โดย คุณเจียมจิตต์ บุญสม นักวิชาการของสถาบันประมงน้ำจืดแห่งชาติ สังกัดกรมประมงและเริ่มทำการวิจัยสาหร่ายชนิดนี้อย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ. 2526 โดยการสนับสนุนของ
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)ภายใต้ชื่อโครงการ
"Development of Microalgae (Spirulina)Production of Thailand"สาหร่ายชนิดนี้ มีปริมาณโปรตีนสูงมากถึง 60-70% นอกจากนี้ ยังมีวิตามินคุณค่าสูงชนิดต่างๆ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี6 วิตามินบี12 วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเอช โฟลิกแอซิด
และนิโคตินิคแอซิด พบว่าเป็นแหล่งวิตามินบี12 มากถึง 250% ของที่มีในตับมีเบต้าแคโรทีน
ซึ่งเป็นโปรวิตามินเอ ประมาณ 20-25 เท่าของที่มีอยู่ในแครอทและมีเกลือแร่อีกหลายสิบชนิด
เช่น เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โดยมี ธาตุเหล็กเป็น 3 เท่าของเนื้อสเต็ก 1 ก้อน
ที่สำคัญในสาหร่ายประเภทนี้มีองค์ประกอบของกรดอะมิโนที่เรียงตัวกัน
อย่างสมดุลได้สัดส่วนอีกมากถึง 18 ชนิด และยังเป็นแหล่งของกรดไขมัน แกมมาไลโนเลนิก GLA)
คุณเจียมจิตต์ บุญสม นักวิชาการผู้ริเริ่มการวิจัยสาหร่ายชนิดนี้ ได้ตั้งชื่อภาษาไทยและ
จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ภายใต้ชื่อ "เกลียวทอง" กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา
เมื่อปี พ.ศ. 2537
การใช้สาหร่ายเกลียวทองในประเทศไทย ยังอยู่ในขั้นตอนของการผลิตเพื่อเป็นอาหาร
เสริมสุขภาพ ยังมิได้ใช้ในทางการแพทย์ เพื่อรักษาโรคอย่างจริงจัง ผู้ผลิตส่วนใหญ่ในประเทศไทยรวมถึงโครงการ ส่วนพระองค์ "สวนจิตรลดา" ได้ทำการเพาะเลี้ยงมานานหลายปี เพื่อคัดเลือก
สายพันธุ์ที่ดีที่สุดเพื่อประยุกต์ใช้ในเชิงโภชนาการและทางการแพทย์ในอนาคต บนพื้นฐานแห่งประโยชน์ของประชาชนชาวไทยและมวลมนุษยชาติเป็นสำคัญ